หมอดูยอดอัจฉริยะ – ตอนที่ 460 ท่าไม้ตาย

เมื่อเทียบกับการขึ้นเวทีอย่างเรียบง่ายไม่มีความฮือฮาของราชามวยอันเดรวิชแล้ว ลีลาของบาทาไร้เงา จางซาน นั้นมีเรียกเสียงจากผู้ชมได้มากกว่า แต่บางคนก็ยังลังเลว่าจะวางเงินเดิมพัน ในส่วนที่ไม่ค่อยมีใครสนใจ อย่างจางซาน ดีหรือเปล่า เพราะอัตราต่อรองคือเจ็ดต่อหนึ่ง

และที่สำคัญบนเวีทีมวยใต้ดิน ไม่ใช่ว่าตัวใหญ่กว่าแล้วจะชนะ ห้าคนที่แพ้ภายใต้เท้าทั้งสองข้างของจางซาน แต่ละคนล้วนตัวใหญ่กว่าเขาทั้งนั้น มีคนหนึ่งรูปร่างไม่ต่างไปจากอันเดรวิชเลยด้วยซ้ำ

“เพลงมวยดาวตก ชั่วเจี่ยว?”

เวลาเดินร่างกายช่วงบนของจางซานจะไม่ขยับ ทุกย่างก้าวของเท้านั้นเหมือนวัดไว้หมดแล้ว โดยทั่วไปแล้วขนาดของการก้าวจะอยู่ที่สามฟุต และตอนที่เขากระโดดเข้าเวที ทั้งตัวของเขาเหมือนดั่งตะปูที่ตอกไว้ตรงนั้น กำลังการทิ้งตัวของเขานั้นสุดยอดมาก

เพลงมวยดาวตกชั่วเจี่ยว มีต้นกำเนิดมาจากยุคสมัยราชวงศ์ซ่ง เฟื่องฟูที่สุดในสมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง ในตำนานซ้องกั๋งมีเรื่องเล่ากันว่า กระบวนท่าที่จอมเมามายอู่ซงผู้ฆ่าเสือด้วยมือเปล่า หนึ่งในวีรบุรุษแห่งเขาเหลียงซานใช้จัดการกับนักเลงใหญ่ เจี่ยงเหมินเซิน นั้นคือ ท่าเท้าวงแหวนหยก และท่าเท้าหยินหบาง ซึ่งล้วนเป็นกระบวนท่าในเพลงมวยดาวตกชั่วเจี่ยว ทั้งสิ้น

ต่อมาเพลงมวยนี้ได้รับการพัฒนาให้สมบูรณ์โดยนายพล จ้าวอี้ช่าน ในสมัยสงครามไท่ผิง ทำให้เพลงมวยดาวตก ชั่วเจี่ยว มีความแข็งแกร่งที่จะใช้ในการต่อสู้มากยิ่งขึ้น ยอดฝีมือมวยดาวตกชั่วเจียว สามารถเตะท่อนไม้หนาเท่าถ้วยชามหักได้ในครั้งเดียว สมัยปลายราชวงศ์ชิง มีผู้อาวุโสเคยเตะท่อนดอกเหมยหักติดต่อกันถึงสิบแปดอัน สร้างชื่อเสียงให้กับเพลงมวยดาวตกชั่วเจี่ยว จนเลื่องลือ

“ฝีมือไม่เลวทีเดียว กำลังขาแข็งแรงมาก เพียงแต่ว่าเขายังฝึกไม่ถึงระดับลมปราณแฝง ดังนั้นยังไงก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอันเดรวิช”

เยี่ยเทียนส่ายหัวเบาๆ จางซาน ได้เปรียบเรื่องความยืดหยุ่นของร่างกาย ในยุทธภพนั้นก็ยังมีพื้นที่ให้ เพลงมวยดาวตก ชั่วเจี่ยวอยู่ เพียงแต่ว่าความแข็งแกร่ง ระหว่างสองคนนั้นแตกต่างกันมากเกินไป มันเหมือนกับผู้ใหญ่ที่ต่อสู้กับเด็กทารกอายุสามขวบ ในสายตาของเยี่ยเทียนนั้นยังไม่รู้ว่าใครจะชนะหรือแพ้เลย

