หมอหญิงจ้าวดวงใจ – ตอนที่ 302 เสียงขลุ่ยประสานกัน ส่งสินเดิมเจ้าสาวออกจวน (4)

ตอนที่ 302 เสียงขลุ่ยประสานกัน ส่งสินเดิมเจ้าสาวออกจวน (4)

“เป็นเรื่องของเหิงเอ๋อร์” หันหมิงชั่นพูดไปก็แย้มยิ้ม “เจ้าว่าเสียงขลุ่ยที่ส่งมาจากที่ไกลเมื่อเที่ยงวันนี้คือใครกัน”

“คือใครกระนั้นหรือ” คุณหนูเหยารู้สึกสนใจขึ้นมาทันที “ตอนนั้นข้ายังอยากถามอยู่เลย”

“คนคนนั้นเจ้ารู้จัก!” หันหมิงชั่นพูดยิ้มๆ “ว่าไป เจ้ากับเขาก็ถือว่าสนิทสนมกันแต่กลับไม่รู้กระนั้นหรือ”

เหยาเยี่ยนอวี่เร่งเร้า “พี่สาวอย่าพูดจาล่อลวงข้าให้อยากรู้เลย รีบพูดมาว่าใครกันแน่”

หันหมิงชั่นยกมือแตะหน้าผากของเหยาเยี่ยนเบาๆ แล้วพูดขึ้น “ผู้ช่วยของว่าที่สามีของเจ้าคนที่แซ่ถัง”

“อะไรนะ” เหยาเยี่ยนอวี่ตะลึงงันทันทีจากนั้นก็ได้สติกลับมา “ถังเซียวอี้?”

หันหมิงชั่นยกนิ้วโป้ง “ฉลาด”

“วันนี้เขาอยู่ในจวนหรือ” เหยาเยี่ยนอวี่ตกใจจริงๆ ถังเซียวอี้กลับยังมีความสามารถเช่นนี้? หากรู้เรื่องนี้แต่เนิ่นๆ ระหว่างทางไปเจียงหนาน น่าจะให้เขาเป่าขลุ่ยให้ฟังเพื่อคลายความน่าเบื่อเสียหน่อย!

“ไม่ เขาไม่ได้อยู่ในจวนองค์หญิงใหญ่ แต่อยู่ในจวนเจิ้นกั๋วกง เขามาดื่มสุราที่สวนกับพี่รองของข้าพอดี เหตุเพราะได้ยินเสียงเป่าขลุ่ยของเหิงเอ๋อร์เลยเป่าประสานเสียง” หันหมิงชั่นหรี่ตามองเหยาเยี่ยนอวี่ “เจ้าว่านี่ถือว่าเป็นพรมลิขิตไหม”

“…” เหยาเยี่ยนอวี่กะพริบตาแล้วครุ่นคิด “แต่เหิงเอ๋อร์นาง…” นางโปรดปรานหันซังเย่ว์นี่!

“นางคิดได้แล้ว” หันหมิงชั่นนั่งตัวตรงแล้วมองชุ่ยเวยที่กำลังมวยผมให้เหยาเยี่ยนอวี่จนเสร็จ ปิ่นหยกเขียวกำลังเสียบเข้าไปในผมสีดำสนิท เหลือแต่เพียงที่ติดผมเสริมมงคลไว้

เหยาเยี่ยนอวี่ตะลึงงันเล็กน้อย ผ่านไปสักพักจึงเปรยขึ้น “คิดได้ก็ดี”

“ดังนั้นต่อให้ควรเป็นเจ้าแล้ว” หันหมิงชั่นปรับปิ่นเหยาเยี่ยนอวี่ให้ตรงแล้วพูดด้วยความจริงจัง “ข้ารู้จักมารดาของรองแม่ทัพถัง นางเป็นสตรีที่อ่อนโยนยิ่งนัก แค่เสียดายที่ป่วยจนสิ้นใจเมื่อสามปีที่แล้ว แล้วบิดาของเขาคือทหารรบที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของท่านแม่ทัพผู้เฒ่าติ้งหย่วน หลังจากแม่ทัพผู้เฒ่าเสียไป เขาก็อาสาไปเฝ้าเขตชายแดนจึงเสียชีวิตในสนามรบเมื่อปีที่แล้ว ดังนั้นงานสมรสของเขาวันนี้ก็มีเพียงแม่ทัพเว่ยที่เป็นผู้ตัดสินแทนเขา”

