หมอดูยอดอัจฉริยะ – ตอนที่ 913 คัมภีร์เป็นตาย (2)

ความจริงลำพังบาดแผลบนกายเนื้อสำหรับโจวเซี่ยวเทียน ไม่นับเป็นเรื่องใหญ่ จิตรับรู้ของเขาแปรเปลี่ยนไปทางจิตดั้งเดิมเรียบร้อยแล้ว ปราณชีวิตในร่างกายส่วนใหญ่ก็กลับกลายเป็นปราณแท้ ขาดเพียงหนึ่งก้าวก็จะเข้าสู่ระดับเซียนเทียน ซึ่งสามารถดำเนินการฟื้นฟูบาดแผลด้วยตนเอง

แต่เยี่ยเทียนพบว่า ภายในร่างของโจวเซี่ยวเทียน คลับคล้ายยังมีพลังงานสีดำบางกลุ่มคับคั่งอยู่ ปริมาณของพลังงานชนิดนี้ถึงแม้เบาบาง แต่ก็อัดแน่นอยู่ในช่องท้องของโจวเซี่ยวเทียน นำไปสู่การฟื้นฟูอาการบาดเจ็บในส่วนนั้นอย่างเชื่องช้า และกระทั่งอาจทำให้บาดแผลแปรเปลี่ยนเป็นสภาพแย่ลง

“ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้? ทำไมภายในพลังงานชนิดนี้ถึงมีลมปราณแห่งความตายล่ะ?”

เยี่ยเทียนวางมือทาบลงบนหน้าอกของโจวเซี่ยวเทียน คิดใช้ปราณแท้ของตนเองช่วยขับไล่พลังงานสีดำกลุ่มนั้น แต่สิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนอดรนทนไม่ไหวคือความดื้อด้านของพลังงานเหล่านี้ ทันทีที่เผชิญกับปราณวิเศษของเยี่ยเทียน ก็เจาะเข้าสู่อวัยวะภายในส่วนลึกของโจวเซี่ยวเทียน

อวัยวะภายในเป็นจุดบอบบางอันตรายที่สุด และไม่อาจปล่อยให้เกิดข้อผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เยี่ยเทียนจึงไม่กล้าไล่เข้าไปลึก ด้วยกลัวจะเกิดผลกระทบต่อบาดแผลของลูกศิษย์

“อย่าว่าแต่ฝึกวิชาเลย หากเป็นแบบนี้ น่ากลัวว่าต่อให้เซี่ยวเทียนฟื้นขึ้นมาก็จะกลายเป็นคนพิการ!”

เยี่ยเทียนชักมือขวากลับอย่างเหลืออด ขณะที่มือซ้ายเกาหัวด้วยความเคยชิน กลับพบคัมภีร์เขียนตัวอักษรเป็นตายสองตัวเล่มนั้น ในหัวพลันเกิดแสงสว่างขึ้นมาแวบหนึ่ง “โบราณว่าแก้เงื่อนต้องใช้คนผูกเงื่อน เซี่ยวเทียนได้รับบาดเจ็บเพราะเจ้าของสิ่งนี้ บางทีคัมภีร์เล่มนี้อาจดูดซับปราณแห่งความตายจากในร่างกายของเขาได้”

คิดถึงตรงนี้ เยี่ยเทียนก็มองไปทางกู้ต้าจวิน กล่าวว่า

“เหล่ากู้ ผมจะรักษาอาการบาดเจ็บให้เซี่ยวเทียน คุณส่งคนไปล้อมอาคารเล็กนี้ไว้ อย่าให้ใครก็ตามเข้ามารบกวนผมได้!”

คัมภีร์เป็นตายมีความพิลึกอย่างยิ่ง เยี่ยเทียนเองก็ไม่รู้ว่าถ้าตนเองใช้พลังทั้งหมดขับเคลื่อนมันจะเกิดอะไรขึ้น หากถึงเวลานั้นมีศัตรูเข้ามาโจมตี เขาคงไม่อาจเสียสมาธิ เลยต้องกำชับกู้ต้าจวินเอาไว้

“คุณเยี่ย เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?”

ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังพูด โจวจี้หวาก็พุ่งเข้ามา เขาได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่ทางการทูตจึงรู้ว่ามีเรื่องเกิดขึ้นกับเยี่ยเทียนทางนี้ พอมาถึงก็ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนเข้าพอดี จึงรีบร้อนพูดว่า

“คุณเยี่ย ที่ที่คุณอยู่กระจกแตกละเอียดหมด ถ้าหากต้องการที่เงียบสงบ มายังที่อยู่ของผมดีกว่าครับ!”

“หืม? งั้นก็ได้ ไปที่ของคุณ”

เยี่ยเทียนเงยหน้ามองเห็นโจวจี้หวากระพริบตาให้ตน ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไร แต่ก็ยังพยักหน้ารับคำ

ยื่นมือพยุงโจวเซี่ยวเทียน แล้วเยี่ยเทียนก็ตามหลังโจวจี้หวาเข้าไปยังที่พักฑูต ที่นี่ก็เป็นอาคารเล็กสองชั้นเช่นเดียวกัน แต่ว่าการตบแต่งภายในด้อยกว่าที่เยี่ยเทียนอยู่เล็กน้อย

หลังจากเข้าไปในอาคารเล็กแล้ว โจวจี้หวาก็ถอนหายใจออกมาอย่างชัดเจน กล่าวว่า “ภายในสถานฑูตนี่ไม่รู้ว่ามีกล้องวงจรปิดของเจ้าของประเทศติดอยู่กี่ตัว มีเพียงที่นี่เท่านั้นที่ปลอดภัยอย่างแน่นอน คุณเยี่ยครับ คุณสามารถเข้าไปยังภายในห้องใต้ดินสถานฑูตเพื่อทำการรักษาคุณโจว…”

ถึงแม้จะมีคำพูดว่าสถานฑูตและกงศุลคือตัวแทนของประเทศ แต่เมื่ออยู่ในเขตแดนของประเทศอื่น ก็ยังต้องเผชิญกับข้อห้ามมากมาย แทบจะทุกสถานฑูตที่สามารถค้นเจอของประเภทเครื่องดักฟังมากมายจากบนตึกอาคารหรือสถานที่อื่นๆ ในทุกเดือน

แต่ว่าภายในสถานฑูตใหญ่ ก็มีการถอดตำแหน่งติดตั้งอุปกรณ์ประเภทเครื่องดักฟัง อีกทั้งด้านล่างอาคารเล็กยังมีห้องใต้ดินที่ครอบคลุมพื้นที่ไม่น้อย ซึ่งก่อสร้างโดยใช้คอนกรีตเสริมเหล็ก และยังมีความลึกลงไปใต้ดินถึงหลายสิบเมตร สามารถป้องกันแรงระเบิดหนักจากสงครามได้

“ที่นี่ไม่เลวเลย คุณโจวครับ พวกคุณออกไปกันก่อนเถอะ”

หลังจากลงใต้พื้นดินสิบกว่าเมตร เยี่ยเทียนก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ ที่แห่งนี้กว้างประมาณยี่สิบกว่าตารางเมตร แบ่งเป็นสามห้อง ทั้งยังติดตั้งระบบควบคุมอุณหภูมิและถ่ายเทอากาศ แม้รั้งอยู่ใต้ดินนานจะไม่รู้สึกอึดอัดแม้แต่น้อย

นอกจากห้องรับแขกหนึ่งห้องแล้ว ภายในห้องอื่นอีกสองห้อง ยังกองไปด้วยของใช้ในชีวิตประจำวันมากมาย คิดว่าที่นี่คงเป็นสถานที่หลบภัยสำหรับเอกอัครราชทูต แต่ว่าสถานที่แห่งนี้เยี่ยเทียนมองดูก็ยังไม่นับว่าปลอดภัยนัก ในอดีตสมัยที่ประเทศอเมริการับมือกับยูโกสลาเวีย การ “ยิงระเบิดพลาด” ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ทางการทูตเสียชีวิตไปไม่น้อย

แต่ว่าสำหรับเยี่ยเทียนแล้ว สถานที่แห่งนี้กลับเป็นประโยชน์อย่างมาก เพราะว่าหากมีใครเกิดจิตสังหารต่อเขาแล้วออกปฏิบัติการ เขาจะสามารถสัมผัสได้ทันที หากคิดจะขังเขาไว้ในสถานที่แห่งนี้ ก็ไม่ต่างจากความเพ้อเจ้อของคนโง่

