หมอดูยอดอัจฉริยะ – ตอนที่ 450 สำนักเชียน

เยี่ยตงผิงนับว่าเป็นชายฉกรรจ์วัยกลางคนผู้หนึ่ง การตบครั้งนี้ จึงทำให้ริมฝีปากเปาเฟิงหลิงมีเลือดซึมออกมาทันที คอตกร่วงลงบนพื้นพรมผืนหนา

“ให้ตายเถอะ พ่อก็โหดอยู่นะเนี่ย?”

เห็นท่าทีดุเดือดของเยี่ยตงผิง เยี่ยเทียนยังอดใจสั่นไม่ได้ แสดงว่าเมื่อก่อนตอนพ่อสั่งสอนเขานับว่ายั้งมือแล้ว ไม่อย่างนั้นตอนตัวเองยังเล็กหากโดนอย่างนี้เข้าทีหนึ่ง คงไม่ถึงขั้นกระเด็นออกไปเลยหรือ?

“หลิวเหล่าเอ้อ แกเองก็สารเลวพอกัน!”

พอตบหน้าเปาเฟิงหลิงหันไปแล้ว เยี่ยตงผิงก็เหยียบลงบนหน้าอกของอีกคน พวกนี้ก็คือพ่อค้าวัตถุโบราณที่ขายหัวมังกรให้กับเยี่ยตงผิงนั่นเอง

“พ่อครับ หยุดเถอะ พวกเราไม่ได้มาต่อยตีกันนี่?”

เมื่อเห็นเยี่ยตงผิงยังไม่ยอมเลิกรา เยี่ยเทียนก็รีบมาฉุดรั้งพ่อไว้ ดูท่านิสัยโหดเหี้ยมดุดันของตัวเอง ส่วนใหญ่คงจะได้มาจากพ่อละมั้ง?

เยี่ยตงผิงดิ้นรนใช้ขาถีบยังเปาเฟิงหลิงซึ่งอยู่บนพื้น ปากตะโกนไปพลาง “เยี่ยเทียน ปล่อยพ่อ ให้พ่อถีบมันอีกสักหลายๆ ที!”

เยี่ยเทียนพูดอย่างจะร้องไห้หรือหัวเราะก็ไม่ออก “เอาน่า ทำร้ายพวกมันไปแล้วได้อะไร เงินนั้นพ่อไม่อยากได้แล้วเหรอครับ?”

พอคำพูดนี้ของเยี่ยเทียนหลุดออกไป เยี่ยตงผิงก็พลันได้สติขึ้นมา จริงสิ เขามาที่นี่ไม่ใช่เพื่อเตะต่อยคน แต่มาชิงเอาเงินสามสิบล้านนั่นกลับมาต่างหากที่สำคัญกว่า

เห็นเปาเฟิงหลิงคุกเข่ากุมน้องชายอยู่บนพื้น เยี่ยตงผิงก็พูดขึ้นด้วยความโมโห “ไอ้คนแซ่เปา ฉันอุตส่าห์เห็นแกเป็นเพื่อน แกกลับใช้เวลานานถึงขนาดนี้วางแผนหลอกลวงฉัน ดี ช่างเป็นเพื่อนที่ดีเหลือเกิน!”

“เถ้าแก่เยี่ย นี่…นี่มันเรื่องอะไรกันครับ?”

เปาเฟิงหลิงที่นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นเหลือบตา ชี้ไปยังผู้หญิงสองคนนั้นบนเตียง พูดอย่างน่าเวทนา “ผมไม่รู้ว่าคุณพูดเรื่องอะไร? เมื่อวานนี้ผมเพิ่งจะกลับถึงปักกิ่ง บังเอิญพบกับเหล่าหลิว คุณก็รู้ว่าผมมีรสนิยมแบบนี้ อุตส่าห์ตั้งใจจะไปหาคุณตอนเย็น”

เปาเฟิงหลิงพูดภาษาจีนกลางด้วยสำเนียงกวางตุ้ง สีหน้าแสดงออกอย่างกับถูกบีบคั้นรังแก ราวกับเพิ่งเปลี่ยนบทบาทกับผู้หญิงคนนั้น ว่าตัวเองเป็นฝ่ายที่ถูกทะลวงก้น

ได้ยินเปาเฟิงฟลิงพูดถึงฝ่ายหญิง กลิ่นเหม็นหืนภายในห้องนั้นส่งผลให้เยี่ยเทียนเผลอขมวดคิ้ว เอ่ยว่า “เซี่ยวเทียน เปิดหน้าต่างที กลิ่นนี่โคตรเหม็นเลย”

เมื่อนคนแซ่เปาคนนั้นได้ยินว่าให้เปิดหน้าต่างแล้วน้ำตาก็ไหลพร่างพรู เยี่ยเทียนก็หัวเราะ “ตรงนี้เป็นชั้นเก้า กระโดดลงไปไม่แน่ว่าจะตาย จะลองดูก็ได้นะ”

“ผมทำเรื่องถูกทำนองคลองธรรม แล้วทำไมต้องกระโดดตึกด้วย?”

