หมอดูยอดอัจฉริยะ – ตอนที่ 395 ไม่เผาผีกัน

ตอนที่ 395 ไม่เผาผีกัน

มีโก่วซินเจียเป็นผู้นำ ในขณะนั้นลูกน้องสามคนก็ก้มลงไปกราบ เหมาซานที่เดิมทีเป็นภูเขาแห่งความเงียบและปลอดภัย จู่ๆด้านล่างภูเขาก็มีหมอกเป็นชั้นๆ ที่กระจายอยู่ตามไหล่เขา

ถ้ามองตรงนี้จากระยะไกล กลับเป็นหมอกเมฆที่อยู่ครึ่งภูเขา ราวกับดินแดนแห่งสวรรค์ หลังจากหมอกกลุ่มนั้นลอยขึ้นไปบนยอดเขา จู่ๆ ก็เกิดฝนตกปรอยๆ ลงมา ทำให้ทุกอย่างในภูเขาเปียกโชกไปหมด

“ท่านอาจารย์รู้ว่าพวกเราจะมาเยี่ยมเขาเหรอ”

ถึงแม้ในใจจะรู้ว่าหมอกพวกนี้ไม่ได้เกิดจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ แต่โก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นยังรู้สึกตื่นเต้นจนห้ามใจไม่อยู่  เยี่ยเทียนนำกระดาษสีเหลืองที่เตรียมมาจากกล่องพัสดุนั้น เผาต่อหน้าหลุมศพของท่านอาจารย์

พูดไปพูดมาก็แปลก ถึงแม้ว่านี้จะมีลมมีฝน แต่กระดาศพวกนั่นกลับไหม้อย่างรวดเร็ว และต่อให้ลมแรง กระดาษเหลืองที่ไหม้หมดพวกนั้นกลับไม่กระจายไปไหน ไม่มีการปลิวไปแม้แต่น้อย

ฉากนี้ทำให้โก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นบนใบหน้าต่างเต็มไปด้วยน้ำตา เมื่อรวมอายุของทั้งสองคนแล้วเป็นคนชราที่เกือบร้อยห้าสิบปีแล้ว น้ำตาที่หยุดลงต่อหน้าหลุมศพของหลี่ซั่นหยวนอย่างไร้เสียงร้องไห้

ต้องรู้ว่า ทั้งสองคนรวมทั้งเยี่ยเทียน ต่างก็เป็นคนที่หลี่ซั่นหยวนเลี้ยงดูฟูมฟักมาตั้งแต่เด็ก ความรู้สึกผูกพันธ์มากกว่าพ่อเสียอีก แม้แต่ดินแดนเบื้องหน้ายังทำให้สวรรค์และโลกแยกจากกัน จะไม่ให้ศิษย์พี่น้องทั้งสามคนเสียใจได้อย่างไร

“ศิษย์พี่ทั้งสอง พอแล้ว อาจารย์ก็อายุยืนยาวแล้ว ลองถามสิในโลกนี้จะมีสักกี่คนที่อายุยาวจนถึงหนึ่งร้อยสามสิบปี ศิษย์พี่ไม่ต้องร้องไห้เสียใจไปเลย”

เยี่ยเทียนเช็ดน้ำตาที่อยู่บนใบหน้า ค่อยๆ ประคองศิษย์พี่ทั้งสองขึ้นมา ทั้งสองคนนี้อายุก็ไม่น้อยแล้ว มาเสียใจแบบนี้ จะส่งผลต่อร่างกายและสภาพจิตใจให้ไม่ดีเอาได้

“อาจารย์ ตอนที่ผมอายุแปดขวบดื้อมาก แอบไปเล่นน้ำจนเกือบจมน้ำ ถ้าไม่ใช่คนแก่อย่างท่าน ผมก็คงไม่มีชีวิตอยู่ถึงวันนี้……”

โก่วเจียซินนั่งอยู่หน้าหลุมศพของนักพรตเต๋า เปิดขวดเหล้าเหมาไถ ไม่หยุดพูดที่จะพรรณนาเรื่องราวในอดีต “ผมรู้ว่าอาจารย์ชอบกินเหล้า นี่คือเหล้าเหมาไถที่ศิษย์น้องเอามาให้ ท่านก็แก่แล้วก็พยายามกินแล้วกัน……”

พูดไปพูดมา น้ำตาก็เต็มทั่วใบหน้า เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนและจั่วเจียจวิ้นก็อดที่จะเศร้าด้วยไม่ได้ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอายุห่างกันมาก ประสบการณ์ก็แตกต่างกัน แต่ความรู้สึกที่มีต่อหลี่ซั่นหยวน กลับจริงใจและไม่มีวันลืมเหมือนกัน