หลังจากไล่โจวจี้หวาไปแล้ว เยี่ยเทียนก็วางโจวเซี่ยวเทียนลงบนเตียงเดี่ยวหลังหนึ่งตรงมุมห้องใต้ดิน สายตามองไปยังคัมภีร์เป็นตายในมือซ้าย

“ของชิ้นนี้ดูดซึมปราณวิเศษในรัศมีหลายร้อยลี้ใกล้ๆ นี่จนเกือบหมด จะต้องมีผลลัพธ์บางอย่างที่เราไม่รู้แน่นอน บาดแผลของเซี่ยวเทียน เกรงว่าน่าจะเกิดจากบนตัวมัน”

เยี่ยเทียนพึมพำอยู่สักครู่ ส่งปราณแท้ในร่างกายไปสู่หน้าสมุด เมื่อปราณแท้ไหลเข้าไป คัมภีร์เป็นตายราวกับถูกถูกจุดแสงสว่างบนผิวหน้า ทั่วทั้งเล่มส่งแสงสีดำขาวสองสี สีขาวทำให้คนเห็นอบอุ่นเบาสบาย ทว่าสีดำออกจะพิสดารยากคาดเดา

“ทำไมถึงไม่มีผลลัพธ์อื่นแล้วล่ะ? เพียงตัวอักษรเป็นไม่ใช่ว่าสามารถปลดปล่อยปราณวิเศษพลังชีวิตที่กักเก็บอยู่ได้แล้วเหรอ?”

มองไปยังคัมภีร์เป็นตายที่ส่องแสงสองสีแล้ว เยี่ยเทียนก็เพิ่มปราณแท้ส่งเข้าไปมากขึ้น แต่สิ่งที่ทำให้เขาเหนื่อยใจก็คือ ไม่ว่าจะส่งปราณวิเศษเข้าไปในหนังสือเท่าไหร่ คัมภีร์เป็นตายก็ยังคงส่องแสงสองสีนี้เท่านั้น แต่กลับไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย

“ให้ตายสิ ไม่มีประโยชน์อะไร แล้วจะเอาแกไว้ทำไม?”

เยี่ยเทียนออกจะโมโหขึ้นมา ถึงแม้รู้ว่าด้วยวรยุทธ์ของเขาจะฉีกทึ้งหนังสือเล่มนี้ไม่ได้ แต่ก็ยังอดดึงคัมภีร์เป็นตายเล่มนี้ไม่ได้อยู่ดี แต่ขณะที่มือขวาของเขาผละจากหนังสือ สายตาก็กลับจ้องนิ่ง นั่นเพราะบนหน้ากระดาษสีขาว มีร่องรอยสีดำยาวหนึ่งเส้น ราวกับหมึกดำจากความเผลอเรอเปรอะเปื้อนอยู่บนผิว

“หรือว่าจะสามารถเขียนข้างบนได้?”

เยี่ยเทียนตกตะลึงไปชั่วครู่ จนลืมส่งปราณวิเศษเข้าไปยังคัมภีร์เป็นตายต่อ และรอยบนหน้ากระดาษขาว ก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเลือนราง ชั่ววินาทีหลังจากนั้น กระดาษขาวก็ฟื้นคืนสภาพเดิม

แต่ว่าการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนี้ กลับทำให้เยี่ยเทียนสะดุดใจ ส่งปราณวิเศษลงไปยังคัมภีร์เป็นตายต่อทันที หลังจากคัมภีร์เป็นตายส่องแสงออกมาแล้ว ก็รีบส่งปราณแท้รินไหลไปยังนิ้วชี้มือขวา เขียนอักษรสามตัวว่า “โจวเซี่ยวเทียน” ลงบนหน้ากระดาษขาวนั้น

“เฮ้ย? อย่าสูบปราณวิเศษฉันสิ?”

หลังจากที่เยี่ยเทียนเขียนชื่อโจวเซี่ยวเทียนเสร็จ เขาก็พลันพบว่า ปราณวิเศษภายในร่างกายไหลราวสายน้ำเชี่ยวกรากสู่ภายในคัมภีร์เป็นตายเล่มนั้น เพียงชั่วเวลาไม่กี่อึดใจ ปราณแท้ภายในร่างเยี่ยเทียนที่ฝึกฝนมาอย่างยากลำบากก็หายไปเกือบครึ่ง

“ให้ตาย นี่จะทำอะไรเนี่ย? อย่าทำให้ตกใจได้มั้ย?”

ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังคิดจะชักนิ้วชี้กลับ แรงดึงดูดมหาศาลบนหน้าคัมภีร์เป็นตายก็หยุดลงกะทันหัน

“หือ? นี่มันคือพลังแห่งการเกิด!”

จากนั้น เยี่ยเทียนก็พบคลื่นพลังชีวิตแผ่ออกมาจากคัมภีร์เป็นตาย พลังแห่งการเกิดรินไหลเป็นสายเข้าสู่ภายในร่างโจวเซี่ยวเทียนที่นอนอยู่บนเตียง คลื่นพลังแห่งการเกิดชนิดนี้เลือนรางอย่างยิ่ง ถ้าหากเยี่ยเทียนไม่ได้มีสายสัมพันธ์บางอย่างกับคัมภีร์เป็นตายเล่มนี้ เขาก็คงไม่อาจสัมผัสได้ถึงคลื่นนี้

“ท่านอาจารย์ ผมเป็นอะไรไปครับ?”

ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังตรวจสอบคลื่นที่แผ่ออกมาอย่างระมัดระวัง เสียงครางก็ดังขึ้น โจวเซี่ยวเทียนที่นอนอยู่บนเตียงลืมตา พอได้กลิ่นเหม็นคาวจากร่างตัวเอง ก็ย่นจมูกพูดว่า

“ท่านอาจารย์ หนังสือเล่มนั้นพิลึกเหลือเกิน ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม?”

“แกอย่าเพิ่งขยับ ขอฉันตรวจร่างกายแกก่อน”

เยี่ยเทียนเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว กดตัวโจวเซี่ยวเทียนที่คิดจะลุกขึ้น หลังจากส่งกระแสจิตเข้าไปในร่างโจวเซี่ยวเทียนแล้ว ใบหน้าเดิมไร้อารมณ์ของเยี่ยเทียน ก็ค่อยๆ สดใสขึ้นมา ความสงสัยไม่คลายบางส่วนก่อนหน้า พลันเผยเป็นสีหน้าอันปีติยินดี

“ฉันเข้าใจแล้ว ฉันเข้าใจคามหมายของอักษรเป็นตายสองตัวนี้แล้ว ฮ่าๆ ๆ!”

เยี่ยเทียนปล่อยมือขวาที่กดตัวโจวเซี่ยวเทียนไว้ เงยหน้าขึ้นหัวเราะออกมาด้วยเสียงดังจนเกือบบ้าคลั่ง เสียงจึงสะท้อนกลับไปมาทั่วทั้งห้องใต้ดินไม่หยุด จนฝุ่นที่เกาะตรงมุมห้อง ร่วงหล่นลงมาดัง “ซู่”

“ท่านอาจารย์ ท่านเข้าใจอะไรเหรอครับ? เป็นตายนี่ก็แปลว่าเป็นตาย ยังมีความหมายใดอื่นอีกเหรอ?”

โจวเซี่ยวเทียนไม่เคยเห็นอาจารย์ตื่นเต้นดีใจขนาดนี้มาก่อน จึงถามขึ้นด้วยความกังวล

“ท่านอาจารย์ เมื่อครู่ท่านเพิ่งต้านทานแรงกดดันกลุ่มนั้น คงไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรใช่ไหมครับ?”

“ฉันสบายดีกว่าตอนไหนๆ ทั้งนั้น!”

ฝ่ามือของเยี่ยเทียนตบลงบนหัวโจวเซี่ยวเทียน ตอบว่า “เซี่ยวเทียน คราวนี้พวกเราได้ของล้ำค่าแล้วล่ะ”

“ของล้ำค่า? ท่านอาจารย์ ท่านหมายถึงบันทึกเล่มนี้เหรอครับ?”

โจวเซี่ยวเทียนเองก็มองไปยังหนังสือเล่มนั้นที่โบกไปมาในมือซ้ายของเยี่ยเทียน ถามขึ้นด้วยความสงสัย

“ท่านอาจารย์ หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่ภาพดันหลังสักหน่อย มันมีประโยชน์อะไรอื่นอีกเหรอครับ?”

“ประโยชน์อื่นๆ เหรอ? ประโยชน์มหาศาลเลยล่ะ!”