เหยาเยี่ยนอวี่ถึงกับพูดไม่ออกทันที เป็นเด็กกำพร้าที่ไม่มีพ่อไม่มีแม่อีกแล้ว!

ว่าไปก็ช่างบังเอิญนัก เหยาเยี่ยนอวี่บอกลาหันหมิงชั่น ตอนที่ออกจาจวนองค์หญิงใหญ่ก็บังเอิญเจอกับถังเซียวอี้ เขาเดินเข้ามาน้อมคำนับพร้อมทั้งมองซ้ายแลขวา หลังจากแน่ใจว่าไม่มีคนนอกจึงทำมือคารวะพลางพูดขึ้นยิ้มๆ “ข้าน้อยขอคารวะใต้เท้าเหยาขอรับ”

“ฮื้อ เหอะๆ…” เหยาเยี่ยนอวี่เกือบจะถูกน้ำลายติดคอ

ถังเซียวอี้ยิ้มหวานพลางรอให้เหยาเยี่ยนอวี่ใจเย็นลงแล้วถึงจะพูดด้วยเสียงต่ำ “ยังไม่ได้แสดงความยินดีกับฮูหยินเลย”

เหยาเยี่ยนอวี่ทั้งอับอายทั้งเคร่งเครียดจนแก้มหน้าก่ำแล้วชี้หน้าถังเซียวอี้ “เจ้าอยากเจอดีใช่หรือไม่”

“มิบังอาจ” ถังเซียวอี้พูดด้วยรอยยิ้ม

“เจ้ายังบอกว่าไม่กล้าอีก เจ้ารอไว้เลย” เหยาเยี่ยนอวี่กัดฟันแค่นเสียง

“มิบังอาจ มิบังอาจ!” “พี่สะใภ้” “ฮูหยินอย่าได้โกรธเคืองเลย มิเช่นนั้นกลับไปแม่ทัพของข้าน้อยต้องจัดการข้าน้อยแน่ๆ”

เหยาเยี่ยนอวี่ตวาด “ถุย! เจ้าสมควรเจอดี!”

ถังเซียวอี้ทั้งยิ้มและปฏิเสธว่าไม่ใช่ เหยาเยี่ยนอวี่จึงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “พอเถอะ นี่ก็มืดมากแล้ว ข้าเกียจคร้านจะมาพูดจาไร้สาระกับเจ้า หาเวลาว่างมาที่จวนข้าหน่อย ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า”

ถังเซียวอี้พลันยิ้มและรับคำ “ขอรับ”

เหยาเยี่ยนอวี่ผายมือสั่งการเซินเจียง “ไปเถอ ะอย่าไปสนใจเจ้าบ้านี่เลย”

กลับพูดถึงเว่ยจางที่ได้รับสั่งจากฮ่องเต้ให้ไปตรวจหาผู้ร้าย เขาจึงออกเดินไปครึ่งเดือนจนสุดท้ายก็ได้ผลสรุปเสียที จากนั้นเขาจึงนำพยานและหลักฐานกลับมาเมืองหลวงตอนกลางดึกแล้วขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ หลังจากเข้าวังก็ยังไม่ถึงห้องทรงอักษรก็บังเอิญได้ยินขันทีสองคนที่กำลังคุยเล่นกันอยู่

“ฮ่องเต้กลับแต่งตั้งแม่นางผู้นั้นเป็นหมอหญิงขั้นห้ากระนั้นหรือ!”

