หมอดูยอดอัจฉริยะ – ตอนที่ 233

เข้าฌาน

หลังจากที่มาถึง เยี่ยเทียนกับพ่อก็ไปหาร้านอาหารกินตามสบาย หลังจากนั้นก็สอบถามกับเถ้าแก่ร้านอาหาร ตรงไปที่ ‘เมืองยาตะวันออก’ ซึ่งเป็นฐานการค้ายาสมุนไพรจีนที่ใหญ่ที่สุดในเมืองอันกั๋ว

การค้ายาสมุนไพรจีนที่เมืองอันกั๋ว สิ่งที่สำคัญคือต้องผ่าน ‘เมืองยาตะวันออก’  ที่นี่เป็นหนึ่งในสิบเจ็ดตลาดที่เชี่ยวชาญด้านยาสมุนไพรจีนที่ได้รับการยอมรับจากประเทศจีน

พื้นที่ของตลาดทั้งหมดมีมากกว่าหกแสนตารางเมตร แบ่งเป็นสองชั้นด้านบนและด้านล่าง ผลประกอบการประจำปีเกินห้าพันล้านหยวน ปริมาณการใช้วัสดุยาประจำปีอยู่ที่หนึ่งแสนตันและลูกค้าที่ซื้อขายรายวันเกินกว่าหนึ่งหมื่นราย

“เฮ้ย นี่……นี่ใหญ่มากเลยนะ”

เมื่อมองไปที่ประตูมีตัวอักษรตัวใหญ่สี่คำว่า ‘เมืองยาตะวันออก’ เยี่ยเทียนถึงกับตกตะลึง เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่า สมุนไพรเหล่านี้ที่เติบโตในภูเขาลึก จู่ๆ ก็มีสถานที่ค้าขายขนาดใหญ่เช่นนี้

แต่หลังจากที่ตกตะลึงไปได้สักพัก เยี่ยเทียนก็ออกจากภวังค์ ยาสมุนไพรจีนในตอนนี้ไม่ได้เก็บมาจากภูเขาเหมือนสมัยโบราณ แต่ส่วนใหญ่จะมาจากครอบครัวเกษตรกรที่ปลูกขึ้น ประสิทธิผลของยาเหล่านี้จึงสู้ยาที่มาจากป่าไม่ได้

“กลิ่นนี้ ทำให้คนตายได้เลยนะ”

หลังจากที่เข้าเมืองยา กลิ่นยาจีนนั้นอบอวลไปทั่วทุกโมเลกุลในอากาศ เยี่ยตงผิงขมวดคิ้ว เดินมาอยู่ข้างกายเยี่ยเทียนที่กลับใช้จมูกสูดดมด้วยท่าทางมีความสุข

เพราะตั้งแต่เยี่ยเทียนห้าขวบ เขาจะถูกนักพรตเต๋าอาบน้ำด้วยยาสัปดาห์เว้นสัปดาห์ ดังนั้นการดมกลิ่นยาสมุนไพรจีนจึงกลายเป็นความเคยชินไปเสียแล้ว รวมถึงการแยกกลิ่นยาจีนก็เป็นสิ่งที่เยี่ยเทียนชอบมาตั้งแต่ยังเล็ก

นักพรตเต๋ามักจะเก็บยาสมุนไพรพวกนี้บนภูเขา ผสมเข้ากันแล้วให้เยี่ยเทียนดม ถ้าแยกถูกก็จะได้กินเนื้อ แต่หากแยกผิดเยี่ยเทียนจะถูกลงโทษโดยการไปตักน้ำจากน้ำตก เยี่ยเทียนจึงใช้เวลาแยกสมุนไพรและเรียนรู้มาตั้งแต่ตอนนั้น

ขณะที่เยี่ยตงผิงกำลังขมวดคิ้ว เยี่ยเทียนก็ได้เลือกของที่แผงลอยอันหนึ่งซึ่งอยู่ตรงหน้าประตูเรียบร้อย แต่หลังจากที่ดมตัวอย่างไม่กี่ชิ้นแล้ว คิ้วของเยี่ยเทียนก็ขมวดคิ้วขึ้นเหมือนกับพ่อ เขามองไปที่เจ้าของร้านแล้วพูดว่า “คุณลุง ต้นละหุ่งนี้ระยะปลูกยังไม่พอนะครับ สรรพคุณทางยานี้ยังขาดอีกเยอะ!”