“โอเค ลงเดิมพันใช้เวลาห้านาที ขอให้ทุกคนส่งใบเดิมพันให้กับพนักงาน…”

หลังจากที่รอ อันเดรวิช และ จางซาน ยืนบนเวทีพร้อมกันเสร็จ เสียงของพิธีกรคนนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง ส่วนอันเดรวิชและจางซานยืนอยู่มุม ของเวทีอย่างเงียบๆ และรอการแข่งขันที่กำลังจะเริ่มขึ้น

แม้ว่าเมื่อสักครู่จะใช้ลีลาไปสักหน่อยสำหรับการขึ้นเวที แต่ประสบการณ์มวยใต้ดินของจางซานนั้นโชกโชนมากทีเดียว ในเวลานี้เขายังนิ่งอยู่ กำลังปรับสถานะของเขาด้วยลมหายใจที่ต่อเนื่องและเตรียมที่จะหาจุดอ่อนของคู่ต่อให้เร็วที่สุด จากนั้นก็จะล้มคู่ต่อสู้ให้ได้

ยังไม่พูดถึงสองคนที่กำลังเตรียมตัวอยู่บนเวที นักธุรกิจเศรษฐีต่างๆ ที่อยู่ข้างล่างเวทีก็กำลังใช้สมองวัดความแกร่งของทั้งสอง จู้เหวยเฟิงที่นั่งอยู่ข้างๆ เยี่ยเทียนหยิบใบเดิมพันขึ้นมา ยิ้มและพูดว่า “น้องเยี่ย เป็นยังไง สนใจลองเล่นสักตั้งมั้ย?”

“ไม่สนใจ…” เยี่ยเทียนปฎิเสธจู้เหวยเฟิงตรงๆ ส่ายหัวและพูดว่า “ท่านประธานจู้ ถ้าคนของท่านเหมือน บาทาไร้เงาจางซานทุกคนละก็ เกรงว่าอันเดรวิชจะได้ฉายาราชามวยของที่นี่แล้ว”

“จางซานเป็นแค่ทางผ่านเท่านั้น ความสามารถของเขาในสนามมวยแห่งนี้ คงเรียงลำดับไว้ได้แค่กลางๆ…”

จู้เหวยเฟิงรู้สึกแปลกใจในคำพูดของเยี่ยเทียนเล็กน้อย เขาไม่แน่ใจว่าเยี่ยเทียนใช้อะไรมาเป็นตัวตัดสินเช่นนี้ แต่เมื่อเขามองไปที่หูหงเต๋อผู้ที่อยู่ข้างๆ แล้วก็เข้าใจทันที เขามองออกว่า ความสามารถของตาแก่ผมขาวคนนั้นแข็งแกร่งมาก แม้ว่านักสู้ของฝั่งตนเองจะแข็งแกร่งแค่ไหน ก็คงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตาแก่คนนั้นแน่นอน

“น้องเยี่ย แรงโจมตีของจางซานถึงแม้จะอ่อนกว่า แต่ความสามารถของเขากลับเป็นคนที่ยืดหยุ่นที่สุดของที่นี่ ถ้าสามารถโจมตีจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ได้ ก็เป็นไปได้ว่าจะเอาชนะนัดนี้มาได้!”

จางซานเป็นคนที่จู้เหวยเฟิงเลี้ยงมาโดยเฉพาะ แต่ตอนนี้กลับถูกเยี่ยเทียนดูถูกเล็กน้อย จู้เหวยเฟิงจึงรู้สึกไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่

และสาเหตุที่เขาส่งจางซานออกมาเป็นคนแรก ก็เพราะว่าการก้าวเท้าของจางซานนั้นมีความยืดหยุ่นมาก ถึงแม้ไม่สามารถเอาชนะฝั่งตรงข้ามได้ แต่การที่อันเดรวิชจะจับและล้มจางซานลง ก็คงจะเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเช่นกัน