“เช่นนั้นครั้งนี้ตระกูลพวกเขาก็เจริญรุ่งเรืองแล้ว! แม้กระทั่งบุตรียังได้กลายเป็นขุนนางขั้นห้า!”

“ขุนนางขั้นห้าแม้จะมีเบี้ยตอบแทนไม่มาก แต่กลับเป็นถึงขุนนางผู้ดูแลสำนักแพทย์!”

“ได้ยินว่าฮ่องเต้ยังทรงพระกรุณาธิคุณอนุญาตให้นางเลือกผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาเป็นจำนวนยี่สิบคนให้ปฏิบัติงานในสำนักแพทย์ด้วยตัวเอง เจ้าว่านี่เป็นพระกรุณาธิคุณที่ยิ่งใหญ่เพียงใด! โอ้สวรรค์ ยี่สิบคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาการนั้นช่างโชคดียิ่งนัก! กลายเป็นสุนัขระกาเยี่ยมวิมานแล้ว!”

เว่ยจางได้ยินจึงตะลึงงันจนหยุดฝีเท้าลง เก๋อไห่ที่ติดตามเขาทำธุระทางราชการด้วยกันเห็นจึงรีบเอ่ยถาม “ท่านแม่ทัพเป็นอะไรไป”

“เมื่อครู่นี้ขันทีสองคนพูดอะไรเจ้าได้ยินหรือยัง” เว่ยจางเอ่ยถามด้วยคิ้วขมวด

“เหมือนจะพูดถึงสำนักแพทย์ประจำแคว้น? และยังมีขุนนางขั้นห้าอะไรหรือเปล่า ข้าน้อยฟังไม่ค่อยชัดเจน” เก๋อไห่ส่ายหน้าแล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย “แคว้นต้าอวิ๋นของพวกเรามีสำนักแพทย์แคว้นตั้งแต่เมื่อใดกัน”

เว่ยจางส่ายหัวแล้วพูดขึ้น “ไม่รู้ ไปเถอะ”

เรื่องที่เจอกับผู้ร้ายในครั้งนี้ช่างน่าแปลกนัก เว่ยจางก็ต้องทำทุกวิถีหาเพื่อตามหาผู้ที่หาเบาะแสและเป็นผู้ที่ไว้วางใจได้ไปตามหาคนเหล่านั้นให้เจอ ระหว่างการจับกุมตัวผู้ร้าย ก็เกิดการต่อสู้ สุดท้ายจับกุมตัวผู้ร้ายหกคนตายไปสี่คน และยังมีชีวิตอยู่สองคน

ทั้งสองคนนี้หนึ่งในนั้นกัดลิ้นตนเองไปแล้ว ถึงแม้ยังไม่ตายทว่าก็กลายเป็นใบ้ โชคดีที่เว่ยจางฉลาดหลักแหลม ก่อนที่อีกคนจะกัดลิ้นตนเอง ยังดีที่จับคางของเขาคนนั้นไว้ทัน

หลังจากผ่านการสอบสวนความลับที่ผู้ร้ายกุมไว้ก็รู้ว่าคนพวกนี้ไม่ใช่ชาวตะวันออก แต่เป็นคนเป่ยเกาหลี

เหตุเพราะคนเป่ยเกาหลีเคยเป็นพันธมิตรที่ร่วมมือกับฮ่องเต้ผู้ริเริ่มแคว้นต้าเหลียงจึงเคยยึดครองแผ่นดินนี้มาก่อน ทว่าหลังจากนั้นกลับทรยศหักหลังไปพึ่งพาอาศัยเป่ยหู ทำให้ฮ่องเต้องค์ก่อนถูกศัตรูโจมตีทั้งด้านหน้าและด้านหลังจนเกือบจะสิ้นชีวิต หลังจากนั้นฮ่องเต้องค์ก่อนจึงจู่โจมกลับ ภายใต้อารมณ์ที่เกรี้ยวโกรธเลยนำทัพทหารนับห้าหมื่นนายไล่จู่โจมศัตรูจากแม่น้ำเฮยจวนจนถึงเขตตอนเหนือที่มีอากาศเหน็บหนาวจนเกือบจะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนพวกนั้น

