หมอดูยอดอัจฉริยะ – ตอนที่ 554 โปรดสัตว์ (3)

“ของ…เล่นนี้ฉันก็ไม่เคยเจอมาก่อนนะ?”

น้ำเสียงของโก่วซินเจียก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะพวกเขาต่างรู้ว่า ตำนานบางอย่างในสมัยโบราณมาไม่ได้เป็นข่าวลือแน่นอน ปัจจุบันไม่ได้พบผีดิบแล้ว แต่ไม่ได้แสดงว่าบนโลกนี้จะไม่มีผีดิบอยู่จริง

เยี่ยเทียนเคยบรรยายถึงงูอนาคอนดาตัวนั้นที่อยู่ในภูเขาปีศาจ เป็นสิ่งที่มีชีวิตที่เหนือการคาดหมาย ไม่แน่ว่าคนที่มีขนสีขาวขึ้นเต็มไปหมดที่อยู่ตรงหน้านี้ อาจจะเป็นผีดิบจริงๆ

เมื่อเห็นซากศพที่แปลกประหลาดตัวนี้ ในใจพวกเยี่ยเทียนสามคนต่างก็เหน็บหนาวไปหมด ใครจะรู้ว่าของสิ่งนี้อาจจะกระโดดออกมาจากในโลงศพหิน แล้วเอาเล็บแหลมๆ มาข่วนพวกเขาก็ได้

เมื่อรู้สึกถึงพลังพิฆาตที่น่าเกรงขามของศพมีขนยาวตนนั้น ทันใดนั้นเยี่ยเทียนก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา ปริปากพูดว่า “คำว่าผีดิบ อาจจะเป็นสัตว์ประหลาดที่คนสร้างขึ้นมา บางทีร่างกายอาจจะไม่รับรู้อะไรแล้วก็ได้…”

ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาต่อสู้กับชาญทองทวนที่อยู่ในบ้านของถังเหวินหย่วน ก็มีสัตว์ประหลาดลักษณะเหมือนคนที่มีดหรือปืนฟันแทงไม่เข้าได้ติดตามมากับชาญทองทวนมาด้วย ซึ่งเหมือนกับศพที่มีผมสีขาวที่อยู่ตรงหน้าเขา

พลังพิฆาตที่อยู่ในตัวทั้งสองคนแฝงอยู่จำนวนมาก พลังวิญญาณชั่วร้ายเหล่านั้นเกือบดูดกลืนร่างกายของพวกเขา แต่ก็เหมือนกับศพนี้ ตัวประหลาดนั้นไม่มีความคิดใดๆ เป็นเพียงการขับเคลื่อนของชาญทองทวนเท่านั้น

เยี่ยเทียนเดิมทีก็เป็นคนที่กล้าไม่กลัวอะไร เมื่อนึกถึงจุดนี้ จึงไปแกะหินเล็กๆ หนึ่งก้อนจากกำแพงหลุม นิ้วกลางมือขวาหนีบไว้ แล้วก็ดีดไปโดนขนขาสีขาวของซากศพนั่น

เกิดเสียง“ติง” ดังออกมา หลังจากที่ก้อนหินสัมผัสกับศพ คิดไม่ถึงว่าจะมีเสียงเหมือนทองปะทะกับเหล็ก ทำให้พวกเยี่ยเทียนต่างจ้องหน้ากันโดยไม่รู้ตัว

เมื่อเห็นสถานการณ์แบบนี้ โก่วซินเจียถึงกับพูดพึมพำว่า “สิ่งนี้ถ้าถูกพลังพิฆาตเปลี่ยนเป็นค่ายกลเจ็ดดาวไถและถูกกัดเซาะอีกระยะเวลหนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้ร่างกายไม่เสียหายเลยจริงๆ?”

ศพนี้จะกลายเป็นผีดิบได้ไหมทั้งสองสามคนก็ไม่มีใครรู้ แต่ถ้าไม่ใช่ทีมงานก่อสร้างทำลายค่ายกลนี้ พลังชั่วร้ายเหล่านั้นก็คงเป็นตัวบำรุงให้กับศพต่อไป แต่พอเกิดเรื่องขึ้นมา จึงไม่มีใครที่จะสามารถคาดเดาได้

“ศิษย์พี่ใหญ่ สิ่งนี้จะเก็บไว้ไม่ได้ ถ้าวิญญาณชั่วร้ายภายในร่างกายของพวกมันออกมา จะเกิดหายนะได้นะ!”