เปาเฟิงหลิงยืดอก แต่แล้วก็หดกลับลงไปทันที หากข้างหน้าเป็นผู้หญิงล้วนล่ะก็ เขาไม่รังเกียจจะเผยน้องชายอันมหึมาเป็นแน่ ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับผู้ชายทั้งฝูง เปาเฟิงหลิงจึงได้แต่กุมหว่างขาไว้อย่างมิดชิด

คำพูดของเปาเฟิงหลิงจุดไฟโทสะของเยี่ยตงผิงให้ลุกโชนขึ้นมา คำรามว่า “ไอ้คนแซ่เปา แกกับหลิวเหล่าเอ้อร่วมมือกันขุดหลุมฝังฉัน ถึงขั้นนี้แล้วยังไม่ยอมรับอีกเรอะ?”

“เถ้าแก่เยี่ย ข้าวยังพอซี้ซั้วกินได้ แต่คำพูดซี้ซั้วไม่ได้นา!”

สีหน้าของเปาเฟิงหลิงกลับมาเป็นปกติทันควัน เอ่ยปากว่า “ผมก็กำลังคิดจะไปหาคุณคืนนี้อยู่นี่ไง? คุณขึ้นมาเตะต่อยกันแบบนี้ แล้วการค้าของเราคราวนี้จะทำยังไงล่ะ?”

โดยไม่รอให้เปาเฟิงหลิงพูดจบ เยี่ยตงผิงก็ด่าขึ้นอย่างอดไม่อยู่ “การค้ากับแม่แกสิ เอาเงินฉันคืนมาเร็วเข้า ไม่อย่างนั้น…”

“ผมเอาเงินอะไรคุณไป? เหล่าเยี่ย เราจะมากล่าวหากันพล่อยๆ ไม่ได้นะ?” เปาเฟิงหลิงต้องเป็นคนประเภทต่อให้ถึงทางตันก็ไม่ยอมหันหลังกลับ กระทั่งเวลานี้ถูกจับได้อย่างจัง ก็ยังปฏิเสธเสียงแข็ง

เยี่ยตงผิงถูกยั่วโมโหจนหัวเราะออกมา โบกมือแล้วกล่าวว่า “ได้ ฉันไม่พูดกับแกแล้ว ไอ้คนแซ่หลิว แกขายหัวมังกรนั่นให้ฉัน มันคงลอยมาจากส้วมที่ไหนใช่มั้ย? เลิกพูดจาเหลวไหลสักที เงินสามสิบล้านของฉันล่ะ?”

หลิวเหล่าเอ้ออายุประมาณสามสิบห้าสามสิบหก รูปร่างเล็กเตี้ยไม่ถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร หน้าตาดูค่อนข้างอิดโรย เป็นพวกที่หากทิ้งอยู่กลางฝูงชนก็ไม่มีใครสังเกตเห็น ดูไปแล้วเหมือนคนธรรมดาคนหนึ่ง

ขณะอาศัยจังหวะที่เปาเฟิงหลิงถูกซ้อม หลิวเหล่าเอ้อดึงเอาผ้าห่มมาคลุมไว้บนตัว จึงไม่ดูจนตรอกเหมือนพ่อค้าฮ่องกงเปาเฟิงหลิง ในดวงตาเผยแฝงแววเจ้าเล่ห์ ดูไม่เหมือนรับมือได้ง่ายนัก

 “เถ้าแก่เยี่ย คำพูดนี้ช่างมันไปเถอะน่ะ? ของก็ไม่ใช่ว่าผมบังคับให้คุณซื้อ เราต่างยินยอมกันทั้งสองฝ่าย ไม่ได้ทำอย่างที่คุณทำตอนนี้หรือเปล่า?”