“พ่อหนุ่ม ใช้เองเหรอ”

เจ้าของนั้นกลับไม่โกรธ เขาเป็นคนปลูกเจ้าพวกนี้เองตั้งแต่แรก แต่เยี่ยเทียนดมแล้วก็แยกปีและสรรพยาคุณยาออก ราวกับผู้เชี่ยวชาญ

เคยมีผู้เชี่ยวชาญที่เป็นเภสัชกรที่เข้าใจเฉพาะทางด้านนี้ที่มาที่นี่ แต่กลับไม่พูดถึงปัญหาของสรรพคุณยา พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นโรงงานผลิตยา ขอเพียงราคาถูก แม้คุณภาพของยาจะแตกต่างกันหน่อยก็ไม่เป็นไร ดังนั้นเจ้าของก็เลยตัดสินใจว่าเยี่ยเทียนน่าจะเอาไปใช้เอง

เยี่ยเทียนพยักหน้า  “ใช่ครับ คุณลุงพอจะมีคุณสมบัติยาที่ดีกว่านี้บ้างไหม ถ้ามาจากป่าได้ยิ่งดีใหญ่!”

ไม่ใช่ว่ายาที่ปลูกจะใช้ไม่ได้ แต่ถ้าเป็นแบบนั้น ปริมาณที่เยี่ยเทียนใช้จะมากเกินไป เดิมทีที่ต้องการวัตถุดิบที่อยู่ในป่าสิบกรัม หากเป็นวัตถุดิบที่ปลูกเองอย่างน้อยต้องสิบกิโลถึงจะได้

                หลังจากที่ได้ยินว่าเยี่ยเทียนต้องการซื้อยาที่เกิดตามป่า ชายวัยกลางคนจึงยิ้มขึ้นมา แล้วพูดว่า “พ่อหนุ่ม ซื้อวัตถุดิบยาที่ขึ้นตามป่าจะต้องเดินตรงเข้าไปข้างใน แผงลอยเล็กๆ พวกนี้ที่อยู่หน้าประตูหาวัตถุดิบยาที่ขึ้นในป่าไม่ได้หรอก แต่ลุงจะบอกว่าวัตถุดิบที่ขึ้นในป่านั้นแพงมากนะ……”

หลังจากฟังเถ้าแก่ที่ใจกว้างคนนี้จบ เยี่ยเทียนถึงเข้าใจว่าแผงลอยเล็กๆ ที่มีจำนวนมากในระยะเมตรสองเมตรนี้ ทั้งหมดเป็นธุรกิจของครอบครัวเล็กๆ ที่ปลูกยาและขายเอง แม้สถานที่จะแย่หน่อย แต่ราคาถูก ปีหนึ่งขอให้ได้เพียงสามร้อยถึงห้าร้อยหยวนก็พอแล้ว

แต่เพราะเยี่ยเทียนอยากซื้อยาที่ขึ้นในป่าจึงต้องไปซื้อกับผู้ค้ารายใหญ่ขึ้นมาหน่อย ด้านในคือสถานที่ขายยาโดยองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ วัตถุดิบยาด้านในจึงเพียงพอตลอดปี

นอกจากนี้ในเมืองยาแห่งนี้ยังมีห้องซื้อขายสินค้าอีกด้วย นี่คือธุรกิจท้องถิ่นที่รัฐบาลให้ความสำคัญรวมถึงก่อตั้งขึ้นมา