จั่วเจียจวิ้นไม่สนว่าจะเป็นผีดิบหรือไม่ใช่ผีดิบ ตอนนี้เขาแค่กลัวพลังพิฆาตในศพล้นออกมา “ไม่งั้น…พวกเราใช้ไฟเผาพวกมันเลยดีไหม?”

เคยได้ยินว่าการรับมือกับผีพรายแล้ง ก็คือการใช้ไฟเผาจนกลายเป็นขี้เถ้า ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม เทถังน้ำมันลงบนนั้น แม้แต่ทองคำกับเหล็กก็ละลายได้

หลังจากที่ได้ยินคำพูดของจั่วเจียจวิ้น โก่วซินเจียจึงรีบส่ายหน้าพูด “ไม่เหมาะสม ศิษย์น้องจั่ว พลังวิญญาณชั่วร้ายในศพนี้กลายเป็นเนื้อแท้ของมันแล้ว ถ้าเผาด้วยน้ำมัน เกรงว่าหยินและหยางจะมาปะทะกัน อาจจะเกิดการระเบิดขึ้นได้”

พลังพิฆาตจะกลายเป็นหยินที่ชั่วร้ายที่สุด ดังนั้นไฟเป็นหยางที่แข็งแกร่งที่สุด

ถ้าทั้งสองอย่างมีความแตกต่างกันมาก การใช้ไฟพิชิตวิญญาณร้ายไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด เพียงแต่พลังพิฆาตในศพนี้น่ากลัวมากเกินไป การใช้ไฟเผาจึงไม่ใช่วิธีที่ดีอะไร

“งั้น…งั้นจะทำอย่างไรล่ะ?”

เมื่อจั่วเจียจวิ้นได้ยินถึงกับตะลึงตาค้าง ไม่มีการปลุกเสกคาถาค่ายกลเจ็ดดาวไถ ศพนี้ก็เหมือนถังระเบิด ไม่แน่อาจจะระเบิดเมื่อไรก็ได้

โก่วซินเจียคิดสักพัก และยิ้มพูดอย่างเจื่อนๆ “หรือจะใช้วิธีโง่ๆ พลังพิฆาตในตัวมันได้หลอมรวมในร่างกายแล้ว ในระยะเวลาอันสั้นคงไม่มีอันตรายมาก พวกเราใช้ “คัมภีร์โปรดมนุษย์” โปรดเขาเถอะ!”

“มีแค่วิธีนี้แล้ว งานครั้งนี้ไม่ได้ทำสำเร็จง่ายๆ หรอก ต้องหาคนมากางเต็นท์สักสองสามหลังรอบบริเวณนี้”

เยี่ยเทียนพยักหน้า เพราะไม่มีทางอื่นแล้ว อีกอย่างเรื่องเริ่มมาจากที่เขาสร้างคฤหาสน์ ไม่ว่าอย่างไรเยี่ยเทียนก็ต้องรับผิดชอบให้ถึงที่สุด

โชคดีที่พลังพิฆาตในศพนี้ยังไม่ได้ออกมาชั่วคราว แม้แต่หลิ่วติ้งติ้งที่ท่องบทสวดมนต์ “โปรดสัตว์” พลังพิฆาตก็ค่อยๆลดลง จากนั้นจึงพลัดกันท่องบทคัมภีร์โปรดสัตว์ จึงไม่ค่อยเหนื่อยกันมาก

แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จึงทำให้แยกแยะระดับทักษะสูงต่ำของแต่ละคนชัดเจน เยี่ยเทียนใช้วิธีการผสมผสานท่องแบบประนมมือซึ่งได้ผลดีที่สุด เขาใช้เวลาแค่วันเดียว พลังพิฆาตที่อยู่ครึ่งหนึ่งของแขนศพได้ถูกบทโปรดสัตว์ขจัดจนหมดสิ้น

คนที่สองก็คือโก่วซินเจีย เขาได้กำหนดลมหายใจอย่างจริงจัง และท่องคัมภีร์ออกมาทำให้จิตใจของคนนั้นสงบ หนำซ้ำยังมีผลดีเยี่ยมกับวิญญาณชั่วร้าย และเมื่อคนงานที่ใจกล้าพวกนั้นได้ยิน ก็เกือบจะยอมเปลี่ยนศาสนามานับถือลัทธิเต๋า

