หมอดูยอดอัจฉริยะ – ตอนที่ 889 สยบ

ในยุคปัจจุบัน สงครามระหว่างประเทศ หาใช่การแข่งขันด้านอาวุธอีกต่อไป หากพัฒนาแต่เพียงอาวุธ เพิ่มงบด้านทหาร มีแต่จะทำให้สภาพแวดล้อมของโลกใบนี้โหดร้ายขึ้นเรื่อยๆ และผลที่ตามมาก็จะเลวร้ายกว่าที่ทุกคนคิด

เหมือนกับสงครามเย็นระหว่างสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียตในตอนนั้น วันนี้อดีตสภาพโซเวียตพัฒนาสุดยอดอาวุธออกมาหนึ่งชิ้น พรุ่งนี้สหรัฐอเมริกาพัฒนาเครื่องบินล่องหนออกมา การแข่งขันแบบนี้ มีแต่จะทำให้ประเทศอื่นยิ่งรู้สึกไม่ปลอดภัย

และความเป็นจริงก็ได้พิสูจน์แล้วว่าวิธีนี้ใช้ไม่ได้ การล่มสลายของอดีตสหภาพโซเวียตก็คือหลักฐานที่ดีที่สุด และสหรัฐอเมริกาเองก็ใช้เงินมหาศาลไปกับเรื่องนี้ จนเศรษฐกิจภายในประเทศย่ำแย่

เพราะฉะนั้น ในปัจจุบันประเทศต่างๆมักเลือกวิธีการต่อสู้แบบเล็ก ปีก่อนๆ แต่ละประเทศส่งกองกำลังพิเศษเข้าร่วมการแข่งขันกัน ซึ่งการแข่งขันแบบนี้ จะทำให้เห็นว่า แต่ละประเทศมีกำลังด้านกำลังทหารและอาวุธมากน้อยแค่ไหน

แต่หลังจากเหตุการณ์ที่รัสเซียกับไซบีเรียเกิดขึ้น แต่ละประเทศตระหนักได้ว่า อันที่จริงกองกำลังพิเศษที่พวกเขารู้จัก หาใช่ทหารหน่วยปฏิบัติการพิเศษ แต่เป็นผู้มีความสามารถเหนือธรรมชาติต่างหาก ทำให้แต่ละประเทศลงมือวิจัยและพัฒนา ผู้มีความสามารถเหนือธรรมชาติเหล่านี้มากขึ้นกว่าเดิม

ในต้นปีนี้ ประเทศแถบยุโรปใช้วิธีที่ไม่ใช่ทางวิทยาศาสตร์ ค้นพบผู้มีความสามารถเหนือธรรมชาติแล้วหลายคน ความสามารถที่พวกเขาแสดงออกมา กองกำลังพิเศษเทียบไม่ได้ บางคนไม่สามารถใช้เหตุผลทั่วไปในการวัดความสามารถอีกแล้ว

ถึงแม้ประเทศเหล่านั้นจะใช้วิธีบางอย่าง กระตุ้นให้พวกเขาแสดงความสามารถที่ซ่อนเร้นออกมาได้ แต่วิธีแบบนี้ไม่สามารถสร้างผลผลิตออกมาได้มากเท่าที่ควร เพื่อค้นหาผู้มีความสามารถเหนือธรรมชาติเหล่านี้ พวกเขาต้องสูญเสียกองกำลังชั้นเยี่ยมไปนับไม่ถ้วน

เพราะฉะนั้น สองประเทศในแถบยุโรปที่เป็นผู้สนับสนุนงานสัมมนาแลกเปลี่ยนผู้มีความสามารถเหนือมนุษย์ ได้เชิญประเทศที่พวกเขาคิดว่าภาพรวมของประเทศนั้นยิ่งใหญ่มาร่วมงานด้วย จุดประสงค์ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึง ในยุคที่อำนาจโดยรวมของแต่ละประเทศแตกต่างกันน้อยลงเรื่อยๆ พวกเขาอยากให้ผู้มีความสามารถเหนือมนุษย์เป็นรากฐานของประเทศตนเองและมีสิทธิออกเสียง

หลังจากอธิบายเรื่องราวความเป็นมาของเรื่องนี้เสร็จ ท่านประธานเยวี่ยมองเยี่ยเทียนอย่างไม่ละสายตา และถามเขาว่า

“เยี่ยเทียน เหตุการณ์ที่รัสเซียเมื่อปีก่อน เธอเป็นคนทำใช่ไหม”

“เปล่าครับ ผมแค่ไปเที่ยวที่นั่น!”