เพียงแต่เจ้าของร้านนั้นก็บอกแล้วน่าจะเป็นที่แห่งนี้ แต่ไม่ได้บอกว่าจะเป็นวัตถุดิบที่ขึ้นตามป่าทั้งหมด เจ็ดถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์ยังเป็นคนปลูกอยู่ แต่จะมีศักยภาพด้านเทคโนโลยีและจำนวนปีมากกว่าผู้ค้ารายย่อยพวกนี้

เยี่ยเทียนเคยใช้วัตถุดิบยาทั้งหมดตั้งแต่เล็ก แต่ทั้งหมดเป็นนักพรตเต๋าที่เก็บมาเองกับมือ จึงไม่เคยได้สัมผัสคำว่า ‘แพง’ คำนี้เลย แต่ตอนที่เขาเข้าไปในห้องซื้อขายสินค้า ทุกคนต่างตกตะลึง

แน่นอนว่ามีวัตถุดิบยาที่ปลูกในป่า และมีไม่น้อยเลย แต่ป้ายบอกราคาสินค้าซึ่งอยู่ตรงด้านล่าง ทำให้หัวใจของเยี่ยเทียนถึงกับเต้น ‘ตุ้บๆ’ เงินที่อยู่ในบัตรเขากลับไม่สามารถซื้อโสมแก่ๆ  ได้

เขาไม่มีทางเลือกมากนัก เยี่ยเทียนจึงทำได้แค่กลับไปเลือกสิ่งที่สามารถซื้อได้ เขาเลือกวัตถุดิบยาจีนที่มีราคาถูกและมีคุณสมบัติเป็นยาเพียงพอ จากความรู้วัตถุดิบยาที่เขาสั่งสมมาทั้งหมดจะทำให้เขาไม่ถูกเอาเปรียบได้ง่ายๆ

ในระยะเวลาสั้นภายในสองสามชั่วโมง  เงินสองแสนกว่าในบัตรของเยี่ยเทียนก็หมดเกลี้ยง รวมถึงรูดบัตรของพ่อไปอีกสองแสนกว่า สิ่งที่ได้กลับมากลายเป็นถุงที่อยู่ในมือไม่กี่ชิ้นเท่านั้นเอง

“แกนี่เป็นลูกล้างผลาญครอบครัวจริงๆ ทรัพย์สินครอบครัวของพ่อนี่จะพอให้แกผลาญเล่นไหม”

หลังจากที่กลับมาบนรถ เยี่ยตงผิงที่เก็บความโกรธไว้นาน การที่วันนี้ได้ออกมากับเยี่ยเทียนนั้นทำให้ขาดทุนเกินขอบเขตเสียจริงๆ เงินที่ใช้หมุนก้อนสุดท้าย ก็ถูกเยี่ยเทียนผลาญจนหมด

“พ่อ ครึ่งปี ขอเวลาครึ่งปี ผมจะคืนให้ทั้งต้นทั้งดอก!”

เยี่ยเทียนคุยโวพลางตบหน้าอกของตัวเอง เขาหยิบกล่องวัตถุดิบยาสองสามกล่องขึ้นมาพิจารณาอย่างระมัดระวัง ในกล่องนั้นรวมไปด้วยเห็ดหลินจือ หญ้าฝรั่ง รกกวางชะมด โสมป่าธรรมชาติบริสุทธิ์และสมุนไพรอื่น ๆ ถึงแม้ว่าจะมีจำนวนไม่เยอะ แต่นี่กลับทำให้เยี่ยเทียนต้องจ่ายเงินเป็นจำนวนสองแสนกว่า

เมื่อก่อนนักพรตเต๋ามักจะให้พวกเขาฝึกกระบวนท่าจนถึงขั้นสุด นั่นคือ ‘วิชา มิตรภาพ ความมั่งคั่ง ที่ดิน’ ห้ามขาดแม้แต่อย่างเดียว แต่ในสี่คำนี้ คำว่า ‘ความมั่งคั่ง’ นั้นสำคัญที่สุุด