เยี่ยเทียนส่ายหัว และคิดว่าไม่ถูกต้อง “อ่อ ถ้าอย่างนั้นผมจะรอดู”

พูดตามตรง พลังต่อสู้อย่างจานซาน เกรงว่าในสามกระบวนท่า หากประจันหน้ากับหูหงเต๋อเขาก็ยังรับไม่ไหว แม้ว่าความสามารถของอันเดรวิชจะสู้หูหงเต๋อไม่ได้ก็ตาม ทั้งสองฝั่งล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่อยู่ในระดับเดียวกัน อยากจะจัดการคู่ต่อสู้แบบไม่ให้ทันตั้งตัว ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย

คนที่สามารถมาถึงที่นี่ ไม่มีใครไม่ใช่พ่อค้ามหาเศรษฐีของประเทศ ความน่าเชื่อนั้นมีการรับประกันแน่อยู่แล้ว พวกเขาแค่เขียนจำนวนเงินที่จะพนันลงไปในกระดาษพนันจากนั้นก็เซ็นชื่อของตัวเองลงไป จะมีเจ้าหน้าที่อยู่ข้างสนามเก็บใบเดิมพันไว้เป็นหลักฐาน

เวลาเดิมพันห้านาทีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ความสนใจของทุกคนเพ่งตรงไปยังเวทีมวยตามเสียงระฆัง

“ทั้งสองท่าน เราจะไม่พูดเรื่องกฎให้เสียเวลา มีคนล้มหรือถูกชกจนออกเวทีมวย อีกฝ่ายถือว่าชนะ เริ่ม…การแข่งขัน!”

มวยใต้ดินแบบนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้กรรมการ เพราะว่าคนที่อยู่ในสนามทั้งหมดสามารถเป็นกรรมการได้ทุกคน หลังจากที่พิธีกรรับเชิญเป็นกรรมการไปหนึ่งยกเสร็จ เขาก็รีบลงจากเวทีมวยดั่งไฟลนก้น เพราะไม่กล้าที่จะอยู่ตรงกลางระหว่างสองคนนี้ ในขณะที่กำลังต่อสู้กันอย่างแน่นอน

ตอนที่จู้เหวยเฟิงทำการแข่งขันมวยใต้ดินตอนแรก ๆ ก็มีกรรมการ แต่ภายหลังกรรมการถูกลุกหลงจากนักมวยตีจนพิการติดต่อกันไปสามคนแล้วนั้น เวทีมวยแห่งนี้ก็ไม่มีกรรมการอีกเลย ก็เหมือนกับคำว่าที่ว่า ดวงตาของผู้ชมนั้นคมชัดมากกว่า

การชกมวยใต้ดินไม่ใช่การประลองมวยจีน ที่สำคัญคือเหล่าพวกฝรั่งที่มาแข่งขันก็ไม่รู้จักมวยจีนด้วยเช่นกัน หลังจากที่กรรมการประกาศเริ่มการแข่งขัน บาทาไร้เงา จางซานก็เริ่มเดินไปรอบ ๆเวที

ส่วนอันเดรวิชที่ยืนหลับตาอยู่บนเวทีนั้น ก็ได้เปิดตาออกมา ตาสีเทาคู่นั้นไม่มีความโกรธแม้แต่น้อย แต่เหมือนตาของคนตายที่กำลังจ้องไปที่จางซาน และไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ต่อท่าทีของเขาเลย

“ชกสิ เอาเลย!”

“ตีให้ตาย! ตีให้ตาย!”

คนหนึ่งขยับ คนหนึ่งนิ่ง แต่กลับไม่มีใครเริ่มก่อน ทำให้คนที่อยู่ข้างล่างสนามเกิดความไม่พอใจ และเริ่มส่งเสียงตะโกนด่าออกมา ถึงแม้หลายๆ คนจะพนันให้ผู้ที่มีลักษณะโหดเหี้ยมอย่างอันเดรวิชชนะ แต่ถ้าพูดตามความรู้สึกแล้ว พวกเขาก็ยังหวังว่าจางซานจะสามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้