โก่วซินเจียพูดจนเสร็จ จั่วเจียจวิ้นก็รำพันอีกรอบ ฉากบูชาเซ่นไหว้นี้ใช้เวลาทั้งวัน จนพระอาทิตย์ใกล้ตกทางทิศตะวันตก ศิษย์พี่ศิษย์น้องต้องจำใจกลับไปที่วัดเต๋า

ทั้งสามคนต่างไม่เรื่องที่จะต้องทำแล้ว ก็ไม่อยากที่จะจากท่านอาจารย์ไป อีกทั้งหลิวติ้งติ้งต้องรีบกลับไปฮ่องกงเพื่อไปดูอาการบาดเจ็บของแม่ ก็เลยไม่ได้มาด้วยกัน หลังจากที่ศิษย์พี่ศิษย์น้องเจรจากันเสร็จ ก็ลงจากภูเขา

ทุกวันนอกจากการฝึกบำเพ็ญเพียรแล้ว เยี่ยเทียนอีกสองคนก็นั่งอยู่หน้าศพท่านอาจารย์ การใช้ชีวิตแบบนี้ทำให้ห่างไกลจากโลกความเป็นจริง ทำให้พลังพิฆาตที่แปดเปื้อนเยี่ยเทียนก่อนหน้านี้ ก็ค่อยๆ หายไป ดูเหมือนว่าสภาพจิตใจจะดีขึ้นอีกครั้ง

เมื่ออาศัยอยู่บนภูเขาเป็นเวลาหนึ่งเดือนครึ่ง หลิวติ้งติ้งคนเดียวที่รีบมาจากฮ่องกง ศิษย์พี่ศิษย์น้อง รวมทั้งหลิวติ้งติ้งที่มาไหว้นักพรตเต๋าในครั้งนี้ด้วย แต่ครั้งนี้กลับเป็นเยี่ยเทียนที่เป็นผู้นำ ก็ถือว่ามาบอกกล่าวอาจารย์ด้วย ที่ต่อไปนี้สำนักพยาการณ์เสื้อป่านจะมีสมาชิกเพิ่มมาอีกหนึ่งคน

วัดเต๋ามีเพียงแค่สองห้อง จะให้อยู่ทั้งสี่คนก็ไม่สะดวก และอีกทั้งอยู่บนภูเขาเป็นเวลาหนึ่งเดือน วันที่สองที่หลิวติ้งติ้งมา เยี่ยเทียนพาทุกคนลงจากภูเขาแล้วกลับเมือง

วางแผนให้ศิษย์พี่สองท่านและหลิวติ้งติ้งกลับไปเมืองหลวงก่อน เยี่ยเทียนมาอาศัยที่บ้านเฟิงค่วงสองสามวัน หลังจากนั้นมาที่บ้านเหล่าจ้างสักวัน หลังจากไม่อยู่เมืองหลวงประมาณสองเดือน ในที่สุดก็กลับมาบ้าน

จั่วเจียจวิ้นยังคงมีธุรกิจมากมายในฮ่องกง แม้ว่าเขาจะยกให้กับลูกสะใภ้ไปแล้วก็ตาม แต่ยังมีบางเรื่องที่เขาต้องไปจัดการด้วยตัวเอง อยู่ที่เรือนสี่ประสานไม่กี่วัน ไม่รอให้เยี่ยเทียนกลับเมืองหลวงก็พาหลานสาวกลับฮ่องกงไปแล้ว

ส่วนโก่วซินเจียถึงแม้ว่าที่นี่จะเป็นบ้านของตัวเอง ทุกวันนอกจากนั่งสมาธิฝึกพลังแล้ว ก็จะไปเล่นหมากรุกกับสนทนากับกลุ่มคนชรา ทุกวันกลับไปอย่างสบายอกสบายใจ

วันนี้เป็นวันที่เยี่ยเทียนกลับเมืองหลวง คนในตระกูลเยี่ยก็มารวมตัวกันที่บ้านเก่า นอกนี้ยังมีแม่ของโก่วซินเจียและโจวเซี่ยวเทียนที่ออกจากโรงพยาบาล ทุกคนสนุกครึกครื้นอย่างมาก