เยี่ยเทียนส่ายหัว และตอบด้วยความฉะฉาน ตอนนั้นเขาแค่อยากกลั่นแกล้งฝรั่งจากลาสเวกัสคนนั้น ก็เลยใช้ใบหน้าของรูดอล์ฟ ถ้าไม่มีหลักฐาน เยี่ยเทียนไม่มีวันยอมรับหรอก

“เธอ ไม่ใช่ลูกผู้ชายเลยนะ ไม่รู้เหรอ อะไรที่เรียกว่ากล้าทำก็กล้ารับ”

ท่านประธานเยวี่ยโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ความกดดันที่มองไม่เห็นเริ่มแผ่ออกมาจากตัวเขา แม้แต่ฮานเจิ้งปังที่นั่งอยู่ข้างเขาในตอนแรกยังรู้สึกทำตัวไม่ถูก

ความน่าเกรงขามที่แผ่ออกมาจากท่านประธานเยวี่ยผู้ดำรงตำแหน่งสูงและผู้กุมอำนาจของประเทศแม้ไม่ได้โกรธนั้น ราวกับมีรังสีบางอย่างเกิดขึ้นในห้องนี้ ถ้าในห้องนี้มีคนที่สี่อยู่ด้วย เขาคนนั้นต้องรู้สึกหายใจแรง และทำตัวไม่ถูกแน่นอน

“มีอำนาจท่วมฟ้าสินะ!”

เยี่ยเทียนรู้สึกแปลกใจกับความกดดันที่สัมผัสได้ คนแก่คนนี้ไม่มีพลังวิชาเลย แต่ทำไมเขาถึงมีพลังบางอย่างอยู่ในตัวด้วย รังสีที่เกิดจากพลังแบบนี้ เกรงว่าฉางเฮ่าที่ฝึกพลังจนถึงระดับโฮ่วเทียน เวลาอยู่ต่อหน้าเขาก็คงไม่กล้าหายใจแรง

แต่เยี่ยเทียนอยู่ระดับไหนแล้ว เขาอยู่ระดับสูงสุดที่ซึ่งมนุษย์ยังพอเข้าใจได้ ถ้าสูงขึ้นอีก ก็คงจะกลายเป็นบุคคลที่ปรากฏตามเทพนิยายกับตำนาน พลังของมนุษย์หาใช่จะล้มเขาได้

เยี่ยเทียนหลุดขำ กล่าวว่า

“ท่านครับ เรื่องที่ไม่เคยทำ ผมคงเอาต้นหอมใหญ่เสียบรูจมูกหมู…แล้วบอกว่าเป็นช้างไม่ได้มั้งครับ”

ยิ้มของเยี่ยเทียนทำให้บรรยากาศอึมครึมเมื่อครู่ สลายไปอย่างรวดเร็ว รังสีที่ท่านประธานเยวี่ยแผ่ออกมาหายไปทันทีเช่นกัน ฮานเจิ้งปังที่อยู่ด้านข้างก็รู้สึกโล่งอก

“โอเค ถ้าเธอไม่ได้ทำ ยังไงก็ต้องเกี่ยวข้องกับเธอ วันนี้ฉันจับตาเธอไว้แล้ว งานสัมมนาครั้งนี้ เธอไปสักหน่อยเถอะ!”