และแล้วหลิวเหล่าเอ้อก็ไม่ใช่คนรับมือได้ง่ายอย่างที่คิดจริงๆ อ้าปากกล่าวว่า “ว่าไปแล้ว ของชิ้นนั้นเป็นของแท้แน่นอน ใครจะไปรู้คุณอาจแอบเอาของปลอมมาแทนแล้วมาหาผมก็ได้? ถ้ายังไง เราให้คนในเมืองปักกิ่งตัดสินกันไหมล่ะ?”

การตรวจสอบซื้อขายวัตถุโบราณนี้ขึ้นอยู่กับสายตาของแต่ละคน ในวงการมีกฎที่ไม่ได้กำหนดเป็นลายลักษณ์อักษร นั่นคือเมื่อซื้อของปลอมที่ย้อมแมวมา ก็เพียงได้แต่ต้องกล้ำกลืนฝืนทน…ถึงเจ็บใจแต่พูดออกไปไม่ได้ หลิวเหล่าเอ้อมั่นใจว่าเยี่ยตงผิงมีนิสัยไม่กล้าเอ่ยปากบอกใคร ถึงได้โอหังขนาดนี้

 “พวกแกสองคนรวมหัวกันหลอกลวงฉัน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับกฎในวงการ ไอ้คนแซ่หลิว ถ้าวันนี้ไม่เอาเงินมาคืนฉันล่ะก็ ฉัน…ฉัน…”

เยี่ยตงผิงที่จริงแล้วเป็นคนซื่อตรง เมื่อถูกหลิวเหล่าเอ้อบีบคั้น อยากจะด่าให้เจ็บแสบสักสองสามคำแต่กลับไม่รู้จะพูดอย่างไร

เมื่อเห็นเยี่ยตงผิงมีท่าทีแบบนั้น หลิวเหล่าเอ้อก็ยิ่งได้ใจมากขึ้น แค่นยิ้มตอบ “เถ้าแก่เยี่ย เรื่องแบบนี้พูดมั่วซั่วไม่ได้นา ถ้าคุณรู้สึกว่าหลิวเหล่าเอ้ออย่างผมโกหกคุณ ก็พาผมส่งสถานีตำรวจได้เลย แต่ว่าค้าขายเครื่องสัมฤทธิ์มีโทษหนัก คุณต้องคิดให้ดีๆ ล่ะ!”

อ้อยเข้าปากช้าง มีหรือจะคายออกมาง่ายๆ หลิวเหล่าเอ้อตอนนี้จึงมีทีท่าเหมือนหมูไม่กลัวน้ำร้อนลวก แม้เยี่ยตงผิงจะพูดอย่างไร เขาก็ไม่มีทางยอมรับ

อีกทั้งหลิวเหล่าเอ้อรู้จักกับเยี่ยตงผิงมาหลายต่อหลายปี รู้ว่าคนผู้นี้มีนิสัยใจคออย่างพวกบัณฑิต ไม่มีทางกล้าทำอะไรพวกเขา

“ฉัน…ฉันจะเล่นงานแก!” เยี่ยตงผิงพูดพลางง้างมือขึ้นอีกครั้ง

“พอเถอะครับ พ่อครับ พ่อไปพักเถอะ แรงมือพ่อไม่หนักพอ…”

เยี่ยเทียนไม่รู้จริงๆ ว่าหลายปีมานี้พ่อทำการค้าอย่างไร เมื่อครู่ถึงได้ยังคิดจะใช้เหตุผลคุยกับฝ่ายตรงข้าม? หลังจากตัดบทพ่อแล้ว ก็โบกมือไปทางโจวเซี่ยวเทียน กล่าวว่า “ตบรางวัลให้เขาสักสองที ให้เขาพูดจารื่นหูกว่านี้หน่อย!”

“ครับ อาจารย์!”

โจวเซี่ยวเทียนทนดูไม่ไหวอยู่ด้านข้างนานแล้ว พอได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน ก็ก้าวขึ้นมาตบไปสองครั้ง จนหลิวเหล่าเอ้อร้องโอดโอยเดี๋ยวนั้น ถ่มฟันกลบไปด้วยเลือดออกมาจากปากถึงสองซี่

“ตำอวด ฉันจะฟ้องตำอวด!” หลิวเหล่าเอ้อตะโกนโหวกเหวกขึ้นมาสองเสียง แต่เพราะฟันหน้าหลุดไปสองซี่ คำว่า “ตำรวจ” จึงกลายเป็น “ตำอวด” แทน

โจวเซี่ยวเทียนถลึงตาจ้อง คำรามว่า “ขืนตะโกนอีกฉันจะใช้คีมถอนฟันแกออกมาให้หมดปาก เชื่อมั้ย?!”

