หมอหญิงจ้าวดวงใจ – ตอนที่ 13 องค์หญิงต้าจั่ง

ด้วยเหตุนี้ ราชนิกุลและตระกูลชนชั้นสูงล้วนนิยมสมรสกับบุตรีในตระกูลขุนนางชั้นสูง เหตุเพราะสตรีเหล่านี้สง่างาม มีมารยาทและการศึกษา ทั้งยังมีจิตใจที่อ่อนโยน ถือเป็นภรรยาและมารดาที่ดีของสามีและบุตร

บรรดากงโหวฝ่ายบู๊หรือแม้แต่เหล่าแม่ทัพที่สร้างผลงานล้วนเป็นคู่ครองที่เหมาะสมกับเหล่าองค์หญิงและท่านหญิง เนื่องด้วยบุรุษเหล่านี้มีความกล้าหาญและเป็นวีรบุรุษ พวกเขาสามารถตอบสนองความพึงใจต่อวีรบุรุษในฝันของบรรดาองค์หญิงและท่านหญิง อีกทั้งยังมีผลประโยชน์ต่อราชนิกุลในการรักษาตำแหน่งในเขตชายแดน

“พี่เหยากำลังคิดสิ่งใดอยู่เล่า! ข้าถามท่านว่า ท่านคิดว่าเฉิงอ๋องซื่อจื่อหล่อเหลา หรือเจิ้นกั๋วกงซื่อจื่อหล่อเหลากัน” เมื่อซูอวี้เหิงพูดคนเดียวอยู่นาน ทว่ากลับไม่เห็นเหยาเยี่ยนอวี่แสดงปฏิกิริยาตอบโต้อะไร จึงอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปจับหัวไหล่ของนาง ทว่าคิดไม่ถึงว่านิ้วมือของซูอวี้เหิงกลับเกี่ยวโดนต่างหูของเหยาเยี่ยนอวี่ ด้วยเหตุนี้ต่างหูห้อยหยกน้ำแข็งจึงร่วงหล่นลงไป

“อ๊า!” ตายแล้ว! พอมองต่างหูที่ใกล้จะตกลงบนศีรษะของเฉิงอ๋องซื่อจื่อ เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกตกใจจนหน้าซีดเซียว แล้วนางจะสนใจในสิ่งที่ซูอวี้เหิงเอ่ยถามได้อย่างไร

เสียงร้องอุทานของเหยาเยี่ยนอวี่ถูกกลบด้วยเสียงโห่ร้องยินดี ทำให้ไม่ได้ดึงดูดความสนใจจากผู้ใด แม้แต่ชุ่ยเวยที่อยู่ข้างกายก็ยังคงโบกมืออย่างกระตือรือร้นให้กับเหล่าวีรบุรุษบนหลังม้าที่สวมใส่ชุดเกราะเหล็ก ไม่ได้สนใจท่าทีที่ตกใจของคุณหนูตัวเองแม้แต่น้อย

ทว่าหนึ่งในรองแม่ทัพผู้สวมชุดเกราะเงินซึ่งอยู่ในกองททารม้ากลับเงยหน้าขึ้นมองทันใด แววตาเย็นเฉียบดุจคมดาบ ที่เคล้าไปด้วยรัศมีแห่งการเข่นฆ่าแสนเลือดเย็น ชั่วขณะนั้น เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกราวกับว่านัยน์ตาเย็นยะเยือกนี้มองลึกทะลวงเข้าไปในดวงใจ ทำให้นางหายใจไม่ออกไปครู่หนึ่ง

ทันใดนั้นเองรองแม่ทัพผู้นั้นก็ได้ยกแขนขึ้น และคว้าต่างหูห้อยหยกน้ำแข็งของเหยาเยี่ยนอวี่ หลังจากที่มองดูสิ่งของในมือจนชัดเจนแล้ว แววตาเข่นฆ่าก็จางหายไป แม้นยังเปี่ยมด้วยความเย็นเฉียบดุจคมดาบ ทว่ากลับไร้ซึ่งรัศมีแห่งการเข่นฆ่าแสนเลือดเย็นของเมื่อครู่นี้

เหยาเยี่ยนอวี่หายใจแผ่วเบา มือที่ถือผ้าเช็ดหน้าเอาไว้ยกขึ้นมาตบเบาๆ ตรงหน้าอกโดยไม่รู้ตัว นางถอนหายใจพลางพูดเสียงเบา “คนผู้นี้ช่างดุร้ายยิ่งนัก!”

