หมอหญิงจ้าวดวงใจ – ตอนที่ 112 ข้าหลวงเหยาเข้าเฝ้าฮ่องเต้ เยี่ยนอวี่ถวายสูตรปรุงยา (2)

เหยาเฟิ่งเกอที่อยู่บนรถม้าจึงเปรยด้วยเสียงแผ่วเบา “บ้านนาเล็กๆ แห่งนี้ช่างสะดวกสบายยิ่งนัก”

ซานหูจึงก็กล่าวชมขึ้นอีกคน “บ้านนาแห่งนี้ถึงแม้จะมีพื้นที่ไม่กว้าง ทว่าที่สำคัญก็คือความเงียบสงบ เหตุเพราะไม่มีคนที่มากเรื่องมากความมาเยือน จึงรู้สึกสบายหูยิ่งนัก เมื่อคุณหนูใหญ่ไม่ได้ยินเรื่องราวที่ทำให้รู้สึกเคร่งเครียด ก็ย่อมรู้สึกสบายใจเจ้าค่ะ”

เหยาเฟิ่งเกอพยักหน้า “กลับไปข้าจะสั่งคนไปซื้อบ้านนาแห่งหนึ่งตั้งอยู่ทิศตะวันตกของเมืองหลวง หลังจากผ่านตรุษจีนและสภาพอากาศอบอุ่นขึ้นมา ข้าจะไปพักผ่อนและดูแลทารกในครรภ์ที่นั่น”

ซานหูตอบกลับ “เจ้าค่ะ กลับไปบ่าวจะส่งคนไปจัดการเจ้าค่ะ”

เหยาเฟิ่งเกอไม่ได้กล่าวมากความอะไรอีก จากนั้นก็นอนตะแคงข้างลงบนหมอนนุ่ม พร้อมกับพักสายตา ในใจกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องที่จะได้เจอกับบิดาของตน

ในวันที่สามเดือนสิบสอง เหยาหย่วนจือยังคงเดินทางมาไม่ถึง ทว่ากลับเป็นกุนซือสกุลเฉาคนสนิทข้างกายเหยาหย่วนจือมาถึงเสียก่อน

เหยาหย่วนจือรู้ว่าบุตรีของตนกำลังตั้งครรภ์ เลยไม่อยากให้นางต้องเหน็ดเหนื่อย จึงส่งเฉากุนซือพาคนมาสองสามคนก่อน หลังจากรีบลงเรือแล้วก็ขี่ม้าเร็วเข้าเมืองหลวงก่อน เพื่อที่จะมาดูสถานการณ์ทั่วไปในเมืองอวิ๋นและจัดการเรื่องที่พักอาศัยของใต้เท้าเหยา

หลังจากที่เฉากุนซือเข้าเมืองหลวงก็ไม่ได้รีบไปเข้าพบเหยาเฟิ่งเกอ ทว่ากลับมุ่งหน้าไปยังจวนเก่าของตระกูลเหยาที่ตั้งอยู่ในเมืองหลวง

บ่าวไพร่ที่คอยดูแลจวนเก่าพอได้รับจดหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรของเหยาหย่วนจือจึงไม่กล้าชักช้าอีก พลันต้อนรับกุนซือเข้าจวนด้วยท่าทีที่มีมารยาท

ตอนนี้ เหยาเฟิ่งเกอส่งคนมาทำความสะอาดเรือนเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และยังส่งพวกเครื่องนุ่งห่มมา พร้อมกับแปลงโฉมห้องอักษรและเรือนของเหยาหย่วนจือให้ดูใหม่ ช่วงเหมันต์ฤดูของเมืองต้าอวิ๋นนั้นมีอากาศแห้งแล้งและเหน็บหนาว ในเรือนจึงไม่ส่งกลิ่นเหม็นอับ ทว่าเหยาเฟิ่งเกอยังคงสั่งคนมาจุดธูปในกระถางธูปทองแดงสามขา ทำให้ได้กลิ่นหอมของธูปดอกไป๋เหอ[1]อยู่ตลอดเวลา

พอเฉากุนซือเข้ามาเดินตรวจดูรอบๆ เรือนไปหนึ่งรอบ ก็รู้สึกพอใจยิ่งนัก ต่อมาก็เรียกพ่อบ้านเข้ามาถามไถ่งานเรือน เรื่องเล็กน้อยต่างๆ แล้วค่อยสั่งให้คนออกไปได้ จากนั้นเขาก็ไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วค่อยออกไปข้างนอกอย่างเงียบๆ