พละกำลังจั่วเจียจวิ้นค่อยๆ อ่อนลง ประสิทธิภาพก็ลดลงมากเช่นกัน ส่วนโจวเซี่ยวเทียนและหลิ่วติ้งติ้ง ก็ช่วยได้แค่นิดหน่อย แทบจะไม่มีผลต่อการโปรดสัตว์ของพลังพิฆาตเลย

เนื่องจากพลังพิฆาตในศพค่อยๆ หายไป ขนขาวที่อยู่บนศพก็ค่อยๆ หดตัว กล้ามเนื้อก็เน่าเปื่อยอย่างรวดเร็ว กลิ่นเหม็นเน่านั้นทำให้คนที่ได้กลิ่นแทบจะอาเจียน

หลังจากทนกลิ่นนี้เป็นเวลาห้าวัน ในที่สุดพลังพิฆาตในศพก็หายไปจนหมด

ตามแบบสมัยโบราณ วิธีการนี้เรียกว่าการโปรดสัตว์ ต้องรู้ว่า ในสมัยโบราณหลังจากที่มีสงครามการต่อสู้กัน ทุกครั้งจะมีการเชิญพระลัทธิเต๋ามาทำพิธี ความจริงสิ่งที่เรียกว่าการโปรดสัตว์ ก็คือทำให้พลังพิฆาตนั้นหมดไป เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้พลังหยินพิฆาตรวมตัวกันทำร้ายประชาชน

“เยี่ยเทียน ร่างศพนี้จะจัดการยังไง?”

เมื่อเห็นศพที่ไม่เหมือนศพได้เน่าเปื่อยแล้ว โก่วซินเจียจึงขมวดคิ้ว ถึงแม้พลังพิฆาตจะหมดไปแล้ว แต่ใครจะรู้ถ้าขุดดินลึกลงไปอีก อาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกก็ได้

“เผาศพเถอะ เผาศพที่แท่นบูชานี้”

เยี่ยเทียนหันมามองจั่วเจียจวิ้น ยิ้มแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ รบกวนท่านขึ้นแท่นพิธีทำพิธีด้วยนะครับ ช่วยโปรดผีดิบตนนี้เถอะ”

เพื่อที่จะบำบัดจิตของหมู่บ้านชาวประมงและคนงานก่อสร้าง สองสามวันมานี้จั่วเจียจวิ้นตั้งใจสร้างแท่นบูชาขึ้นมาเป็นพิเศษ ทุกวันตอนที่กำจัดพลังพิฆาตต่างก็นั่งอยู่บนแท่นบูชานี้

ยังไม่ได้พูดถึง ว่าการกระทำของจั่วเจียจวิ้นได้รับผลตอบรับดีมาก พวกชาวประมงและทีมงานคนก่อสร้างพวกนั้นหลังจากที่ได้เห็นแท่นบูชา ก็มีความกล้าหาญขึ้น รวมถึงพลังหยินที่เยือกเย็นนั้นค่อยๆ จางหายไป หลายคนจึงได้วิ่งมาที่ข้างหลุมเพื่อมาดูศพที่มีขนสีขาว

เมื่อมีการสัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ จั่วเจียจวิ้นก็ปฏิเสธทั้งหมด แต่ก็มีนักข่าวสองสามคนที่นำวีดีโอมาแอบถ่าย ทว่าได้ถูกโจวเซี่ยวเทียนไล่ออกไป

ต่อมาจั่วเจียจวิ้นก็อดทนจนถึงที่สุด บอกให้เถ้าแก่หัวอย่างตรงไปตรงมาว่าให้ส่งคนที่บริษัทมาคุมที่นี่หน่อย นี่ถึงจะสามารถปิดกั้นการรบกวนจากนักข่าวซุบซิบพวกนี้ได้

“ได้ ในที่สุดก็กำจัดอันตรายที่ซ่อนเร้นนี้ได้แล้ว”

จั่วเจียจวิ้นพยักหน้า เรียกให้คนขับรถเครนมาหนึ่งคัน แต่ถึงแม้คนงานพวกนั้นจะใจกล้ามากขึ้น ทว่ายังไม่มีใครสักคนที่จะกล้าลงไปในหลุม

“ผมทำเอง”