ได้ยินเสียงตะโกนจากผู้ชมที่อยู่ด้านล่าง จางซานก็รู้สึกเหมือนกันว่าอยู่แบบนี้ต่อไปคงไม่ได้ จึงก้าวขาทั้งคู่วนออกไป อยู่ข้างหลังอันเดรวิชรวดเร็วปานสายฟ้า ช่วงบนไม่ขยับแม้แต่น้อย เท้าขวาเตะออกไปที่ขมับขวาของอันเดรวิช

นี่ก็เป็นท่าไม้ตายท่าหนึ่งของ มวยดาวตกชั่วเจี่ยว เตะนี้ดูเหมือนเป็นการเตะทั่วไป แต่ในความเป็นจริง จุดสุดท้ายที่โดนฝ่ายตรงข้ามคือปลายเท้าของจางซานเท่านั้น แต่อย่าดูถูกปลายเท้านี้ ไม้อัดแข็งหนาเจ็ดแปดเซนติเมตรก็ยังสามารถถูกเขาเตะจนทะลุได้

เหมือนจะรู้ว่าความเร็วของตนเองสู้ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ อันเดรวิชไม่หมุนตัวตาม ได้ยินเสียงเตะจากใบหูข้างขวา เขายกมือขวาขึ้นมาปกป้องขมับของตนเอง

เตะนี้ของจางซานโดนปลายแขนของอันเดรวิชเข้าอย่างจังๆ สองฝ่ายโจมตีซึ่งกันและกัน และมีสียง “เพี๊ยะ”ดังออกมา เหมือนเสียงฟาดของแส้เวลาฮ่องเต้ทรงว่าราชกิจ

ทั้งคู่ไม่ได้พัวพันกันมากมาย แค่ร่างกายสัมผัสกันครั้งเดียวเท่านั้น อันเดรวิชยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ส่วนผู้ที่ใช้ขาเตะอย่างจางซานกลับต้องถอยหลังกลับสี่ถึงห้าก้าว ก่อนจะหยุดลงไปยืนพิงอยู่กับเสาที่มุมเวที

“โห นี่….นี่เป็นคนหรือเปล่าอ่ะ?”

จางซานที่ยืนนิ่งได้แล้วรู้สึกชาที่ขาข้างขวา ความตกตะลึงที่อยู่ในใจไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ เขาไม่คิดเลยว่า ขาที่สามารถเตะก้อนหินให้แตกได้ จะไม่สามารถสร้างรอยขีดข่วนให้แขนของคู่ต่อสู้ได้เลย!

“เข้ามาใหม่สิ”  อันเดรวิชส่งยิ้มอย่างดุร้าย หันหน้ามาหาจางซาน แล้วใช้นิ้วชี้กระดิกเรียกให้ จางซานเข้ามาอีก

“ฉันไม่เชื่อหรอกว่า ขมับและหว่างขาแกจะแข็งแกร่งเหมือนแขน?”

ถึงแม้เมื่อครู่จะเสียเปรียบไปบ้าง แต่จางซานก็ไม่มีความคิดที่จะยอมแพ้ เพราะเวทีมวยแห่งนี้ใหญ่กว่าเวทีมวยทั่วไป มันเพียงพอที่จะให้เขาหลบเลี่ยงการโจมตีของอันเดรวิชได้ ภายในใจของจางซานคิดว่าตัวเองจะไม่มีทางแพ้แน่นอน

จากนั้นจางซานก็ใช้ขาโจมตีท่อนล่างของอันเดรวิชอย่างต่อเนื่อง ใช้ทั้งการเตะและการเกี่ยว ระหว่างที่อันเดรวิชระวังป้องกันจุดที่กำลังถูกโจมตี จางซานจะเคลื่อนตัวและเปลี่ยนท่าอย่างรวดเร็วโดยไม่ซ้ำกันเลย และไม่ผิดพลาดเหมือนครั้งแรก

“เตะมัน เตะเข้าไปสิ”

“เตะได้สวย เตะมันให้ตายะ!”