เมื่อก่อนเยี่ยเทียนแค่ได้กินเยอะหน่อยก็เพียงพอแล้ว ทำไมต้องเข้าใจคำพูดของอาจารย์ด้วย แต่หลังจากประสบเหตุการณ์ในครั้งนี้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าอะไรคือ ‘คนจนเรียนวัฒนธรรม คนรวยเรียนศิลปะป้องกันตัว’ แล้ว

โบราณกาลกล่าวว่า ประชาชนถือเรื่องอาหารการกินเป็นสิ่งสำคัญเท่าเทียมฟ้า ประชาชนธรรมดาสามารถพูดได้ว่า  กินดีหรือกินไม่ดีในแต่ละวันก็ใช้ชีวิตผ่านไปได้  แต่สำหรับคนที่ฝึกมวยกังฟูแล้ว กลับต้องการเนื้อในทุกมื้อ

การฝึกฝนศิลปะการต่อสู้คือการเผาผลาญร่างกาย กระตุ้นศักยภาพ หากไม่มีผลิตภัณฑ์บำรุง นั่นเท่ากับการเผาผลาญกล้ามเนื้อตัวเอง

ตำนานเล่าว่านักมวยชื่อดังหลายคนของสาธารณรัฐจีนสามารถกินวัวไปทั้งตัวได้ทุกวัน แม้การพูดแบบนี้จะรู้สึกว่าเกินจริง แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความอยากอาหารของผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้มีมากกว่าคนทั่วไป

“เด็กอย่างแก ไม่มีเงินค่อยบอกพ่อ พ่อขายของไม่กี่ชิ้นก็ได้แล้ว!” ถึงจะต่อว่า เยี่ยตงผิงก็ยังทะนุถนอมลูกชาย เขาหาเงินไปเพื่ออะไรเล่า? ไม่ใช่ว่าหลังจากนี้จะเหลือทั้งหมดให้เยี่ยเทียนหรือไง

เยี่ยเทียนส่ายหน้า แล้วพูดว่า “ก็อีกไม่เยอะแล้ว น่าจะประคับประคองได้สามถึงห้าเดือน พอถึงเวลานั้นก็ไม่ต้องใช้เงินแล้ว……”

ผลของการรวมวิญญาณ ต้องเกิดจากจินตนาการของเยี่ยเทียน การฝึกฝนต้องใกล้เคียงกับเนื้อแท้ของพลังที่เหนือธรรมชาติ รวมทั้งสมุนไพรเหล่านี้จะต้องใช้ทั้งกินและอาบ เยี่ยเทียนเชื่อว่าตัวเองจะสามารถทำลายจุดกั้นของพลังได้ภายในสามเดือน

ถ้าหากยึดตามการฝึกวิทยายุทธภายในแล้ว ตอนนี้เยี่ยเทียนยังอยู่ในขั้นตอนการกลั้นลมหายใจ ในขั้นตอนนี้ ไม่ว่าเขาจะกินบำรุงมากน้อยขนาดไหน ทั้งหมดก็เข้าไปในร่างกาย ดังนั้นถึงต้องมีปริมาณที่บำรุงเยอะขนาดนี้

หลังจากกลับมาที่ปักกิ่ง เยี่ยเทียนก็ได้โทรหาอวี๋ชิงหย่าและเว่ยหงจวิน บอกพวกเขาว่าตัวเองต้องเข้าฌานอย่างสงบ และเข้าจะอยู่ที่เรือนสี่ประสานแห่งนั้น นอกจากเปิดลานจอดรถหนึ่งครั้งทุกครึ่งเดือนแล้ว ประตูใหญ่ก็จะปิดทั้งหมด

แต่สิ่งที่จะทำให้ผู้คนในถนนโบราณแห่งนั้นงงงวยได้ก็คือ ในเรือนสี่ประสานมักจะมีเสียงแกะร้องออกมา บางครั้งร้องอย่างน่าเวทนาจนทำให้ใจคนที่ได้ยินสั่นได้

ในสถานการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้จึงมีผู้คนเล่าลือว่ามีผีบ้านผีเรือนกลับมาโผล่ใหม่ ดังนั้นพอเลยสองทุ่มไปก็ไม่มีใครสักคนกล้าผ่านหน้าบ้านของเยี่ยเทียนแล้ว

เวลาผ่านไปสามเดือนก็ใกล้ถึงปลายปีแล้ว ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมามีหิมะตกหนักหลายครั้ง ทำให้ทั้งเมืองปักกิ่งปกคลุมไปด้วยหิมะ ทุกที่เหมือนเต็มไปด้วยมีอาภรณ์สีขาวคลุมให้ธรรมชาติ

แต่บรรยากาศปีใหม่นั้นไม่ได้ลดลงเลย  ในตอนนั้นจะได้ยินเสียงประทัดออกมาจากเรือนที่เยี่ยเทียนอาศัยอยู่ แต่ประตูใหญ่ที่เรือนนั้นกลับปิดสนิท ไม่มีแม้แต่ร่องรอยการเปิดประตู

ในตอนเช้าของวันที่ 29 ของปีใหม่นี้ กลับมีเสียงเปิดมาจากด้านในประตูเรือนที่ปิดอย่างแน่นหนามาสามเดือน พร้อมกับมีวัยรุ่นผมยาวคลุมไหล่เดินออกมา

“ผี ผีหลอก!”

หลังจากที่สองสามคนที่อยู่ไม่ไกลนักซึ่งตื่นขึ้นมากวาดหิมะแต่เช้าได้เห็นเยี่ยเทียนมีผมคลุมใบหน้านั้นก็ทิ้งไม้กวาด พร้อมร้องไห้และตะโกนวิ่งเข้าไปในบ้าน

เพียงแต่ว่าคนเหล่านี้วิ่งเร็วเกินไป พวกเขาจึงไม่รู้ว่าภายหลังประตูบานนั้นซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยหิมะกลับมีดอกไม้สดบานแรกแย้ม

“ผีเหรอ พวกพี่กลัวขนาดนี้เลยเหรอ”

เยี่ยเทียนนิ่งไปสักพัก พอหันไปเห็นผมที่ยาวคลุมไหล่ก็เข้าใจได้ทันที เขายื่นมือข้างซ้ายรวบผมขึ้น หลังจากนั้นใช้มือขวาปัดๆ ผม ทันใดนั้นก็มีผมสีดำตกลงมาที่พื้น

“จีจี……จีจี……”

ตอนที่เยี่ยเทียนปิดประตูลานบ้าน กลับมีแสงสีขาวสว่างวาบราวกับสายฟ้าแลบพาดผ่านไหล่ของเยี่ยเทียน ผมที่ยุ่งกระเซิงของเขาพันรอบคอราวกับผ้าพันคอที่เกิดเองตามธรรมชาติ

หมอดูยอดอัจฉริยะ

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ในยุคสมัยหลังการปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งใหญ่ ประเทศจีนเริ่มพัฒนาสู่ความทันสมัย ผู้คนต่างหันไปพึ่งวิทยาการตะวันตก ถ้าใครแสดงออกว่าสนใจเกี่ยวกับ “ศักดินางมงาย” อาจมีตำรวจมาเยี่ยมถึงบ้าน เยี่ยเทียน เด็กชายจากหมู่บ้านชาวนาผู้มีชะตาไม่ธรรมดา มีโอกาสได้รับการถ่ายทอดศาสตร์โบราณที่ถูกตีตราว่าล้าหลังและงมงาย เสี่ยงทาย ฮวงจุ้ย คำนวณชะตา โหงวเฮ้ง ทำนายฝัน ดูฤกษ์… เขาจะใช้ทักษะเหล่านี้ (และอื่นๆ) อย่างไรในยุคสมัยเช่นนี้?

Options

not work with dark mode
Reset