ภายใต้ความจนปัญญา เยี่ยเทียนก็กระโดดเข้าไปในหลุมอีกครั้ง ใช้เชือกลวดมัดที่โลงศพหินจนแน่น ยกไปแขวนที่รถเครน โลงศพหินที่ใหญ่ก็ค่อยๆ ถูกดึงขึ้นมาไว้ที่บนพื้น

“หืม มีแผ่นศิลาจารึกด้วยเหรอ”เมื่อเห็นโลงศพหินยกขึ้นมาแล้ว เยี่ยเทียนก็พลิกโคลนดินที่อยู่ตรงท้ายโลงศพหิน ป้ายหินสีดำคล้ำแผ่นหนึ่งเผยออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน

เยี่ยเทียนยื่นมือทั้งสองข้างดึงป้ายหินออกจากในโคลน พบว่าด้านบนเต็มใบด้วยดินโคลน ไม่สามารถแยกข้อความด้านบนได้ชัดเจน แต่ด้วยความจำใจจึงต้องเอาป้ายหินขึ้นไปข้างบนก่อน

“กลับไปค่อยดู ทำพิธีกรรมให้เสร็จก่อน”

หลังจากที่ขึ้นมาบนพื้น โก่วซินเจียก็ได้เห็นแผ่นป้ายหินศิลาจารึก แต่จั่วเจียจวิ้นได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เตรียมพร้อมทำพิธีเป็นลิงหลอกเจ้า

และพิธีเปิดแท่นบูชาในวันนี้ ได้เชิญคนจากสองสามหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียงมาดู รวมถึงกลุ่มคนงานก่อสร้าง ต่อไปการดำเนินการก่อสร้างจะต้องฝากความหวังไว้ที่พวกเขาแล้ว

สวมใส่ชุดนักบวชเต๋า มือซ้ายถือเข็มทิศ มือขวาโบกดาบไม้ท้อ จั่วเจียจวิ้นปรากฎตัวบนแท่นบูชา

โบราณกล่าวว่าคนวงในดูช่องทาง คนวงนอกเป็นไทยมุง เช่นเดียวกับการใช้วิชาทุกอย่างที่มีอยู่ในตัวจุดผ้ายันต์พวกนั้นโดยไม่มีไฟ จั่วเจียจวิ้นทำออกมาได้อย่างคล่องแคล่วดังใจคิด ทำให้คนดูพวกนั้นต่างก็ปรบมือส่งเสียงร้องด้วยความยินดี

มีเพียงเยี่ยเทียนที่สงสัยว่า เมื่อก่อนศิษย์พี่สองเคยให้คำแนะนำเทคนิคภาพยนตร์เกี่ยวกับผีดิบที่เป็นกระแสในฮ่องกงช่วงหนึ่งมาก่อนหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นท่าทางพวกนี้ทำไมถึงแสดงเหมือนในภาพยนตร์ขนาดนี้?

“จุดไฟ!”

หลังจากที่แสดงเสร็จ จั่วเจียจวิ้นก็ออกคำสั่ง โจวเซี่ยวเทียนวางกองฟืนที่แช่น้ำมันเบนซินลงในโลงศพหิน โยนฟืนเข้าไป เชื้อเพลงในหลุมศพหินก็ลุกโชนขึ้น

รอจนกระทั่งไฟไหม้จนหมด เยี่ยเทียนและโจวเซี่ยวเทียนก็ลงมือเอง เก็บขี้เถ้าของกระดูกทั้งหมดใส่ในโลงไม้ที่เตรียมไว้ เพราะบุคคลนี้อาจเกี่ยวข้องกับผู้อาวุโสของสำนักเสื้อป่าน จึงต้องจัดตำแหน่งไว้ในที่ดีๆ

หลังจากที่ร่ายมนตร์คาถาเสร็จ จั่วเจียจวิ้นคำนับผู้คนที่ล้อมทั้งสี่ด้าน พูดว่า “เรียนพ่อแม่พี่น้องทุกคน ผีดิบที่ทำร้ายคนตนนี้ ได้ถูกนายจั่วอย่างฉันคนนี้โปรดสัตว์เรียบร้อยแล้ว ต่อไปทุกคนสามารถใช้ชีวิตที่นี่ได้อย่างวางใจ และจะไม่เกิดอันตรายอะไรอีก!”

“ขอบคุณท่านอาจารย์จั่ว เหล่าอู๋ขอเป็นตัวแทนของคนในหมู่บ้านหลายร้อยครัวเรือน ขอบคุณอาจารย์จั่วครับ!”