“ผู้ใดหรือ” ซูอวี้เหิงเอ่ยถามด้วยความฉงนสงสัย “ผู้ใดดุร้ายหรือ”

เหยาเยี่ยนอวี่มองชายหนุ่มเห็นเพียงแค่แผ่นหลังในตอนนี้ นางหัวเราะเสียงเบา “ไม่มีผู้ใดหรอก ข้าเพียงรู้สึกว่าทหารม้าเกราะเหล็กนี้แลดูองอาจยิ่งนัก ร่างของทุกคนเจือปนไปด้วยกลิ่นอายของเหล็กและโลหิตของผู้กล้า”

ซูอวี้เหิงปรบมือ นางยิ้มแล้วพูดขึ้น “ถูกต้อง! พี่เหยาพูดไม่ผิดแม้แต่น้อย! นี่คือเหล่าวีรบุรุษของต้าอวิ๋น! เสด็จย่าเคยกล่าวเอาไว้ว่า บุรุษที่แท้จริงนั้นล้วนอยู่ในค่ายทหาร”

องค์หญิงต้าจั่งตรัสเอาไว้ว่า บุรุษที่แท้จริงนั้นล้วนอยู่ในค่ายทหาร

เหยาเยี่ยนอวี่เมื่อได้ยินคำพูดนี้ นางยกยิ้มเล็กน้อย ไม่ว่าบุรุษที่แท้จริงจะอยู่แห่งหนใด ล้วนไม่ใช่สิ่งที่นางสามารถคิดถึงได้ นางคือบุตรีตระกูลเหยา บิดาของนางคือเหยาหย่วนจือข้าหลวงปกครองสองเมือง บุตรีตระกูลเหยาล้วนเป็นหมากตัวหนึ่งที่ข้าหลวงเหยาผู้ปกครองสองเมือง ใช้ในการทำให้ตำแหน่งของตระกูลเหยานั้นมั่นคง

ความเป็นจริงเรื่องนี้ก็ไม่อาจกล่าวโทษบิดาของนางได้ เหตุเพราะในราชวงศ์ต้าอวิ๋น ในสายตาของเหล่าราชนิกุลและตระกูลขุนนางใหญ่ การสมรสของบุตรหลานล้วนต้องดูที่ผลประโยชน์เป็นอันดับแรก ว่าการสมรสของทั้งสองตระกูลจะสามารถเพิ่มผลประโยชน์สูงสุดได้หรือไม่ อันดับที่สองก็คือการสมรสกับผู้ที่ใช่ หรือผู้ที่เหมาะสมคู่ควรกัน อันดับถัดมาก็มาดูที่ความปรารถนาของบุตรหลาน

ไม่ใช่ว่ามันสำคัญหรอกหรือถึงต้องคอยควบคุมจัดการให้? ทว่าเบื้องหน้าของผลประโยชน์ที่สูงสุดนั้น ความอคติระหว่างสองตระกูลล้วนต้องเก็บซ่อนเอาไว้เสียก่อน เฉกเช่น องค์หญิงและท่านหญิงที่จำต้องอภิเษกสมรสไปยังดินแดนที่แสนไกล ไม่ใช่ว่าการสมรสไปในดินแดนห่างไกลนั้นเหล่าราชวงศ์จะไม่ปวดใจ? ไม่ใช่ว่าฮ่องเต้และเหล่าอ๋องจะไม่อยากจัดการให้พระราชโอรสและพระราชธิดาของตนอภิเษกสมรสกับผู้ที่ปรารถนา ทว่าเพื่อความมั่นคงของการปกครอง ต่อให้เป็นองค์หญิงที่แสนทะนงตน หากจำต้องอภิเษกสมรสไปสู่ดินแดนที่แสนไกล ก็ย่อมต้องยินยอม

สำหรับความปรารถนาของบุตรหลาน ล้วนต้องมีเงื่อนไขทั้งสองข้อก่อนหน้านี้จึงจะสามารถทำได้

เฉกเช่นบุตรหรือธิดาตระกูลใดถึงวัยสมควรที่จะสมรส ทางตระกูลจะคัดสรรบุตรและธิดาของเหล่าตระกูลที่เอื้อผลประโยชน์ให้ จากนั้นจะให้บุตรและธิดาเลือกหนึ่งในตระกูลเหล่านั้นด้วยตนเอง แล้วถามว่าคุณชายหรือคุณหนูตระกูลใดที่ปรารถนามากกว่ากัน ทว่าบุตรหรือธิดาที่ถูกถามนั้น แน่นอนว่าตอบได้เพียงคำตอบเดียวคือ ล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของบิดาและมารดา

แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นเฉพาะกับบิดาและมารดาที่รักใคร่ให้ความสำคัญกับบุตรของตนเท่านั้น

เหยาเยี่ยนอวี่รู้ดี สิ่งเหล่านี้นางล้วนไม่อาจเพ้อฝัน เช่นเดียวกับในตอนนั้น เพียงคำพูดเดียวของบิดาทำให้ตนถูกส่งเข้ามาในจวนโหว ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนไม่มีผู้ใดเอ่ยถามนางเลยว่า เจ้ายินดีหรือไม่

หลังจากการกลับมาอย่างมีชัยของกองทหารที่เดินทางไปยังตะวันตก ขุนนางในราชสำนักไปจนถึงชาวบ้านในเมืองหลวงล้วนปลื้มปิติยินดี ไม่เว้นแม้แต่จวนติ้งโหว ยิ่งไปกว่านั้นบุตรชายคนโตนาม ซูอวี้ผิง ยังสร้างผลงานไม่น้อยในการศึกครั้งนี้ ฮ่องเต้จึงทรงแต่งตั้งเป็นแม่ทัพติ้งหย่วน

เนื่องจากชัยชนะในครั้งนี้ ความเศร้าโศกจากการสวรรคตของไทเฮาจึงลดลงไปมาก แม้ว่างานเลี้ยงฉลองจะไม่อาจจัดได้ในช่วงไว้อาลัยของแคว้น จวนติ้งโหวจึงทำได้แต่ปิดประตูจวนแล้วกินอาหารค่ำด้วยกัน ติ้งโหวผู้เป็นบิดาและบรรดาบุตรชาย รวมทั้งองค์หญิงต้าจั่ง ลู่ฮูหยิน บรรดาอนุภรรยาและเหล่าสะใภ้ที่แทบจะไม่ได้อยู่รวมกัน ทั้งหมดมาอยู่รวมกันพร้อมหน้าอย่างหาได้ยากในมื้ออาหารค่ำของครอบครัว ตามคำแนะนำขององค์หญิงต้าจั่งคือ ห้ามมีสุรา ห้ามมีการแสดงหรือนักเล่านิทานใดๆ เพียงแค่นั่งลงร่วมโต๊ะอาหารมื้อค่ำด้วยกันเท่านั้น

เหตุเพราะเป็นการร่วมโต๊ะอาหารพร้อมหน้าพร้อมตาของทั้งตระกูล เหยาเฟิ่งเกอที่ล้มป่วยอยู่นั้นจึงไม่อาจเข้าร่วมได้ ด้วยเหตุนี้เหยาเยี่ยนอวี่จึงถูกเชิญไปแทน

เดิมทีนางไม่ได้อยากจะไป แต่เหยาเฟิ่งเกอกล่าวว่า เจ้าอย่าได้รู้สึกว่าตำแหน่งและฐานะของตนเองในเวลานี้น่ากระอักกระอ่วนใจ จงละทิ้งความคิดเหล่านั้นเอาไว้อย่าได้คำนึงถึง ในฐานะที่เจ้าเป็นน้องสาวของข้า การไปร่วมโต๊ะอาหารนั้นเป็นสิ่งที่ควรกระทำ เพียงแต่ข้าไม่อาจพาเจ้าไปได้ก็เท่านั้น เมื่อเจ้าไปถึงจงระวังวาจาและกิริยาท่าทาง เพราะถึงอย่างไรจวนโหวก็ไม่ใช่จวนของพวกเรา อีกทั้งเมื่ออยู่ต่อหน้าองค์หญิงต้าจั่งนั้นจำต้องมีพิธีรีตองมากขึ้น ข้าจะให้หลี่หมัวมัวไปกับเจ้า หากมีสิ่งใดเกิดขึ้น นางจะเป็นผู้ชี้แนะให้กับเจ้า

เหยาเยี่ยนอวี่ยังอยากจะพูดอะไรต่อ ทว่าซุนฮูหยินน้อยกลับเดินมา เมื่อเดินเข้าประตูมาก็จับมือของเหยาเยี่ยนอวี่ไว้แล้วพูดขึ้น “ท่านแม่เกรงว่าเจ้าจะกลัวแล้วไม่กล้าไป จึงให้ข้าพาเจ้าไปด้วยกัน เวลานี้สุขภาพร่างกายของพี่สาวเจ้ายังไม่สู้ดีนัก หมอหลวงจึงไม่อนุญาตให้นางออกไป ไม่เช่นนั้นก็ได้ไปด้วยกันแล้ว”