ถ้ามองจากข้างนอกทุกคนคิดว่า อันเดรวิชเหมือนกระสอบทรายที่กำลังโดนเตะ ยังยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหวปล่อยให้จางซานเข้าโจมตี แต่สิ่งที่น่าแปลกประหลาดคือ ทุกครั้งที่จางซานจะเตะอันเดรวิช เขากลับดึงเท้ากลับไป จึงทำให้ผู้ชมเริ่มส่งเสียงโห่ร้องอีกครั้ง

แต่ครั้งนี้จางซานไม่ได้สนใจเสียงโห่ร้องของคนเหล่านั้นอีก เขายังคงหาจุดอ่อนและโอกาสในการโจมตีที่ดีที่สุด สำหรับการชกมวยใต้ดินเช่นนี้ ขอแค่ให้มีโอกาส การโจมตีเพียงครั้งเดียวก็สามารถรู้ผลแพ้ชนะทันที…หรือแม้กระทั่งการมีชีวิตอยู่หรือตายลง

ในขณะที่อารมณ์ของผู้ชมเริ่มบ้าคลั่งขึ้นอีกมาครั้ง เมื่อการโจมตีจากข้างหลังอันเดรวิชสำหรับไม่สำเร็จ จางซานจึงเคลื่อนตัวมาข้างหน้า ทันใดนั้นเขาก็จิ้มสองนิ้วขวาออกไปทิ่มดวงตาของอันเดรวิช

สุภาษิตกล่าวไว้ว่า “มือเป็นบานประตูสองบาน ใช้เปิดทางให้ขาเตะออกได้”

“ตีด้วยมือปะทะสามจุด เตะด้วยขาปะทะได้เจ็ดจุด” ผู้ที่ฝึกฝีมือในการใช้ขาไม่ได้แปลว่าไม่มีฝีมือในการใช้มือ ไม่มีใครรู้ว่า จางซานนอกจากจะฝึกการเตะด้วยขาแล้ว ในสมัยก่อนเขายังเคยฝึกการใช้นิ้วจนกระทั่งนิ้วทั้งสิบของเขาสามารถเจาะทะลุอิฐให้เป็นรูได้

ตลอดที่ผ่านมาจางซานไม่เคยใช้ท่าไม้ตายนี้เลย เป็นกลยุทธ์ที่ทำให้คู่ต่อสู้คาดไม่ถึง เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย กระบวนท่า มังกรคู่ท่องทะเล ที่ใช้ออกมาอย่างกะทันหัน แม้แต่อันเดรวิชก็ยังคาดไม่ถึง

หลังจากที่อันเดรวิชป้องกันการโจมตีจากข้างหลังของจางซาน ตอนนี้เขาจึงปกป้องดวงตาทั้งสองข้างของเขาไม่ทันแล้ว จางซานที่กำลังรู้สึกว่าปลายนิ้วของตัวเองกำลังจะสัมผัสถึงลูกตาของอันเดรวิชนั้นก็รู้สึกดีใจมาก

จุดอ่อนที่สุดของคนเรา คงหนีไม่พ้นคอและดวงตา จางซานมั่นใจในตัวเองมาก ขอแค่จิ้มโดนตาของอันเดรวิช เขาก็สามารถควักลูกตาออกมาสดๆ ได้

……

หมอดูยอดอัจฉริยะ

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ในยุคสมัยหลังการปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งใหญ่ ประเทศจีนเริ่มพัฒนาสู่ความทันสมัย ผู้คนต่างหันไปพึ่งวิทยาการตะวันตก ถ้าใครแสดงออกว่าสนใจเกี่ยวกับ “ศักดินางมงาย” อาจมีตำรวจมาเยี่ยมถึงบ้าน เยี่ยเทียน เด็กชายจากหมู่บ้านชาวนาผู้มีชะตาไม่ธรรมดา มีโอกาสได้รับการถ่ายทอดศาสตร์โบราณที่ถูกตีตราว่าล้าหลังและงมงาย เสี่ยงทาย ฮวงจุ้ย คำนวณชะตา โหงวเฮ้ง ทำนายฝัน ดูฤกษ์… เขาจะใช้ทักษะเหล่านี้ (และอื่นๆ) อย่างไรในยุคสมัยเช่นนี้?

Options

not work with dark mode
Reset