เยี่ยเทียนเหยียดริมฝีปาก กล่าวว่า

“ก่อนหน้านี้ แกได้รับบาดเจ็บที่อวัยวะภายในทั้งห้า หากไม่ใช้เวลาสองสามปีคงยากจะฟื้นตัวได้ ตอนนี้แกลองใช้ปราณชีวิตแท้ตรวจสอบภายในร่างกายให้ครบถ้วนเสียสิ ดูว่าบาดแผลเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ผมบาดเจ็บหนักขนาดนั้นเลยเหรอ?”

โจวเซี่ยวเทียนปิดตาลงอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ผ่านไปหลายนาที ก็ลืมสองตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตา

“ท่านอาจารย์ นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ภายในร่างกายของผมไม่ได้รับอันตรายใดๆ เลย แถมรู้สึกว่าพลังจิตยังเปี่ยมพลังยิ่งกว่าเดิมมากทีเดียว สามารถเข้าสู่ระดับเซียนเทียนได้ทุกเวลา”

โจวเซี่ยวเทียนผู้ไม่เคยสงสัยในคำพูดของเยี่ยเทียน เมื่ออาจารย์บอกว่าตนเองได้รับบาดเจ็บหนัก ก็ต้องเป็นเช่นนั้น ตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงเรื่องบาดแผลฟื้นคืนสภาพ แต่วิทยายุทธ์ยังพัฒนา นั่นยอมเกิดเรื่องอะไรบางอย่างที่ตนเองไม่เข้าใจอย่างแน่นอน

“เป็นฝีมือของหนังสือเล่มนี้ทั้งสิ้น!”

ใบหน้าของเยี่ยเทียนฉายรอยยิ้ม กล่าวว่า

“ขอเพียงใช้ปราณแท้เขียนตัวอักษรลงบนหน้าสมุดเล่มนี้ มันจะส่งพลังแห่งการเกิดได้ อาการบาดเจ็บเมื่อครู่ของแกล้วนถูกมันรักษาจนหายดี แกว่า…มันถือเป็นของล้ำค่าหรือเปล่าล่ะ?”

การเวียนว่ายตายเกิด เป็นเรื่องลึกลับที่สุดในโลก ต่อให้เยี่ยเทียนเข้าสู่ระดับเจี่ยตัน เขาก็ยังไม่สามารถฝึกฝนจนหลุดพ้นพลังเป็นตายสองอย่างนี้ แต่บันทึกเล่มนี้กลับสามารถทำให้ปราณแท้ของเขาแปรเปลี่ยนเป็นพลังแห่งการเกิด จึงนับว่าเป็นกลไกฝ่าฝืนสวรรค์โดยแท้จริง

“ขลังขนาดนี้เชียว?”

โจวเซี่ยวเทียนอดใช้มือลูบลงบนหน้าสมุดไม่ได้ พลันได้สติขึ้นมา ชี้บนหน้ากระดาษสีดำ พูดติดๆ ขัดๆ ว่า

“ท่านอาจารย์ หรือ…หรือว่าสีดำนี่จะสามารถแผ่พลังแห่งความตายออกมาได้? งั้นเจ้าสิ่งนี้ก็ต้องเรียกว่าคัมภีร์เป็นตายน่ะสิ!”

…………………….

หมอดูยอดอัจฉริยะ

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ในยุคสมัยหลังการปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งใหญ่ ประเทศจีนเริ่มพัฒนาสู่ความทันสมัย ผู้คนต่างหันไปพึ่งวิทยาการตะวันตก ถ้าใครแสดงออกว่าสนใจเกี่ยวกับ “ศักดินางมงาย” อาจมีตำรวจมาเยี่ยมถึงบ้าน เยี่ยเทียน เด็กชายจากหมู่บ้านชาวนาผู้มีชะตาไม่ธรรมดา มีโอกาสได้รับการถ่ายทอดศาสตร์โบราณที่ถูกตีตราว่าล้าหลังและงมงาย เสี่ยงทาย ฮวงจุ้ย คำนวณชะตา โหงวเฮ้ง ทำนายฝัน ดูฤกษ์… เขาจะใช้ทักษะเหล่านี้ (และอื่นๆ) อย่างไรในยุคสมัยเช่นนี้?

Options

not work with dark mode
Reset