ช่วงบ่ายของวันที่หกเดือนสิบสองนี้ เหยาหย่วนจือนั่งอยู่บนเรือที่จอดเทียบท่าเรือที่ตั้งอยู่ห่างจากทิศตะวันออกของเมืองอวิ๋นเพียงยี่สิบลี้[2] ใต้เท้าเหยาพาบุตรชายเหยาเหยียนอี้และบ่าวไพร่ราวๆ ห้าถึงหกคนลงจากเรือ ตอนนี้เฉากุนซือนำคนมารอต้อนรับที่ท่าเรือแล้ว เหยาหย่วนจือและเฉากุนซือนั่งอยู่บนรถม้าคันเดียวกัน ระหว่างทางไปเมืองอวิ๋น เฉากุนซือจึงรายงานเรื่องที่เกี่ยวกับเหล่าอ๋อง กง โหว ปั๋ว และอัครเสนาบดี ซ่างซูในแผนกต่างๆ และยังมีซานกงจิ่วชิงในเมืองหลวงทั้งหมดให้กับนายท่านของตนเองฟังอย่างละเอียด

เฉากุนซือผู้มากความสามารถได้รายงานข่าวคราวทั้งหมดที่ได้มาจากการสืบหาในสองสามวันมานี้ให้กับเจ้านายฟังจนจบ แล้วยังรายงานข่าวลือเกี่ยวกับคุณหนูรองเหยาที่ถูกร่ำลือกันทั่วเมืองอวิ๋นให้กับเหยาหย่วนจือได้รับรู้

เหยาหย่วนจือฟังจบอย่างเงียบๆ จากนั้นก็ลูบเคราสั้นตรงคางแล้วหัวเราะเบาๆ “หากเป็นเช่นนี้ บุตรีคนรองของข้าไม่ได้กลายเป็นสตรีเลื่องชื่อในเมืองอวิ๋นไปแล้วหรือ”

เฉากุนซือพลันกล่าวขึ้น “ทักษะการแพทย์ของคุณหนูรองช่างน่าตื่นตะลึงสมดั่งคำเล่าลือขอรับ เริ่มจากการรักษาบุตรีของเยี่ยนอ๋อง ต่อมาก็รักษาท่านเจิ้นกั๋วกงซื่อจื่อ และฮูหยินท่านซื่อจื่อแห่งจวนติ้งโหวที่มีอาการตกเลือดขั้นรุนแรง ตอนนี้แม้กระทั่งสำนักหมอหลวงยังกล่าวชมถึงวิชาการแพทย์ของคุณหนูรอง ใต้เท้ามีบุตรีเช่นนี้ ถือว่าเป็นเรื่องที่โชคดียิ่งนัก”

เหยาหย่วนจือถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดขึ้น “บุตรีผู้นี้ของข้าเป็นสตรีที่เชื่อฟังและถ่อมตนตลอดมา ตอนที่อยู่ในจวน ข้าก็มักจะคิดว่านางมีความฉลาดและความสามารถปานกลาง ทว่านางอุปนิสัยดีเชื่อฟังตามคำสั่งของผู้อื่น นิสัยเช่นนี้คล้ายคลึงกับนิสัยของซ่งฮูหยิน วันนี้ข้าเองที่มองผิดไป แค่ว่าในเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นก็ยังมีความโชคดีหลงเหลืออยู่ จึงทำให้รู้สึกดีใจและโศกเศร้าไปในเวลาเดียวกัน วันนี้นางตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องดีแต่อย่างไร หากนางถูกผู้ที่ประสงค์ร้ายหลอกใช้ และจงใจครหานางด้วยความเท็จ เช่นนั้นข้าเองก็คงจะลำบากไปด้วย!”

“ใต้เท้ากล่าวได้มีเหตุผลยิ่งนัก ทว่าสำหรับตอนนี้ เรื่องทุกอย่างยังคงไปในทิศทางที่ดี อย่างน้อยจวนเจิ้นกั๋วกงก็ดีกับคุณหนูรอง องค์หญิงใหญ่หนิงหวายังเป็นฝ่ายชวนคุณหนูรองไปร่วมงานเลี้ยงด้วยตนเอง บ่าวยังได้ยินมาว่าจวนอัครเสนาบดีก็มีความประสงค์ที่จะสานความสัมพันธ์เป็นทองแผ่นเดียวกันกับใต้เท้าขอรับ เกิงเถี่ย[3]ของหลานชายตระกูลเฟิงก็ส่งมาให้คุณหนูใหญ่แล้ว ส่วนมากบรรดาคุณชายในเมืองอวิ๋นล้วนโปรดปรานคุณหนูรอง และอยากจะสู่ขอคุณหนูรองเป็นภรรยา ครั้งนี้ใต้เท้าเข้าเมือง เกรงว่าคงจะยุ่งน่าดู!”