ท่านประธานเยวี่ยไม่รู้จะทำอย่างไรกับเยี่ยเทียนแล้ว อำนาจบนโลกใบนี้ไม่อยู่ในสายของเขาเลย ส่วนการใช้กำลังหรือข่มขู่คนในครอบครัว เป็นวิธีที่ท่านประธานเยวี่ยไม่แม้แต่จะคิด ถ้าคนที่มีสมองหน่อย จะรู้ว่าการเข้าหาเยี่ยเทียนต้องใช้วิธีตีสนิทไม่ใช่ข่มขู่

“เอาเถอะ ผมเคยตกลงจะช่วยพวกคุณหนึ่งครั้ง ถ้าผมยอมไปครั้งนี้ ต่อไปพวกคุณห้ามมารบกวนผมอีก!”

เยี่ยเทียนส่ายหัว ในเมื่อท่านประธานเยวี่ยมาเชิญด้วยตัวเองขนาดนี้ แสดงว่าจะต้องเป็นเรื่องสำคัญแน่ เห็นแก่การดูแลเป็นอย่างดีตลอดหนึ่งปีที่ผ่านจากประเทศ เยี่ยเทียนรู้สึกว่าครั้งนี้เขาจำเป็นต้องไป

“ตกลง เรื่องนี้เดี๋ยวฉันให้เสี่ยวฉางคุยกับเธอ!”

เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนตอบตกลงแล้ว ท่านประธานเยวี่ยแสดงสีหน้าดีใจออกมา ที่จริงถ้าพูดในระดับประเทศ ความสำคัญของเยี่ยเทียนคือการสยบเท่านั้น ขอแค่เขาแสดงฝีมือเพื่อสยบผู้มีความสามารถเหนือมนุษย์ของต่างประเทศ จุดประสงค์ของท่านประธานเยวี่ยก็เป็นอันว่าสำเร็จแล้ว

“เอาล่ะเยี่ยเทียน งั้นฉันขอตัวกลับก่อน!”

ถึงแม้ว่าเยี่ยเทียนเก็บการเคลื่อนไหวของปราณชีวิตไว้หมดแล้ว แต่เวลาอยู่กับเยี่ยเทียน ท่านประธานเยวี่ยก็ยังรู้สึกไม่สบายตัวอยู่ดี อาจเป็นเพราะเขาที่ชินกับการออกคำสั่ง ตอนนี้ น้อยมากที่จะนั่งคุยกับคนอื่นอย่างเท่าเทียม

“ท่านประธานกลับดีดีนะครับ ถ้าไม่มีอะไรทำ ไม่ต้องมาหาผมอีกนะ บ้านผมหลังเล็กนิดเดียว รองรับผู้ใหญ่อย่างท่านไม่ไหวหรอก!”

ตอนที่ส่งท่านประธานเยวี่ยออกไป เยี่ยเทียนพูดงึมงำ ท่านประธานที่ได้ยินถึงกับเดินเซ ถ้าไม่ใช่เพราะฮานเจิ้งปังจับเขาไว้ อาจไม่เห็นเขาอยู่บนหน้าจอทีวีหลายวัน

“ฉัน…ไม่โกรธเธอหรอก!”

ท่านประธานเยวี่ยเขม่นตาใส่เยี่ยเทียน ด้วยตำแหน่งของเขา แม้แต่ข้าราชการท้องที่ยังยากที่จะได้พบ แต่เยี่ยเทียน กล้าขับไล่เขาขนาดนี้ ถ้าคนอื่นรู้เข้า คงอ้าปากตาค้างกันถ้วนหน้าแน่

เสียงของเยี่ยเทียนไม่ดังมาก นอกจากท่านประธานเยวี่ย ก็คงมีแต่ฉางเฮ่าที่ยืนอยู่ตรงประตูใหญ่ฉวนฮวาได้ยินอีกคน แต่เขาไม่กล้าพูดอะไร ทำได้เพียงก้มหัวและกลั้นหัวเราะ ตอนที่เดินออกจากประตูใหญ่ มือขวาที่ไขว้หลังไว้ชูนิ้วโป้งให้เยี่ยเทียน