แน่นอน เยี่ยเทียนหลายสิบวันมาวิ่งไปวิ่งมา ก็มีผู้คนจับเขามาต่อว่าอย่างดุๆ สักพักหนึ่ง  ด้านนอกของ“อาจารย์เยี่ย”นั้นดูน่าเกรงขาม ในเวลานั้นก็ได้แค่ อ้อนน้อมว่านอนสอนง่าย ก้มหน้าลงแต่โดยดี

ตอนที่ครอบครัวเจียกินข้าว ก็จะกินไม่ค่อยมีพิธีรีตอง พอกินได้ครึ่งหนึ่ง ทันใดนั้นหญิงชราก็พูดพร้อมรอยยิ้มว่า “ชิงหยา เธอก็เรียนจบแล้ว ก็เริ่มทำงานแล้ว ฉันว่า เธอกับเสี่ยวเทียนเริ่มคุยกันเรื่องการแต่งงานหรือยัง

จะบอกว่าฉันกับป้านายสองคนร่างกายยังแข็งแรงดี อยากจะมีหลานชายตัวอ้วนๆ สักคนเร็วๆ พวกเราก็จะช่วยดูแลให้”

ตระกูลเยี่ยรุ่นเก่าเหล่านี้จะมีผู้ชายสักคนได้รับการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น ผู้ที่สืบตระกูลไม่อยากจะทำ พวกป้าๆ ของเยี่ยเทียนอดไม่ได้ที่จะอยากให้เขารีบแต่งงาน เพื่อสืบทอดตระกูลเยี่ยที่เก่าแก่

เมื่อมองอวี๋ชิงหย่าที่ถูกป้าใหญ่พูดจนหน้าแดงหรือหูแดงไปหมด เยี่ยเทียนก็รีบทำให้เรื่องจบลง แล้วพูดว่า “ป้าใหญ่ ผมเพิ่งจะ 22 ปี จะรีบอะไรขนาดนี้”

“นายนี่เด็กเหรอ อายุ22ปียังเล็กอยู่เหรอ ก่อนสงครามปลดแอกก็คงใช่ เด็กมีอายุแค่หกเจ็ดปี”หญิงชรากล่าวไม่ห่างจากเรื่องมีลูกเลย ทำให้อวี๋ชิงหย่ายิ่งรู้สึกอึดอัดใจ

“ป้าใหญ่ เรื่องนี้ค่อยพูดกันเถอะ ผมต้องพูดกับคุณลุงอวี๋สักหน่อย คุณก็อย่ารีบไปเลย”

“ฉันกับเสี่ยวอวี๋พูดกันแล้ว ที่นายพูดนี้จะเปลี่ยนเรื่องทำไมกัน”

เมื่อเห็นเยี่ยเทียนพูดแทรก หญิงชรากลับเปลี่ยนเป้าหมาย อบรมเยี่ยเทียนสักพักหนึ่ง ทันใดนั้นโทรศัพท์ของอวี๋ชิงหย่าก็ดังขึ้น รีบออกจากไปรับโทรศัพท์

หลังจากที่อวี๋ชิงหย่าออกไป จู่ๆ โก่วซินเจียที่ก้มหน้าก้มตากินข้าวดื่มเหล้า ก็พูดว่า “เยี่ยเทียน ต่อให้นายเปลี่ยนโชคชะตาให้กับพวกพี่ๆ น้องๆ แล้ว ก็ได้ลบการแปดเปื้อนทั้งหมดแล้ว การแต่งงานก็คงไม่เป็นไรหรอก”

หลังจากได้รับการสืบทอดความลับของเยี่ยเทียน วิธีการฝึกฝนกลวิชาของโก่วซินเจียนนั้นก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว แต่เพียงแค่นี้ เขาก็เคยทำนายตัวเลขโชคชะตาให้กับอวี๋ชิงหย่าแต่คำนวณไม่ออก นั่นเป็นเหตุผลที่พูดคำเหล่านี้

เมื่อเห็นโก่วเจียซินมีท่าทางที่กระตือรือร้นขึ้น เยี่ยเทียนยิ้มเจื่อนๆ แล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ เรื่องนี้คุณไม่ต้องยุ่งเลยครับ ชิงหย่าเพิ่งเรียนจบ นี่ก็เพิ่งทำงานไม่กี่วัน รอให้เธอทำไปสักพัก พวกเราค่อยแต่งงานกัน”

เนื่องจากการฝึกงานที่สถานีโทรทัศร์ครั้งก่อน บวกกับชิงหย่าโปรไฟล์ที่ดี หลังจากที่เรียนจบก็ได้เข้าไปทำงานที่สถานีโทรทัศน์อย่างราบรื่น

ถึงแม้ว่าเยี่ยเทียนจะเต็มใจอย่างมาก แต่อวี๋ชิงหย่าอายุยังไม่เยอะ อยากจะทำผลงานในการทำงานสักหน่อย แต่หลังจากที่คุยกันกับเยี่ยเทียน ทั้งสองก็ได้ตัดสินใจยืดเวลาการแต่งงานก่อน

“แล้วการทำงานกับแต่งงานกันมีความสัมพันธ์กันยังไง ฉันว่าพวกเธอสองคนนี้กำลังคิดอะไรกันนะ”ป้าใหญ่พูดอย่างไม่พอใจ

“เอ๋ ป้าใหญ่ เสียงอ๊อดประตูดังขึ้น ผมไปดูว่าใครมาน่ะ”

ในขณะที่เยี่ยเทียนกำลังอยากจะหลบจากประเด็นนี้ เสียงอ๊อดก็ได้ดังขึ้น ราวกับมีเชือกฝางมาช่วยชีวิตไว้ เยี่ยเทียนรีบวิ่งเพ่นพ่านออกไป ทำให้ในนั้นมีเสียงหัวเราะขึ้นมา

“หืม? ผู้อำนวยการเสวีย? ทำไมถึงเป็นคุณล่ะครับ?”หลังจากที่ประตูด้านข้าง เมื่อเยี่ยเทียนเห็นคนที่ยืนอยู่ข้างนอก ก็อดที่จะตะลึงไม่ได้

ตอนที่อยู่ที่ภูเขาเหมาซาน เยี่ยเทียนก็ได้รับโทรศัพท์จากป้าใหญ่ รู้ว่าเสวียชิงเฉิงมาเยี่ยมถึงบ้าน แต่เขาไม่ได้สนใจ คิดไม่ถึงว่าผ่านมาสองเดือน อีกฝ่ายก็ยังมาหาถึงบ้านอีก

“เยี่ยเทียน พูดกับนายไม่กี่ประโยคได้ไหม”

เมื่อเห็นคนที่มาเปิดประตูคือเยี่ยเทียน เสวียชิงเฉิงไม่เพียงแต่ที่จะถอนหายใจ วันนั้นตอนที่ได้เจอกับพ่อของเยี่ยเทียนเยี่ยตงผิง เสวียชิงเฉิงก็ได้อธิบายจุดประสงค์ในการมา แต่เมื่อรู้ว่าซ่งห้าวเทียนจะมาตามหาลูกชาย เยี่ยตงผิงไม่ได้สนใจและให้เสวียชิงเฉิงออกไป

“ผู้อำนวยการเสวีย ระหว่างเราไม่มีอะไรต้องคุยกันไม่ใช่เหรอ”

เมื่อเห็นคนที่มาคือเสวียชิงเฉิง เยี่ยเทียนก็ขมวดคิ้วแล้วก็ปิดประตู เขาไม่อยากรู้จุดประสงค์ของฝ่ายตรงข้ามที่มาเลยสักนิด แน่นอนว่าต้องเป็นจุดประสงค์ของตาที่ราคาถูกคนนั้น

เสวียชิงเฉิงรีบวางมือที่กรอบประตู ตะโกนพูดว่า “เอ้ เสี่ยวเยี่ย คุณอย่าปิดประตู ฟังผมพูดก่อน ……”

เยี่ยเทียนรีบหยุด สีหน้าไร้อารมณ์แล้วพูดว่า “ได้ คุณพูดมาสิ”

“ในวันนั้นฉันได้รายงานเรื่องนี้ต่อหัวหน้าผู้บริหารระดับสูงแล้ว หัวหน้าผู้บริหารรู้สึกอยากขอโทษคุณ และต้องการพบคุณสักหน่อย”

เมื่อเห็นใบหน้าที่น่ารำคาญของเยี่ยเทียน เสวียชิงเฉิงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เสี่ยวเยี่ย เรื่องของคุณกับหัวหน้าผมไม่รู้หรอกนะ แต่หัวหน้าก็เป็นคนที่อายุ 70 กว่าปีแล้ว ร่างกายไม่ค่อยดี ผมว่า……ในฐานะผู้น้อย ต่อให้มีเรื่องเข้าใจผิดอะไร ก็ควรที่จะไปดูท่านหน่อยนะ”

เสวียชิงเฉิงดำรงตำแหน่งที่เมืองเจียงหนาน เดือนถัดมาก็ได้เลื่อนตำแหน่ง แต่ก่อนหน้านี้ เขายังอยากที่จะเอาภารกิจของหัวหน้าให้สำเร็จ ก็เลยให้หัวหน้าเอาเรื่องส่วนตัวให้นายทำ นั้นก็แสดงถึงความเชื่อใจแล้ว

“ผู้อำนวยการเสวีย เขานามสกุลซ่ง ผมนามสกุลเยี่ย ก่อนหน้านี้พวกเราไม่มีความสัมพันธ์อะไรกัน ในบรรดาลูกสาวตระกูลซ่ง ก็คงไม่ปล่อยให้คนแก่ให้อยู่โดดเดี่ยวหรอกครับ”

ของเยี่ยเทียนเต็มไปด้วยสีหน้าที่เหน็บแนม พูดต่อว่า “ตระกูลเจียของพวกเราไม่อยากเกี่ยวข้องกับคนนั้น หวังว่าคุณจะเอาคำพูดนี้ไปบอกเขาด้วย”

ถ้าเป็นซ่งเว่ยหลันอยู่ เยี่ยเทียนก็อาจจะมีโอกาสที่จะได้เจอซ่งห้าวเทียน แต่แม่ของเขาจนถึงวันนี้ก็ยังไม่กลับมา นี่ทำให้เยี่ยเทียนกำจัดความเกลียดแค้นออกไปจากตระกูลซ่งได้อยางไร

“เสี่ยวเยี่ย นายคิดอีกสักรอบเถอะ หัวหน้าอยากเจอนายจริงๆ……”

“เยี่ยเทียน นายอยู่ทำอะไรที่ประตูน่ะ ฉันมีเรื่องที่จะพูดกับนาย!”

ตอนที่เสวียชิงเฉิงกำลังโน้มน้าวเยี่ยเทียนอยู่ ด้านในประตูจู่ๆ ก็มีเสียงของเด็กผู้หญิงออกมา ทำให้คำพูดเขาขาดตอน

“ขอโทษครับ ผู้อำนวยการเสวีย ความหมายของผมได้บอกคุณไปชัดเจนแล้ว นอกจากว่า……เอ๋ ช่างเถอะ คุณบอกคนนั้นให้ผม ตระกูลเยี่ยและตระกูลซ่งสองตระกูลจะไม่เผาผีกัน!”

ที่จริงเยี่ยเทียนจะพูดว่านอกเสียจากว่าแม่จะกลับมา แต่คำพูดแบบนี้ต่อให้บอกต่อหน้าคนนี้ก็คงไม่เหมาะสมเท่าไหร่ อีกอย่างซ่งเซียวหลงก็ให้คนมาตามฆ่าเขา เยี่ยเทียนถึงพูดคำพูดที่ดุร้ายออกมา

“เอ๊ะ เยี่ยเทียน นายฟังผมพูดสักสองสามประโยคก่อน!”เมื่อเห็นเยี่ยเทียนพูดเสร็จแล้วปิดประตูลง เสวียชิงเฉิงก็อดที่จะถอยหลังกลับไปไม่ได้ ในใจก็คิดว่าจะพูดกับหัวหน้ายังไงดี

“ชิงหย่า เกิดอะไรขึ้น ทำไมคุณถึงร้องไห้ล่ะ”

หันกลับหลัง เยี่ยเทียนก็เห็นอวี๋ชิงหย่าที่ยืนอยู่ไม่ไกล อยู่ๆ ก็มีคาบน้ำตา ก็อดที่จะตกใจไม่ได้ “คุณบังคับเธอใช่หรือไม่ ฉันจะไปคุยกับพวกเขาเอง

……

หมอดูยอดอัจฉริยะ

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ในยุคสมัยหลังการปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งใหญ่ ประเทศจีนเริ่มพัฒนาสู่ความทันสมัย ผู้คนต่างหันไปพึ่งวิทยาการตะวันตก ถ้าใครแสดงออกว่าสนใจเกี่ยวกับ “ศักดินางมงาย” อาจมีตำรวจมาเยี่ยมถึงบ้าน เยี่ยเทียน เด็กชายจากหมู่บ้านชาวนาผู้มีชะตาไม่ธรรมดา มีโอกาสได้รับการถ่ายทอดศาสตร์โบราณที่ถูกตีตราว่าล้าหลังและงมงาย เสี่ยงทาย ฮวงจุ้ย คำนวณชะตา โหงวเฮ้ง ทำนายฝัน ดูฤกษ์… เขาจะใช้ทักษะเหล่านี้ (และอื่นๆ) อย่างไรในยุคสมัยเช่นนี้?

Options

not work with dark mode
Reset