ครั้งนี้ เหยาหย่วนจือหัวเราะออกมาจากใจจริง “จื่อเจี้ย เจ้ากำลังหยอกล้อข้าอยู่หรือเปล่า หลานชายของอัครเสนาบดีเฟิงจงเยี่ยอยากจะสู่ขอบุตรีของข้าเป็นภรรยาอย่างนั้นหรือ พระอาทิตย์คงขึ้นทางทิศตะวันตกแล้วกระมัง ตาเฒ่าเฟิงนั่นไม่ใช่ตะเกียงที่ประหยัดน้ำมัน[4]เลยนะ”

“อา ใต้เท้ายังไม่ทราบ บุตรชายของอนุภรรยาคนหนึ่งของเฟิงจงเยี่ยนามว่าเฟิงจื่อโจ้ว เฟิงจื่อโจ้วผู้นี้แต่งงานกับสตรีสกุลหยาง และมีบุตรชายเพียงคนเดียวนามว่าเฟิงเซ่าเจิ้น ปีนี้มีอายุสิบเก้าปี สกุลหยางจึงวานให้หลิงซีจวิ้นจู่เป็นแม่สื่อ และได้ส่งเกิงเถี่ยไปให้คุณหนูใหญ่ ท่านใต้เท้าเจอหน้าคุณหนูใหญ่ก็จะทราบเรื่องเองขอรับ” เฉาจื่อเจี้ยหัวเราะอย่างเบิกบาน และกล่าวพร้อมทำมือคารวะ

“ข้าจะบอกเจ้าเพียงว่า หลานชายของฮองเฮาเฟิงจะเป็นไปได้อย่างไรที่จะสมรสกับบุตรีของอนุภรรยาแล้วยังให้นางเป็นฮูหยินเอก” หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้นเหยาหย่วนจือส่ายหัวพร้อมกับยิ้ม

รถม้าของเหยาหย่วนจือขับเคลื่อนเข้าไปตรงประตูเมืองอวิ๋น ทว่ากลับไม่ได้มุ่งหน้าไปยังจวนตระกูลเหยา แต่มุ่งหน้าไปยังบ้านพักของทางการที่ตั้งอยู่บนถนนเหวินหวาแทน

กฎระเบียบของราชวงศ์ต้าอวิ๋น หากเป็นเหล่าขุนนางที่ถูกส่งตัวไปทำงานนอกสถานที่ จะได้รับคำสั่งให้กลับเมืองหลวงเพื่อกราบทูลรายงานการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชโองการ จำต้องส่งหนังสือกราบทูลขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้เสียก่อน หลังจากที่รอคอยจนมีพระบรมราชานุญาตของฮ่องเต้ลงมา จึงจะสามารถเข้าวังไปเข้าเฝ้าได้

ทว่าหากหนังสือกราบทูลขอเข้าเฝ้าถูกส่งผ่านไปยังฮ่องเต้แล้ว ฮ่องเต้ไม่จำเป็นต้องมีเวลาเรียกเขา ดังนั้นเขาจึงต้องรอ และไม่มีกำหนดระยะเวลาในการรอ อาจจะครึ่งวันหรือครึ่งเดือนก็ได้

เพื่อป้องกันไม่ให้ขุนนางที่เข้ารับตำแหน่งนอกพื้นที่ได้พบเจอกับขุนนางในเมืองหลวงเป็นการส่วนตัว แล้วสมรู้ร่วมคิดวางแผนร่วมมือกัน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกิจการสำคัญของราชสำนักเป็นอย่างมาก และยังต้องเฝ้ารอคอยให้ฮ่องเต้เรียกตัวเมื่อใดก็ได้ และเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของขุนนางที่ทำงานนอกพื้นที่ ดังนั้นช่วงเวลาที่เฝ้ารอการเข้าเฝ้า โดยปกติแล้วขุนนางที่ไปรับตำแหน่งนอกพื้นที่จะไม่กลับจวนของตน และจะพักอาศัยอยู่ในเรือนพักของทางการก่อน เพื่อที่จะรอรับคำสั่งเรียกตัวเข้าเฝ้าได้ตลอดเวลา

แน่นอนว่าเหยาหย่วนจือก็ไม่ได้รับการยกเว้น หลังจากที่เข้าเมืองก็แยกย้ายกับบุตรชายของตนเหยาเหยียนอี้ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปเรือนพักของทางการตามลำพัง ส่วนเหยาเหยียนอี้ก็พาเหล่าบ่าวไพร่กลับจวนเดิมของตระกูลไปก่อน หลังจากที่สะสางงานทั้งหมดจนเสร็จ จึงค่อยไปเยี่ยมเยียนน้องสาวเหยาเฟิ่งเกอที่จวนติ้งโหว