หลังจากที่สิ้นเสียงของจั่วเจียจวิ้น ผู้ใหญ่บ้านอู๋คนนั้นก็เป็นผู้นำในการตะโกนขึ้น นอกจากนั้นคนในหมู่บ้านก็ส่งเสียงร้องพร้อมกัน ชั่วพริบตาเดียว “ปรมาจารย์จั่ว” ก็ได้รับการยกย่องให้เป็นบรรพบุรุษซันชิง

ผู้คนรวมตัวกันเป็นเวลานานแล้วจึงแยกออกไป อาจารย์จั่วลงมาจากท่านบูชาด้วยเหงื่อที่ชุ่มโชก โดยที่มีศิษย์พี่และศิษย์น้องทั้งสองคนที่ให้กำลังใจอยู่ด้านล่าง คำชมพวกนั้นทำให้เขาหน้าแดงมาก

“ศิษย์น้องจั่ว นี่คือแผ่นหินศิลาจารึกที่เยี่ยเทียนขุดขึ้นมาจากหลุม หาคนไปล้างซักหน่อย ดูว่าข้างบนเขียนว่าอะไร”

ไม่ใช่เพียงเยี่ยเทียนที่แปลกใจ แม้แต่โก่วซินเจียเองก็รู้สึกตะหงิดในใจ เพราะหลุมฝังศพนี้แม้แต่ร้านขายสินค้าพวกงานศพก็ยังไม่มี จึงไม่รู้ว่าศิษย์พี่อาวุโสคนนั้นทำไมต้องสร้างค่ายกลให้คนผู้นี้ด้วย?

ต้องรู้ว่า ผู้คนในสำนักฉีเหมินจะช่วยคนในการดูฮวงจุ้ย ราคานั้นสูงไม่ธรรมดา ถ้าหากอยากจัดตั้งฮวงจุ้ยที่ให้พรแก่คนรุ่นหลัง หากไม่มีทองคำถึงสองสามร้อยก็ไม่ต้องคิดถึงเลย

และสิ่งที่แปลกของที่นี่ คนโบราณให้ความสำคัญกับการจัดงานศพ คนที่สามารถซื้อทองได้ร้อยสองร้อยเหรียญ การฝังศพก็คงไม่ซอมซ่อแบบนี้ คำถามนี้จึงยังรบกวนใจพวกเยี่ยเทียนมาหลายวัน

ทั้งสามคนรอกลับไปดูไม่ไหว หลังจากที่ให้คนดึงท่อน้ำมาล้างดินบนป้ายหินให้สะอาดแล้ว ทันใดนั้นแถวข้อความหนาแน่นจึงปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา

ตัวอักษรที่เขียนเป็นตัวอักษรบรรจงเล็กหรือเสี่ยวไข่ บทความนี้มีมากกว่าหนึ่งพันตัวอักษร ศิลปะการแกะสลักประณีตมาก ถึงแม้ตัวอักษรจะเล็ก แต่ตัวอักษรทุกตัวกลับแยกออกและเห็นได้อย่างชัดเจน

ทว่าเมื่อเริ่มอ่านคำจารึก เยี่ยเทียนก็มองไปที่จั่วเจียจวิ้นอย่างไม่เข้าใจและถามว่า “ศิษย์พี่จั่ว ซือซานเหลียงนี่เป็นใครกัน เขามีชื่อเสียงในฮ่องกงมากไหม?”

……………………………..

หมอดูยอดอัจฉริยะ

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ในยุคสมัยหลังการปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งใหญ่ ประเทศจีนเริ่มพัฒนาสู่ความทันสมัย ผู้คนต่างหันไปพึ่งวิทยาการตะวันตก ถ้าใครแสดงออกว่าสนใจเกี่ยวกับ “ศักดินางมงาย” อาจมีตำรวจมาเยี่ยมถึงบ้าน เยี่ยเทียน เด็กชายจากหมู่บ้านชาวนาผู้มีชะตาไม่ธรรมดา มีโอกาสได้รับการถ่ายทอดศาสตร์โบราณที่ถูกตีตราว่าล้าหลังและงมงาย เสี่ยงทาย ฮวงจุ้ย คำนวณชะตา โหงวเฮ้ง ทำนายฝัน ดูฤกษ์… เขาจะใช้ทักษะเหล่านี้ (และอื่นๆ) อย่างไรในยุคสมัยเช่นนี้?

Options

not work with dark mode
Reset