เหยาเฟิ่งเกอนอนพิงอยู่บนเตียง นางยิ้มอย่างอ่อนแรง “ข้ากำลังบอกนาง ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในจวน นางมักจะขวัญอ่อนจนไม่ชอบออกจากเรือน มาวันนี้มีพี่สะใภ้คอยพานางไปเช่นนี้ ข้าเองก็วางใจแล้วเจ้าค่ะ” ขณะที่พูดอยู่นั้น ก็ได้ออกคำสั่งกับชุ่ยเวย “ยังไม่พาคุณหนูของเจ้ากลับเรือนไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกหรือ”

เหยาเยี่ยนอวี่ไม่อาจทำสิ่งใดได้ ทำได้เพียงกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เป็นทางการสำหรับออกไปพบแขกเหรื่อ จากนั้นนางและซุนฮูหยินน้อยก็นั่งรถม้ามุ่งหน้าไปยังตำหนักองค์หญิงต้าจั่ง

แม้ว่าการรบชนะจะเป็นเรื่องน่ายินดี ทว่ายังอยู่ในช่วงไว้อาลัยของแคว้น อีกทั้งองค์หญิงต้าจั่งก็ยังเป็นหนึ่งในสมาชิกของเหล่าราชนิกุล ด้วยเหตุนี้ ทุกคนในจวน ไม่ว่าจะบุรุษและสตรีล้วนไม่มีผู้ใดสวมใส่เสื้อผ้าสีแดงและสีม่วงสดไป

แน่นอนว่าเหยาเยี่ยนอวี่เองก็ไม่ได้แต่งกายด้วยชุดสีแดงและสีม่วงสด นางสวมชุดกระโปรงหรู สีม่วงอ่อนปักลวดลายกล้วยไม้ ด้านบนสวมผ้าบางที่ปักลายใบกล้วยไม้เรียวยาว ซึ่งเป็นดอกกล้วยไม้ขาวสองดอก มีผีเสื้อหลากสีบินเฉียงอยู่หนึ่งตัว แลดูงดงามและเหมือนมีชีวิตจริงๆ

ปลายคิมหันตฤดู อากาศยังคงร้อนยิ่ง ทว่ากลับมีลมเฉื่อย เมื่อลมพัดผ่าน ฝีเท้าที่ก้าวเดินด้วยความระมัดระวัง ทำให้กระโปรงสีม่วงอ่อนพริ้วไหวไปตามแรงลม ลวดลายของดอกกล้วยไม้ที่ปักตรงชายกระโปรงเดี๋ยวก็ปรากฏเดี๋ยวก็หายไป ทำให้แลดูสง่างามยิ่งนัก ช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจ

ดวงหน้าขององค์หญิงต้าจั่งนั้นขาวนวล นางสวมเสื้อคลุมถวนฮวากงสีไพลินนั่งบนที่นั่งหลักของห้องโถงจยาอินซึ่งตั้งอยู่ในสวนหย่อมด้านหลังตำหนักองค์หญิงต้าจั่ง เมื่อเห็นสาวน้อยที่ไม่ได้แต่งกายเกินงามยืนอยู่ข้างซุนฮูหยินน้อยซึ่งอยู่ด้านหลังของลู่ฮูหยินนั้น แววตาหยุดนิ่งไปชั่วขณะ

ลู่ฮูหยินหันหลังแล้วจับมือของเหยาเยี่ยนอวี่ให้นางเดินขึ้นหน้าสองก้าว จากนั้นพูดขึ้น “ทูลองค์หญิง นางคือน้องสาวของสะใภ้สามที่หม่อมฉันทูลถึงเมื่อก่อนหน้านี้ วันนี้อาศัยโอกาสที่ทุกคนมาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา สะใภ้ของหม่อมฉันคนนี้จึงอาสาพาตัวนางมาให้องค์หญิงทอดพระเนตรเพคะ”

เหยาเยี่ยนอวี่คุกเข่าหมอบกราบอย่างมีมารยาท “หม่อมฉันเหยาเยี่ยนอวี่ขอถวายความเคารพองค์หญิงต้าจั่งเพคะ ขอให้องค์หญิงต้าจั่งมีอายุพันปี พันพันปีเพคะ”

“อย่าได้มีพิธีรีตองอะไรเลย วันนี้เป็นเพียงการร่วมโต๊ะอาหารอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งตระกูลเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องนำพิธีรีตองของแคว้นมาใช้” องค์หญิงต้าจั่งยิ้มบางๆ พลางผายมือ

Related

Comment

Options

not work with dark mode
Reset