ทว่าคุณชายรองตระกูลเหยากลับนึกไม่ถึง พอเข้าประตูจวนก็เห็นแม่นางที่สง่างามผู้หนึ่งเดินนำหน้าพ่อบ้านและบรรดาสาวใช้ราวๆ สิบกว่าคนออกมาต้อนรับ เหยาเหยียนอี้เกือบนึกว่าตนเองเข้าผิดจวนเสียแล้ว

“พี่รอง” เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มอ่อนๆ แล้วน้อมลงคำนับ “ไม่ทราบว่าตลอดการเดินทางนี้ท่านพ่อสบายดีหรือไม่เจ้าคะ”

“น้องรอง?” เหยาเหยียนอี้กระตุกหางตาขึ้น ภายในใจกำลังคิดว่า นี่คือน้องสาวบุตรีของอนุภรรยาที่ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจาและไร้ตัวตนคนนั้นจริงหรือ นางกลายเป็นสตรีที่งดงามเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ทุกคนมักจะบอกว่าเมื่อสตรีโตเป็นสาวก็ย่อมเปลี่ยนแปลงไป ทว่าน้องสาวอนุภรรยาคนนี้เปลี่ยนแปลงเร็วเกินไปหรือไม่ นี่เวลาผ่านไปเพียงสามสี่เดือน เหตุใดถึงได้เปลี่ยนเป็นคนละคนเช่นนี้

เหยาเยี่ยนอวี่มองเหยาเหยียนอี้ที่กำลังตกตะลึง ภายในใจกำลังคิดว่า พี่รองผู้ซึ่งผสมผสานเข้ากับวงการราชการและวงการการค้า กลับทำสีหน้าเช่นนี้เป็นด้วยหรือ สุดท้ายนางก็ยิ้มอย่างละมุนละม่อม “พี่รอง ท่านพ่ออยู่ในเรือนพักของทางการแล้วกระมัง ข้างนอกอากาศเหน็บหนาว พวกเรารีบเข้าในเรือนกันเถอะ”

“อ้อ ดี ดี” เหยาเหยียนอี้พยักหน้า แล้วตามเหยาเยี่ยนอวี่เดินเข้าไปในเรือน ตลอดทางเขาก็แอบครุ่นคิดในใจว่า น้องรองผู้ลึกลับผู้นี้ไปใช้ยาวิเศษอะไรกับตนเองกัน ช่วงเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่เดือนนางกลับสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองจากสาวน้อยที่ไม่โดดเด่น กลายเป็นสาวงามที่สง่าผ่าเผยและดูมีเสน่ห์เยี่ยงนี้ได้อย่างไร

เหยาเหยียนอี้ครุ่นคิดไม่ได้คำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ในทันทีทันใด เป็นดั่งวลีโบราณที่กล่าวไว้ ลักษณะของคนย่อมเกิดจากจิตใจหนุนส่ง เป็นเช่นนี้นี่เอง

ก่อนหน้านี้ เหยาเยี่ยนอวี่ปรารถนาเพียงอยากจะใช้ชีวิตที่สงบสุขและมั่นคง นางแค่เพียงต้องการใช้ชีวิตไปจนแก่เฒ่าอย่างสันติสุข ดังนั้นนางจึงปิดบังความสามารถทั้งหมดของตนไว้ การที่นางจะไปมาหาสู่กับผู้อื่นก็ปรารถนาเพียงว่าอย่าได้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ ขึ้นก็พอ ดังนั้นทุกๆ วาจาและการกระทำของนางล้วนอดกลั้นไว้ในใจ และนางพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้ตนเองไร้ตัวตน โดยปกติแล้ว วิชาที่ต้องเรียนของสตรีโบราณได้แก่ กู่ฉิน เดินหมาก บทกวีเขียนอักษร และการวาดภาพ อีกทั้งงานฝีมือเย็บปักถักร้อยของนางนั้นมักจะมีผลงานที่ไม่ดีและไม่ย่ำแย่มากนัก นางจงใจทำผลงานของตนไม่ให้โดดเด่นเป็นที่สะดุดตาของผู้คน

[1] ดอกไป๋เหอ คือดอกลิลลี่

[2] ลี้ เป็นหน่วยวัดของจีน หนึ่งลี้มีความยาวเท่ากับ 500 เมตร

[3] เกิงเถี่ย คือใบบันทึกวันเดือนปีเกิดของคู่หมั้น

[4] ไม่ใช่ตะเกียงที่ประหยัดน้ำมัน อุปมาคือบุคคลที่เรื่องมาก

Comment

Options

not work with dark mode
Reset