ก่อนหน้านี้หลิวเหล่าเอ้อเองก็เคยเห็นโจวเซี่ยวเทียน เดิมเคยรู้สึกว่าเขาเป็นเด็กหนุ่มสัตย์ซื่อจริงใจคนหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าจะลงมือโหดเหี้ยมปานนี้ ถูกโจวเซี่ยวเทียนข่มขู่เข้าไปจึงลนลานเงียบเสียงลง

แต่ว่าหลิวเหล่าเอ้อกับเปาเฟิงหลิงล้วนเป็นผู้ช่ำชองในยุทธภพ แม้เผยอารมณ์หวาดกลัวให้เห็นบนใบหน้า แต่เยี่ยเทียนมองปราดเดียวก็ดูออกว่าทั้งคู่เสแสร้งแกล้งทำ จึงพูดออกมาทันที “ฉันว่า เลิกเล่นลิ้นได้แล้ว คนจากสำนักต้มตุ๋นอย่างพวกแกหากินทางภาคใต้มาตลอด และมายังเมืองหลวงนับว่าล้ำเขตแดน”

พอคำพูดนี้ของเยี่ยเทียนเอ่ยออกมา หลิวเหล่าเอ้อร์กับเปาเฟิงหลิงก็ชะงักงันในฉับพลัน มองไปทางเยี่ยเทียนอย่างไม่แน่ใจนัก พวกเขาไม่คาดคิดจริงๆ ว่าจะมาพบกับคนในยุทธภพเข้า?

เยี่ยเทียนเองก็ไม่สนใจว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ พูดเองเออเองว่า “ฉันรู้กฎภายในสำนักของพวกแก ที่ว่าเงินเข้ากระเป๋าไปแล้วอย่าได้คิดจะล้วงออกมาจนหมด เอาอย่างนี้แล้วกัน ไม่อยากคืนเงินก็ได้ ฉันตัดมือตัดขาพวกแกอย่างละข้าง ถือว่าหายกันเอาไหม?”

 “แก…แกมาจากสายไหนกัน? ทุกคนล้วนเป็นลูกหลานในยุทธภพทั้งนั้น จะ…จะตัดสินใจทำ…ทำอย่างนั้นไม่ได้นะ!”

คำพูดนั้นของเยี่ยเทียนแม้จะเอ่ยอย่างเรียบง่าย แต่ขณะที่เขาพูด อุณหภูมิภายในห้องดูเหมือนลดต่ำลงไม่น้อย จึงข่มขวัญจนพวกหลิวเหล่าเอ้อหน้าถอดสีทันควัน

ก็เหมือนกับสำนักเจียงเซียงคราวก่อน ก่อคดีข้ามเขตนับว่าเป็นโทษหนักในยุทธภพ อย่างเบาก็ตัดเอ็นแขนเอ็นขา อย่างหนักก็ยัดใส่ถุงโยนทิ้งแม่น้ำเป็นอาหารปลา ทั้งคู่ย่อมฟังออกว่า เยี่ยเทียนไม่ได้กำลังข่มขู่พวกเขา

“ทีตอนนี้มาพูดเรื่องกฎยุทธภพกับฉัน? แล้วเมื่อกี้ทำไมถึงโอหังนัก?”

เยี่ยเทียนได้ยินเข้าก็หัวเราะออกมา ใช้มือตบลงบนใบหน้าเปาเฟิงหลิงเบาๆ และกล่าวว่า “เรื่องอื่นยังไม่ต้องพูด คายเงินนั่นของฉันออกมาก่อน เงินฉันโกงกันง่ายๆ อย่างนั้นได้หรือ?”

“ปู่ครับ เงิน…เงินนั้นไม่อยู่แล้วล่ะ!” ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว เปาเฟิงหลิงก็สีหน้าขมขื่นในทันที ราวกับมีน้ำเสียงสะอึกสะอื้นปนอยู่ในคำพูด

“อะไรนะ? เงินไม่อยู่แล้ว?”

เยี่ยเทียนขมวดคิ้ว “นั่นสิ ดูพวกแกสองคนแล้วก็ไม่เหมือนตัวหัวหน้า คนเป็นพี่ใหญ่ล้วนต้องทำให้คนอื่นเคารพศรัทธา พูดมา พวกแกสองคนกินข้าวของสำนักไหน?”