ชนเผ่าเป่ยเกาหลีดิ้นรนอยู่ในเขตเหนือสุดซึ่งมีสภาพอากาศเหน็บหนาวมานับร้อยปี จำนวนประชากรในเผ่าเพิ่มพูน ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของชนเผ่านี้ดีขึ้น ทว่ากลับโลภหวังจะยึดครองแผ่นดินก่อนหน้านี้ และคิดจะแย่งแผ่นดินที่เสียไปให้ได้คืนกลับมาเพื่อแก้แค้นทว่าอุปสรรคกลับเป็นตรงที่ว่าไม่มีกำลังเช่นนั้น

ครั้งนี้พวกเขาได้ใช้ทองซื้อหน้าไม้ของชาวตะวันออกมาในราคาสูงลิ่ว เป้าหมายก็คือต้องการสังหารฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าอวิ๋นโดยทันที ทำให้แคว้นต้าอวิ๋นเกิดสถานการณ์วุ่นวาย และพวกเขาจะได้ถือโอกาสเข้ามาแย่งแผ่นดินของบรรพบุรุษของพวกเขาคืน

ฮ่องเต้ได้ยินเว่ยจางทูลเสร็จจึงแย้มพระสรวลเลือดเย็นขึ้น “แค่คนเจ็ดแปดคนกับหน้าไม้กระจอกๆ ก็อยากจะได้ชีวิตของเจิ้นไปกระนั้นหรือ ไม่ประมาณกำลังตนเองเลยจริงๆ!”

เว่ยจางค้อมตัวลงพลางยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะทรงอักษรพลางรับคำด้วยความเคารพ “ฝ่าบาททรงตรัสถูกเป็นอย่างยิ่ง ชาวเป่ยเกาหลีเหล่านี้ไม่เคยรู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเลยพ่ะย่ะค่ะ”

ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ ทว่าเรื่องนี้พอนึกย้อนดูแล้วก็ทำให้ขวัญเสียจริงๆ หากข้างกายฮ่องเต้ไม่มีคนพวกเดียวกับพวกเขา พวกเขาจะรู้การเคลื่อนไหวของฮ่องเต้แล้วดำเนินแผนลอบสังหารได้อย่างไร

ทว่าผ่านมาหลายวันก็ยังไม่ได้เบาะแสเกี่ยวกับไส้ศึกที่แอบแฝงตัวอยู่ในนี้เลย ฮ่องเต้ครุ่นคิดก็เกรี้ยวโกรธยิ่งนัก จึงได้เอ่ยถาม “คนคนนั้นได้บอกหรือไม่ว่ารู้การเคลื่อนไหวของเจิ้นได้อย่างไร ในวังหลวงในราชสำนักมีใครบ้างที่เป็นพวกเดียวกับพวกเขา!”

เว่ยจางรีบทูลกลับ “ทูลฝ่าบาท ตอนนี้ผู้ร้ายคนนี้กำลังจะสิ้นใจแล้ว กระหม่อมไม่กล้าใช้วิธีการลงโทษบีบบังคับให้เขาเปิดเผยความจริง เลยคิดว่าอยากจะรอให้คนคนนี้อาการดีขึ้นมาก่อนถึงจะทำการสืบสวนต่อพ่ะย่ะค่ะ มิเช่นนั้นหากทำให้เขาตายไปจริงๆ ก็ไม่มีผู้ใดให้สืบสวนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“อืม ที่พูดก็ถูก” ถึงแม้ฮ่องเต้จะโกรธแค้นทว่าก็ทำอะไรไม่ได้ ทั้งสองจึงตกอยู่ในความเงียบไปสักพัก สุดท้ายฮ่องเต้ก็ทรงเหน็ดเหนื่อยจึงผายมือ “ผู้ร้ายคนนั้นย้ายไปขังในคุกหลวงเป็นการชั่วคราวเสียก่อน เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset