หมอดูยอดอัจฉริยะ – ตอนที่ 393 รายงาน

ตอนที่ 393 รายงาน

เห็นฉากตรงหน้าพัคจุนฮีถึงกับหน้าซีด เธอเคยภาคภูมิใจในฝีมือดาบของตัวเอง แต่ตอนนี้มาอยู่ต่อหน้าเยี่ยเทียน แม้แต่จะชักดาบออกมาเธอยังทำไม่ได้ จึงรู้สึกท้อแท้ใจเป็นอย่างยิ่ง

“ดาบดี!”

ดาบนี้ยาวแค่สามคืบ ตัวดาบกว้างแค่สองนิ้ว สันดาบเป็นแนวโค้ง คมดาบเป็นลวดลายสวยงามราวเกล็ดน้ำแข็ง เยี่ยเทียนรู้ว่านี่เป็นเทคนิคการตีดาบของญี่ปุ่น

มือขวาของเยี่ยเทียนกำด้ามดาบไว้ มือซ้ายใช้นิ้วชี้ดีดเบาๆ เสียง “วิ้งๆ”สะท้อนใสก้องกังวาน ใบดาบสั่นพลิ้ว ราวกับว่าดาบมีชีวิต

“มีดาบแต่ไม่มีปณิทาน ถึงดาบจะดีแต่ก็ไม่มีประโยชน์” เยี่ยเทียนพลิกวาดดาบไปมา เกิดแสงสะท้อนกับตัวดาบวิบวับ อากาศเย็นลงเล็กน้อย

“ตึง!” เสียงเยี่ยเทียนเสียบดาบคืนสู่ฝักตามเดิม แล้วโยนให้พัคจุนฮี พูดต่อว่า “วิชาดาบญี่ปุ่น เป็นแค่วิชาหลอกเด็ก กลับไปบอกผู้กล้าคิตะมิยะว่าถ้าอยากเรียนรู้วิชาการต่อสู้ที่แท้จริง มาเมืองจีนหาฉันได้”

“นายรู้จักอาจารย์ของฉันเหรอ?!” พัคจุนฮีเงยศีรษะขึ้นมาถาม หลุดจากสภาพจิตใจท้อแท้เมื่อครู่

“ไม่รู้จัก แต่เธอเอาดาบเล่มนี้กลับไปให้เขาดู เขาจะรู้จักฉันเอง”

เยี่ยเทียนส่ายหน้า เดินออกจากสวนสาธารณะไป ดูเหมือนเขาจะเดินช้า แต่เพียงครู่เดียวไปไกลสิบกว่าเมตรแล้ว เสียงเขาลอยตามลมมา “วันหลังถ้าฉันไม่อนุญาต ห้ามเข้ามาในบริเวณห้าร้อยเมตรรอบบ้านของฉัน ไม่งั้นฉันจะฆ่าไม่เว้น!”

ประโยคสุดท้ายของเยี่ยเทียนทำให้พัคจุนฮีเหงื่อแตกพลั่ก บัดนี้เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมสีหน้าของเยี่ยเทียนตอนนั้นจึงดูไม่ดี เพราะว่าเธอได้ละเมิดกฎของยุทธภพเข้าให้

“ทำไมต้องให้ฉันเอาดาบเล่มนี้ให้อาจารย์ด้วย?” พัคจุนฮียังไม่เข้าใจ มองดูดาบเรเชในมือ ชักดาบออกมา

“หา?!”

ตอนที่ดาบออกมาจากฝัก เธอรู้สึกมีบางอย่างผิดปกติ ดาบที่เคยหนัก ตอนนี้มันเปลี่ยนเป็นเบาหวิว

พอดาบถูกชักออกมา พัคจุนฮีพบว่า ดาบที่เคยยาวสามคืบตอนนี้มันเหลือความยาวไม่ถึงครึ่งคืบของเนื้อดาบช่วงที่ติดกับด้าม

พัคจุนฮีตกตะลึง รีบนำฝักดาบมาคว่ำดู เสียง “แก๊งๆ”สองที เศษดาบสองท่อนหลุดตกลงบนพื้นหิน

“เขา…เขาอาศัยตอนที่เก็บดาบทำให้มันหักเป็นท่อน?”

มองไปทางที่เยี่ยเทียนหายตัวไป พัคจุนฮีมองค้างอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ ในใจทั้งตระหนกทั้งหวาดกลัว ต่อไปไม่กล้ามา

ใช้ทั้งเคล็ดลับการตีดาบแบบญี่ปุ่นและเทคนิคการหลอมดาบในยุคปัจจุบัน  จะว่าเป็นสุดยอดอาวุธชิ้นหนึ่งเลยก็ว่าได้ แต่กลับถูกเยี่ยเทียนหักเป็นสามท่อนโดยไม่รู้ตัว

กำลังภายในอย่างนี้ พัคจุนฮีคิดไม่ถึง แม้แต่ปู่ของเธอพัคจองไทกับอาจารย์ผู้กล้าแห่งคิตะมิยะยังทำไม่ได้

คราวนี้ฝีมือเยี่ยเทียนทำให้พัคจุนฮีรู้จักประเทศจีนดีขึ้น ต่อไปความยโสโอหังอย่างคนเกาหลีคงดูน่าขำสิ้นดี

…………

เยี่ยเทียนไม่สนใจความพ่ายแพ้ของพัคจุนฮี เมื่อกลับถึงบ้านก็พบว่าอาติงและศิษย์พี่ทั้งสองของเขากลับมาแล้วเช่นกัน กำลังนั่งคุยกันอยู่ในบ้าน

“ศิษย์น้องเล็ก มีอะไรหรือ? ทำไมจิตสังหารจึงได้แรงขนาดนั้น?”

โก่วซินเจียเห็นเยี่ยเทียนเดินหน้านิ่วคิ้วขมวดเข้ามาจึงถามขึ้น อยู่ในเมืองใหญ่ไม่เหมือนกับอยู่ที่เขาฝอกว่างซาน ถ้าเยี่ยเทียนไม่รู้จักเก็บงำจิตสังหารเสียบ้าง วันหน้าอาจจะเกิดเรื่องเดือดร้อนได้

“ศิษย์พี่ ไม่มีอะไร วันนี้ผมไม่ได้ดูดวงก่อนออกจากบ้าน เลยเจอเรื่องวุ่นวายทั้งวัน”

เยี่ยเทียนส่ายหน้า “เมื่อครู่ได้สู้กับลูกศิษย์ของคิตะมิยะ ก็อย่างนั้นเอง ศิษย์พี่ใหญ่ วันหลังถ้ามีโอกาส ผมจะไปท้าสู้กับคิตะมิยะเพื่อทวงความยุติธรรมให้พี่”

เยี่ยเทียนรู้ว่าตอนนั้นคนญี่ปุ่นมีที่พึ่งหลายทาง จึงทำให้คิตะมิยะมาลอบลงมือ ตัดแขนซ้ายของศิษย์พี่ใหญ่ขาดช่างเป็นการกระทำที่ต่ำทรามที่สุด

ถ้าพัคจุนฮีไม่ได้เป็นผู้หญิง ถ้าเธอได้ทำร้ายหลี่เฟิงตอนที่ประลองกัน เยี่ยเทียนจะต้องตอบโต้เธอให้บาดเจ็บไปบ้าง

“ศิษย์ของคิตะมิยะ?” โก่วซินเจียตะลึง “เล่าเหตุการณ์การประลองให้ฟังหน่อย”

เยี่ยเทียนพยักหน้า พูดว่า “พัคจุนฮีน่าจะเรียนวิชาดาบของตระกูลคิตะมิยะ แต่ผมไม่ยอมให้เธอชักดาบออกมาได้…”

โก่วซินเจียเอ่ยต่อ “ศิษย์น้องเล็ก ตระกูลคิตะมิยะมีประวัติยาวนานเป็นร้อยปี เพราะมีที่มา วิชาดาบที่ดุดันรุนแรง เคล็ดลับอยู่ที่วิถีดาบตอนที่ชักดาบออกจากฝัก

ผู้กล้าแห่งคิตะมิยะตอนนั้นได้รับการยกย่องจากลูกหลานในตระกูล วิชาดาบนั้นไร้ที่ติ รุกรานคู่ต่อสู้อย่างกัดไม่ปล่อย ถ้าวันหนึ่งนายพบกับเขาเข้าต้องระวังตัวให้มาก”

“ครับ ศิษย์พี่ ผมจะระวัง” เยี่ยเทียนจดจำคำสอนของศิษย์พี่จนขึ้นใจ ตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งชาญทองทวน เยี่ยเทียนเข้าใจแล้วว่าสิงโตโจมตีกระต่ายโดยใช้พลกำลังทั้งหมดอย่างไร

“เอาเถอะ เยี่ยเทียน ไปตามแขกมากินข้าวไป”

ป้าใหญ่ทำอาหารเสร็จแล้ว เดินบอกตามว่า “เสี่ยวเยี่ยเทียน ฉันจะบอกให้นะ อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับสาวเกาหลีคนนั้นเชียว บ้านเยี่ยของเราจะเสียหายเพราะเขาไม่ได้”

“ป้าใหญ่ พูดอะไรอย่างนั้นเล่า? เห็นผมเป็นคนยังไง?” เยี่ยเทียนยิ้มแหย โชคดี่อวี๋ชิงหย่ามีธุระกลับไปที่มหาวิทยาลัยแล้ว ไม่อย่างนั้นวันนี้ถึงเยี่ยเทียนโดดลงแม่น้ำฮวงโหก็ยังไม่สามารถล้างคำครหาได้

…………-

เยี่ยเทียนรับประทานอาหารกับสมาชิกครอบครัวอยู่ในบ้านอย่างอบอุ่น ห่างไปไม่มากภายในบ้านหลังใหญ่โตโอ่อ่าและได้รับการคุ้มกันแน่นหนา มีชายชรากำลังนั่งรับประทานอาหารเงียบๆอย่างโดดเดี่ยว

อาหารบนโต๊ะเป็นอาหารพื้นๆ มีกับข้าวสี่อย่างเป็นเนื้อสัตว์หนึ่งอย่างและผักสามอย่าง ยังมีน้ำแกงชามหนึ่ง แล้วก็ข้าวเปล่าหนึ่งถ้วย ซ่งเฮ่าเทียนเป็นคนทางใต้จึงไม่นิยมรับประทานหมั่นโถว

คนมีอายุกินข้าวช้า ทุกคำต้องเคี้ยวให้ละเอียดอย่างตั้งใจ อย่างกับกำลังลิ้มรสอาหารทะเลของแพง

ด้านซ้ายของชายชรามีชายอีกคนยืนอยู่ เขาคือหัวหน้าเซวียชิงเซิ่งผู้เกรียงไกรเมื่อตอนบ่าย ตอนที่อยู่ต่อหน้าคนอื่นเขากล้าแสดงอำนาจใหญ่โต แต่ตอนนี้ที่อยู่ตรงหน้าชายชรากลับไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง อย่างกับความเงียบของชายชรากำลังกดทับเขาอยู่

ตอนนี้ซ่งเฮ่าเทียนกำลังเผชิญหน้ากับศึกวาระครบตำแหน่ง ตารางงานของเขาจึงแน่นมากทุกวัน วันนี้เซวียชิงเซิ่งพอจัดการเรื่องเยี่ยเทียนเสร็จแล้วต้องกลับมารอที่นี่สองชั่วโมงเต็ม

แม้ว่าในใจอยากจะรายงานเหตุการณ์ในวันนี้ให้ท่านผู้นำฟัง แต่เขาทราบว่าท่านผู้นำไม่ค่อยชอบพูดคุยตอนรับประทานอาหาร จึงได้แต่ยืนรออยู่ข้าง จนท่านเสร็จมื้ออาหาร

“เสี่ยวเซวีย ไป ไปเดินเล่นกับฉันหน่อย”

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงซ่งเฮ่าเทียนส่งข้าวเม็ดสุดท้ายเข้าปาก แล้วยืนขึ้น ถึงจะอายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว แต่ด้วยรูปร่างสูงใหญ่ของท่านไม่มีหลังโก่งโค้งเหมือนคนแก่ทั่วไป ยังยืนหลังตรงสง่าอยู่เสมอ

“ครับ ท่าน ค่อยๆเดินนะครับ”

ซ่งเฮ่าเทียนเดินนำออกจากห้องเซวียชิงเซิ่งรีบเดินตามหลัง ข้างกายเขายังมีหมอดูแลสุขภาพเดินถือแก้วน้ำชากับเลขาอีกคนเดินตามไปด้วย คนสี่ห้าเดินรายล้อมซ่งเฮ่าเทียนไปที่สวนสาธารณะโส่วผู่เหอ

ซ่งเฮ่าเทียนใช้ชีวิตหรูหรามาตั้งแต่เด็ก นอนดึกตื่นสายเป็นเรื่องปกติ ใช้ชีวิตเหมือนฮ่องเต้สมัยก่อน และทุกวันหลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จต้องออกไปเดินเล่น

สวนสาธารณะโส่วผู่เหอเป็นสวนเล็กๆ อยู่ใกล้กับซุ้มประตูเทียนอันเหมิน คนที่อาศัยในถิ่นชาววังบางคนยังไม่รู้จัก  แต่สวนนี้มักเป็นที่เดินเล่นพักผ่อนของท่านผู้นำหลายท่านที่อาศัยอยู่ในเขตกำแพงสีแดงแห่งนี้

“พวกเธอไม่ต้องมาใกล้มาก ร่างกายฉันยังไหวอยู่!”

เมื่อเดินมาถึงปากทางเข้าสวน ซ่งเฮ่าเทียนโบกมือไล่พวกหมอและเลขาที่รายล้อมอยู่ ทุกคนเข้าใจในทันทีว่าท่านต้องการคุยเรื่องส่วนตัว จึงเดินล้าหลังมาหลายก้าว

ซ่งเฮ่าเทียนกางแขนออกสบายๆ มองดูเซวียชิงเซิ่งพูดว่า “เล่ามาเถอะ เด็กนั่นปากเสียอีกแล้วใช่ไหม?” ในโลกนี้เวลาเป็นเครื่องบรรเทาความโกรธแค้นได้ดีที่สุด

ลุงแท้ๆของซ่งเฮ่าเทียนเสียชีวิตด้วยน้ำมือของบรรพบุรุษตระกูลเยี่ยแม้โดยทางอ้อม แต่เวลาเกือบศตวรรษผ่านไปแล้ว คนรุ่นก่อนของทั้งสองตระกูลก็จากไปเกือบหมดแล้ว ความแค้นในใจของซ่งเฮ่าเทียนเจือจางลงไปมาก

อีกทั้งความรู้สึกผิดต่อบุตรสาวคนโตของตน ตอนนั้นถ้าไม่ใช่เพราะเขาบีบบังคับ บุตรสาวคงจะไม่ต้องอยู่อเมริกาคนเดียวจนต้องแยกจากลูกเขยและหลานชายมายี่สิบกว่าปี

ถึงซ่งเฮ่าเทียนจะไม่ได้รู้สึกผูกพันกับเยี่ยเทียนในฐานะตาหลานสักเท่าไหร่ แต่พอบุตรสาวโทรมาว่าหลานชายของเขามีปัญหาเธอจะต้องเดินทางกลับมาประเทศจีนด้วยตัวเอง ซ่งเฮ่าเทียนฟังแล้วโมโหสุดขีด จึงสั่งให้หัวหน้าเซวียไปจัดการเรื่องนี้ที่สถานีตำรวจ

แน่นอนว่าเซวียชิงเซิ่งไม่กล้าถ่ายทอดคำพูดของเยี่ยเทียนชนิดคำต่อคำ เขายิ้มแล้วเริ่มเล่า “ท่านผู้นำครับ เยี่ย…เยี่ยเทียนเขาพูดจาประสาเด็ก ไม่มีอะไรมากหรอกครับ”

ซ่งเฮ่าเทียนจ้องตาเซวียชิงเซิ่งแล้วหัวเราะออกมา “ไม่เป็นไร นายพูดเถอะ เด็กคนนั้นจะโกรธแค้นฉันบ้างฉันก็เข้าใจ!”

“เยี่ยเทียนเขา….เขาบอกว่า เขายอมเสียเหงื่อไปทำงานแลกเงินซื้อข้าวดีกว่าจะยอมรับการคุ้มครองดูแลจากท่านครับ เขายังพูดอีกว่า…ว่าท่านไม่มีสิทธิ์มาสั่งสอนเขาครับ!”

ถูกซ่งเฮ่าเทียนจ้องเอาขนาดนี้ เซวียชิงเซิ่งเหงื่อซึมไปทั้งหลัง แต่ก็พูดตามตรงไม่ได้ปิดบัง บอกเล่าคำพูดของเยี่ยเทียนอย่างครบถ้วนทุกคำ

“เจ้าเด็กนี่ วู่วามเหมือนพ่อมันไม่มีผิด แต่การที่เขาไม่ยอมให้ใช้อำนาจ ไม่กลัวอิทธิพล เขา…ก็ถือว่าเขาเป็นเด็กดีคนหนึ่ง”

ได้ฟังที่เยี่ยเทียนฝากมาจบแล้ว ซ่งเฮ่าเทียนหัวเราะรื่นรู้สึกชื่นชมหลานชายที่ยังไม่เคยพบหน้าคนนี้อย่างประหลาด อย่างน้อยคนในบ้านตระกูลซ่งรุ่นนี้ไม่มีใครหยิ่งทรนงได้เท่าเยี่ยเทียนอีกแล้ว

“ท่านผู้นำครับ เยี่ยเทียนเขาซี้ซั้วพูด ท่านอย่าได้นำมาใส่ใจเลยนะครับ” เซวียชิงเซิ่งติดตามซ่งเฮ่าเทียนมาเป็นสิบปี ไม่เคยเห็นเขาชื่นชมใครแบบนี้มาก่อน ยังคิดว่าท่านพูดประชดเอา

“เหอะๆ เสี่ยวเซวีย เด็กคนนั้นเป็นหลานของฉัน เขาแค่เข้าใจผิดในตัวฉันนิดหน่อยเท่านั้นเอง”

ประโยคเมื่อครู่ของซ่งเฮ่าเทียน ทำให้เซวียชิงเซิ่งวางใจ ยังโล่งใจที่วันนี้เขาไม่ได้ทำท่าวางก้ามใส่เยี่ยเทียน เยี่ยเทียนเป็นหลานที่ทำให้ท่านผู้นำชมเชยได้ ความสัมพันธ์คงจะไม่ธรรมดา

 …………..

หมอดูยอดอัจฉริยะ

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ในยุคสมัยหลังการปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งใหญ่ ประเทศจีนเริ่มพัฒนาสู่ความทันสมัย ผู้คนต่างหันไปพึ่งวิทยาการตะวันตก ถ้าใครแสดงออกว่าสนใจเกี่ยวกับ “ศักดินางมงาย” อาจมีตำรวจมาเยี่ยมถึงบ้าน เยี่ยเทียน เด็กชายจากหมู่บ้านชาวนาผู้มีชะตาไม่ธรรมดา มีโอกาสได้รับการถ่ายทอดศาสตร์โบราณที่ถูกตีตราว่าล้าหลังและงมงาย เสี่ยงทาย ฮวงจุ้ย คำนวณชะตา โหงวเฮ้ง ทำนายฝัน ดูฤกษ์… เขาจะใช้ทักษะเหล่านี้ (และอื่นๆ) อย่างไรในยุคสมัยเช่นนี้?

Options

not work with dark mode
Reset