ช่วงเวลาก่อนปฏิวัติเศรษฐกิจ สำนักต้มตุ๋นในประเทศหลักๆ แล้วแบ่งเป็นสามส่วน ส่วนแรกอยู่ที่เขตกว่างตง รวมไปถึงมณฑลหูหนานและเจียงซีเป็นต้น ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือปักหลักอยู่ที่หาดเซี่ยงไฮ้ เป็นสาวกของพรรคชิงปังเป็นส่วนใหญ่

ส่วนพวกคนทางเหนือนั้น ด้วยอุปนิสัยตาต่อตาฟันต่อฟัน หลักๆ จัดการพวกต้มตุ๋นพวกนั้นโดยการจับได้ก็ฆ่าตายทีละคน คนในพรรคต้มตุ๋นจึงค่อยๆ ถอนตัวออกมา

เปาเฟิงหลิงเหลือบมองเยี่ยเทียน เอ่ยปากอย่างระมัดระวังว่า “ท่านปู่ครับ พวกเราไม่ใช่สำนักต้มตุ๋นหรอก พวกเราสืบทอดมาจากสำนักเชียน ติดตามหัวหน้าจี๋จากจังหวัดกั้นมณฑลเจียงซี”

 “สำนักเชียน? พวกแกกล้าใช้ชื่อสำนักเชียนงั้นเหรอ?” ได้ยินคำพูดของเปาเฟิงหลิงแล้ว เยี่ยเทียนก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

สำนักเชียนที่แท้จริง จะไม่หลอกลวงโป้ปด ทว่าเป็นพวกมีไหวพริบเฉลียวฉลาด วางแผนการล้ำลึก

ในประวัติศาสตร์บุคคลสำคัญผู้มีต้นกำเนิดลึกลับไม่น้อย ล้วนโด่งดังมาจากการเลี้ยงดูสั่งสอนอย่างเอาใจใส่ของนักพรตสำนักเชียน  ยกตัวอย่างเช่นซูฉิน จางอี๋จากสำนักกุ๋ยกู๋จื่อ สถาปนิกจางเหลียงผู้ติดตามปรมาจารย์หวงสื่อ เมื่อคนของสำนักเชียนปรากฎ ทั่วหล้าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่

อีกทั้งผู้ก่อตั้งสำนักเชียน ก็คือปราชญ์โบราณในตำนาน…เซี่ยอวี่ ผู้คนต่างรู้ว่าพระเจ้าอวี่มีคุณูปการด้านการป้องกันน้ำท่วม แต่กลับไม่รู้ว่าเขาพึ่งพาศาสตร์ของสำนักเชียน จนได้รับการยกย่องจากผู้คนนับหมื่น

 เซี่ยอวี่คิดคำนวณวางแผนขับไล่คนนอก  กำจัดออกจนกลายเป็นผู้ปกครองในใต้หล้า ทั้งยังยกเลิกการสืบทอดตำแหน่งโบราณให้มีพิธีสืบทอดตำแหน่งไปสู่ลูกชายนามว่าชี นับจากนั้นสายธารขุนเขาและแผ่นดิน ก็กลายเป็นทรัพย์สินของบ้านเดียวตระกูลเดียว ผู้คนต่างเห็นพ้องต่อแผนการของเขา

……

หมอดูยอดอัจฉริยะ

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ในยุคสมัยหลังการปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งใหญ่ ประเทศจีนเริ่มพัฒนาสู่ความทันสมัย ผู้คนต่างหันไปพึ่งวิทยาการตะวันตก ถ้าใครแสดงออกว่าสนใจเกี่ยวกับ “ศักดินางมงาย” อาจมีตำรวจมาเยี่ยมถึงบ้าน เยี่ยเทียน เด็กชายจากหมู่บ้านชาวนาผู้มีชะตาไม่ธรรมดา มีโอกาสได้รับการถ่ายทอดศาสตร์โบราณที่ถูกตีตราว่าล้าหลังและงมงาย เสี่ยงทาย ฮวงจุ้ย คำนวณชะตา โหงวเฮ้ง ทำนายฝัน ดูฤกษ์… เขาจะใช้ทักษะเหล่านี้ (และอื่นๆ) อย่างไรในยุคสมัยเช่นนี้?

Options

not work with dark mode
Reset