หมอหญิงจ้าวดวงใจ – ตอนที่ 305 คณะละครขวางทาง เหิงอ๋องออกหน้าออกตา (2)

ตอนที่ 305 คณะละครขวางทาง เหิงอ๋องออกหน้าออกตา (2)

คนคนนั้นมองแล้วกลืนน้ำลาย เงินตำลึงนี้อย่างน้อยก็ต้องมีราวๆ สิบตำลึง นี่มันไม่น้อยเลยจริงๆ! พวกเขาทำงานมาตั้งแต่เช้า ผู้ว่าจ้างยังให้แค่ห้าเศษเงินเท่านั้น แค่ว่าคนพวกนี้ออกมาทำมาหากินโดยการร้องละครเพลงก็ต้องพูดหลักเหตุผลหน่อย เงินส่วนใดที่ควรเอา ส่วนใดไม่ควรเอาก็ต้องแบ่งกันอย่างชัดเจน

บุรุษผู้นี้จึงยิ้มอย่างลำบากใจ “คุณชายท่านนี้ ต้องขอประทานโทษจริงๆ พวกเรา…ก็แค่ทำงานเอาเงิน มีคนให้เงินพวกเขามาร้องละครเพลงที่นี่ พวกเราไม่เชื่อฟังไม่ได้! ท่านเป็นผู้สูงส่งก็อย่าเอาเรื่องกับผู้น้อยอย่างพวกเราเลย พวกเราร้องไม่นานหรอก ร้องละครเพลงเดียวเสร็จก็กลับแล้วได้หรือไม่”

“ไม่ได้!” หลี่จงเริ่มโมโห “รีบไสหัวหลีกทางให้ข้าประเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นข้าจะฟ้องว่าพวกเจ้าสร้างเรื่องรบกวนผู้อื่น ดูสิว่าผู้พิพากษาแห่งศาลซุ่นเทียนจะจับพวกเจ้าเข้าคุกไหม!”

“เหอะ ท่านนี้มีที่มาที่ไปอย่างไรกัน มีอำนาจยิ่งใหญ่เช่นนี้เชียวหรือ” เสียงหนึ่งส่งมาจากท่ามกลางผู้คน ต้องการกดหลี่จงลง

หลี่จงจึงเข้าใจทันทีว่าเรื่องนี้ต้องมีคนเจตนาก่อกวนแน่นอน แค่ว่าคนเหล่านั้นเจตนาเล่นละครเพลงไว้อาลัยบนถนนที่ขบวนส่งสินเดิมต้องผ่านมันอันธพาลเกินไปหรือเปล่า ดังนั้นเขาจึงหันไปมองอยากจะดูว่าใครกันแน่ที่บังอาจถึงกับกล้าประกาศเป็นศัตรูกับตระกูลเหยาและตระกูลเว่ย

คนผู้หนึ่งเบียดออกมาจากกลุ่มคน ทั้งร่างสวมใส่เสื้อแขนขั้นและกางเกงขาสั้นสีเขียว จากผ้าต่วนราคาแพง ดูเหมือนจะเป็นบ่าวในตระกูลมั่งมี

หลี่จงรู้จักคนคนนี้ เขาคือคนของจวนเฉิงอ๋อง เป็นบุคคลที่ไม่ควรผิดใจด้วย ดังนั้นยกมือคารวะ “ท่านหลัว”

“แหม เจ้ารู้จักข้าด้วยหรือ” หลัวซานหัวเราะเสียงดังแล้วกวาดสายตามองหลี่จงตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นก็พยักหน้าอย่างสงสัย “เจ้าคือคนของจวนติ้งโหวใช่ไหม ข้ารู้สึกคุ้นหน้าเจ้านัก”

“ข้าน้อยหลี่จงขอรับ” หลี่จงคลี่ยิ้มอย่างฝืนทนแล้วพยายามอดกลั้นความโมโหไว้พลางเจรจากับหลัวซานดีๆ “วันนี้เป็นวันที่นายหญิงของข้าส่งสินเดิมเจ้าสาว ขบวนรถม้ามาถึงแล้ว พี่หลัว ท่านว่าคนพวกนี้ควรแยกย้ายกันก่อนไหม มีอะไรก็พูดคุยกันดีๆ ได้”

หลัวซานถามสวนอย่างสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “อ้อ แยกแยะกันก่อน มีอะไรก็พูดคุยกันดีๆ ได้กระนั้นหรือ”

“ขอรับ” หลี่จงพยักหน้า ภายในใจกำลังคิดจะลากตัวบรรพบุรุษทั้งแปดรุ่นของคนตรงหน้านี้มาปรนนิบัติเป็นอย่างดี

“ต้องขอโทษจริงๆ” หลัวซานแค่นเสียงพร้อมยิ้มไม่จริงใจแล้วหันไปสบถหยาบใส่คณะละครเพลงทันที “ร้องต่อสิ! ใครสั่งให้พวกเจ้าหยุดเล่นล่ะ เห็นเงินแล้วใช่ไหม ต้องการเงินแต่ไม่เอาชีวิตแล้วใช่ไหม!”

คนที่ร้องละครเพลงได้ยินคำพูดนี้จึงตกใจจนต้องเริ่มเล่นดนตรีอีกครั้งทันที นักแสดงหญิงคนนั้นตกใจจนเสียงสั่น ร้องไปร้องมาก็ยังหาระดับเสียงและจังหวะไม่ได้ นางตื่นตระหนกจนใกล้ร้องไห้

“หยุด! หยุดๆๆ!” หลี่จงกางแขนทั้งสองข้างออกแล้วขึ้นเสียงสูงที่สุด ทำให้เสียงดนตรีที่บรรเลงหยุดลง จากนั้นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเอ่ยถามหลัวซานด้วยท่าทีที่ใจเย็นลง “ท่านหลัว นี่มันหมายความว่าอะไรกัน คือคำสั่งของท่านอ๋องหรือคำสั่งของท่านซื่อจื่อ หากท่านบอกข้ามา ข้าจะได้กลับไปรายงานใต้เท้าของพวกเรา รอให้เรื่องนี้ผ่านไป ใต้เท้าของพวกเราจะไปขอขมาท่านเฉิงอ๋องถึงจวนและอธิบายเรื่องนี้อย่างชัดเจนเองได้หรือไม่”

“ไม่ได้!” หลัวซานผายมือ “ข้าไม่มีหน้าไม่มีตามากเช่นนั้น กิจธุระของท่านอ๋องและท่านซื่อจื่อในจวนมอบหมาย คนอย่างเราไม่มีสิทธิ์ไปยุ่งเกี่ยวหรอก ท่านใต้เท้าเหยาจะทำเช่นไรก็ไม่ใช่บ่าวอย่างเจ้าที่จะมีอำนาจในการตัดสิน พวกเราต่างคนต่างทำกิจธุระของตนเองที่ได้รับมอบหมายเถอะ”

หลี่จงแอบสบถหยาบในใจว่า ให้ตายเถอะไอ้สารเลว! ทว่ากลับยังคงต้องอดกลั้นอารมณ์โมโหไม่กล้าหักหน้าอีกฝ่าย

ต่อให้ใช้คำพูดที่ดีในการเสวนากับคนแซ่หลัวมากเพียงใดเขาก็ไม่ยอมถอย ทั้งยังเร่งให้คณะละครเพลงพวกนี้ร้องต่อ ยังบอกว่าบีบคนพวกนี้ให้ตายง่ายราวกับบีบมดตัวหนึ่งตาย

เฝิงโหย่วฉุนและเหยาซื่อสี่ที่อยู่ด้านหลังจึงสั่งให้เสี่ยวซือมาดูสถานการณ์ด้านหน้า พวกเขาสั่งการให้เหล่าเสี่ยวซือเอาเงินไล่ให้ชาวบ้านที่มุงดูแยกย้าย ขณะเดียวกันก็สั่งให้รถม้าที่อยู่ตามหลังชะลอความเร็ว เฝิงโหย่วฉุนจึงเดินหน้าไปเจรจากับหลัวซานด้วยตนเอง