“เยี่ยเทียน ท่านนั้นมีธุระให้กับลูกเหรอ”

หลังจากส่งท่านประธานเยวี่ยเสร็จ เยี่ยตงผิงตรงมาหาเยี่ยเทียนทันทีที่เดินกลับเข้าเรือน ถึงแม้ว่าเขาไม่ค่อยยุ่งเรื่องของลูกชายเท่าไหร่ แต่วันนี้คนที่มาคือท่านประธานเยวี่ย หลังจากที่ซ่งเวยหลันที่อยู่ในห้องเดากันไปต่างๆนานา สุดท้ายเยี่ยตงผิงทนความอยากรู้ไม่ไหวจึงโพล่งออกมา

“พ่อครับ นอกจากคุณตาแล้ว ครั้งหน้าถ้ามีคนแบบนี้มาอีก พ่อบอกว่าผมไม่อยู่นะครับ”

เยี่ยเทียนส่ายหัวด้วยท่าทีไม่พอใจเท่าไหร่ แต่พอเห็นท่าทีอยากรู้เรื่องของพ่อ เขาตัดสินใจเล่าให้ฟัง

“ทางการมีปัญหาให้ผมไปช่วยนิดหน่อย เขากลัวผมไม่ยอมไป ก็เลยมาเชิญด้วยตัวเอง”

“แค่นี้เองเหรอ”

เยี่ยตงผิงทำหน้าไม่เชื่อ เขากดเสียงต่ำ พูดว่า

“ไอ้ลูกชาย เขาไม่ได้สั่งให้ลูกไปทำเรื่องลอบฆ่าหรือขโมยข่าวกรองที่ต่างประเทศอะไรแบบนี้ใช่ไหม”

“โถ่พ่อ ผมไม่ใช่เจมส์ บอนด์007 นะ พ่อคิดอะไรเนี่ย”

ตอนคุยกับท่านประธานเยวี่ย เยี่ยเทียนไม่รู้สึกกดดันอะไร แต่พอคุยกับพ่อ เขารู้สึกอยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา

“พ่อกับแม่อย่าคิดมากเลย ครั้งนี้ผมไปนานสุดก็สิบวันหรือครึ่งเดือน พ่อกับแม่ช่วยดูแลเว่ยเว่ยกับชิงหย่าแทนผมด้วยนะครับ!”

“นั่นมันแน่อยู่แล้ว หลานชายฉัน ฉันไม่ดูแล แล้วใครดูแล? ไอ้ลูกคนนี้ วิ่งเร็วขนาดนั้นทำไม”

เยี่ยตงผิงตอบรับคำขอเสร็จ กำลังจะถามต่อ กลับพบว่าเจ้าลูกชายวิ่งไปเรือนหลังเรียบร้อยแล้ว เยี่ยตงผิงทำได้เพียงเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง เพื่อไปรายงานให้หัวหน้าใหญ่ในห้องฟัง

“จะไปจริงเหรอ”

เมื่อกลับมาถึงห้อง อวี๋ชิงหย่าที่สวมเสื้อผ้าเสร็จแล้ว กำลังอุ้มลูกชายอยู่ แต่เจ้าตัวเล็กพอเห็นหน้าเยี่ยเทียน ก็ยื่นมือออกไปและดิ้นไม่หยุด

“เจ้าลูกคนคนนี้ ใครกันแน่ที่อุ้มท้องตั้งสิบเดือน เห็นพ่อแล้วไม่เอาแม่เลยนะ!”

โชคดีที่อวี๋ชิงหย่าเป็นคนใจเย็น ไม่เคยแย่งชิงอะไรกับใคร แต่ท่าทีของเจ้าลูกชายทำให้เธอโมโหเลือดขึ้นหน้าพอควร เธอป้อนนม เช็ดก้นให้ทุกวัน ยังสู้เยี่ยเทียนผู้ไม่ทำอะไรไม่ได้ มันน่าโมโหจนอยากจะฟาดที่ก้นลูกสักสองสามที

“อิจฉาเหรอ”

เยี่ยเทียนหัวเราะฮ่าๆ ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงหยุดขำ เขาพูดว่า

“ฉันออกไปไม่กี่วัน ลูกไม่เห็นหน้าเดี๋ยวเขาก็ลืมเอง เธอที่เป็นแม่ ก็ใช้เวลานี้กระชับความสัมพันธ์กับเว่ยเว่ยสิ ถ้าไม่รีบทำ พอถึงเวลาเว่ยเว่ยยังเป็นแบบนี้อีก เธอห้ามโทษฉันแล้วนะ! ”

“จะไปจริงเหรอ ระวังตัวด้วยนะ!”

เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนบอกแบบนั้น หน้าของอวี๋ชิงหย่าเต็มไปด้วยความเป็นห่วง ตั้งแต่แต่งงานกันมา ดูเหมือนว่าเธอได้ใช้ชีวิตอยู่กับเยี่ยเทียนแค่ปีกว่า เธอรู้สึกไม่อยากให้เยี่ยเทียนไป

“สบายใจได้ ฉันจะรีบกลับมานะ!”

เยี่ยเทียนโอวเอวภรรยาเอาไว้ พอกำลังจะพูด คิ้วของเขาก็กระตุก กล่าวว่า

“พวกเขาเป็นคนใจร้อนเสียจริง ไปข้างนอกกันชิงหย่า!”

เยี่ยเทียนไม่ได้วางลูกชายลง อุ้มลูกชายมาถึงเรือนกลางด้วย ฉางเฮ่ามาถึงสักพักใหญ่ พอเห็นเยี่ยเทียนเดินออกมา เขารีบยื่นซองเอกสารในมือออกไป กล่าวว่า

“คุณเยี่ย เอกสารทั้งหมดอยู่ในนี้แล้วครับ วันและเวลาคือหลังจากนี้สิบวัน คุณจะออกเดินทางวันไหน แจ้งผมได้เลยนะครับ!”

“อยู่ตรงไหน?”

เยี่ยเทียนไม่แม้แต่จะเปิดซองเอกสารที่แปะคำว่า “ความลับ” แต่นำมันมารองให้ลูกชายนั่งแทน ซองนั้นมีความเย็น ช่วงฤดูร้อนแบบนี้มันให้ความเย็นได้ด้วย แน่นอนว่า ถ้าเจ้าตัวเล็กปวดฉี่กะทันหัน ไม่ต้องเปิดถุงนี้ก็ได้

ท่าทีของเยี่ยเทียนฉางเฮ่ามองเห็นแต่ทำเป็นไม่เห็น เขาตอบด้วยความเคารพว่า

“คุณเยี่ย อยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ ตารางการเดินทางทั้งหมด เราจะจัดการให้คุณครับ!”

“สวิตเซอร์แลนด์เหรอ งั้นออกเดินทางจากปักกิ่งหลังจากนี้อีกแปดวันแล้วกัน!”

พอได้ยินชื่อสถานที่ เยี่ยเทียนนึกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง

……………………………

หมอดูยอดอัจฉริยะ

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ในยุคสมัยหลังการปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งใหญ่ ประเทศจีนเริ่มพัฒนาสู่ความทันสมัย ผู้คนต่างหันไปพึ่งวิทยาการตะวันตก ถ้าใครแสดงออกว่าสนใจเกี่ยวกับ “ศักดินางมงาย” อาจมีตำรวจมาเยี่ยมถึงบ้าน เยี่ยเทียน เด็กชายจากหมู่บ้านชาวนาผู้มีชะตาไม่ธรรมดา มีโอกาสได้รับการถ่ายทอดศาสตร์โบราณที่ถูกตีตราว่าล้าหลังและงมงาย เสี่ยงทาย ฮวงจุ้ย คำนวณชะตา โหงวเฮ้ง ทำนายฝัน ดูฤกษ์… เขาจะใช้ทักษะเหล่านี้ (และอื่นๆ) อย่างไรในยุคสมัยเช่นนี้?

Options

not work with dark mode
Reset