เฝิงโหย่วฉุนเป็นคนมีอายุแล้ว คำพูดคำจาอ่อนโยน จากนั้นก็ยกประเด็นงานแต่งนี้เป็นงานสมรสพระราชทานจากฮ่องเต้มาพูด ทั้งยังเอ่ยถึงจวนเจิ้นกั๋วกง สีหน้าของหลัวซานเกิดความลังเลขึ้นมาทันที คำพูดของเขาไม่ได้เด็ดขาดไม่ยอมคนเหมือนก่อนหน้านี้ ทว่ากลับยกมือคารวะขอร้องเฝิงโหย่วฉุน “พี่เฝิงท่านก็เข้าใจดี พวกเราที่เป็นบ่าวไพร่ก็ต้องทำตามคำสั่งของนาย วันนี้ข้ายืนอยู่ที่นี่ก็กลัวตาย ทว่าหากให้ออกจากที่นี่แล้วกลับไปก็ต้องตายเหมือนกัน อย่างไรข้าก็ต้องตาย ทว่าข้าคงมิอาจทำให้ชื่อเสียงของนายต้องเสื่อมเสีย…”

“ถอยไป! ถอยไป!” หลัวซานมีคำพูดที่ยังเอ่ยไม่จบก็ได้ยินคนด้านข้างตะโกนด้วยเสียงสูง “ผู้พิพากษาศาลซุ่นเทียนกำลังจัดการเรื่องคดีความ! ถอยไปให้หมด!”

ทุกคนได้ยินจึงไม่กล้าชักช้าเลยรีบหลบไปทันที ส่วนเหล่าคณะละครไม่รู้ว่าควรถอยหรืออยู่ต่อ ทว่าแต่ละคนกลับไม่กล้าพูดอะไร ส่วนนักแสดงหญิงที่ใส่ชุดไว้อาลัยแอบหลบไปก่อน นางได้ยินแล้วว่าขบวนสินเดิมเจ้าสาวที่พวกเขาร้องละครเพลงขัดขวางเป็นตั้งว่าที่ฮูหยินแม่ทัพติ้งหย่วน ทั้งยังเป็นงานสมรสพระราชทาน พวกเขาเป็นเพียงสามัญชนธรรมดาจะกล้าผิดใจกับคนระดับนี้ได้อย่างไร

เฝิงโหย่วฉุนและหลี่จงแลกเปลี่ยนสายตากันแล้วแอบถอนหายใจ เรื่องนี้ดำเนินได้…กลับไปไม่รู้ว่าควรรายงานนายหญิงอย่างไร ใบหน้าเหี่ยวย่นนี้ไม่รู้ว่าจะไปมุดที่ไหนแล้ว!

คนของศาลซุ่นเทียนไม่ได้มาแค่คนเดียว นอกจากด้านหลังที่มีหยาอี้ตามมาหนึ่งพวกแล้ว ข้างกายเขายังมีบุรุษสวมชุดขี่ม้าผ้าต่วนสีม่วง คนผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นใด แค่เป็นหนึ่งในรองแม่ทัพที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาเว่ยจางนามว่าจ้าวต้าเฟิง

จ้าวต้าเฟิงเป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆ แต่เขากลับมีใบหน้าดำคล้ำ รูปลักษณ์หน้าตาไม่ค่อยเป็นที่ดึงดูด เขาเป็นคนตาตี่ ลักษณะอย่างอื่นก็คงไม่ต้องพูดถึง แค่หนวดทั้งสองข้างที่เขาไว้ ต่อให้สวมใส่เสื้อผ้าชั้นดีเพียงใดก็คงดูเป็นคนอันธพาล แค่มองก็รู้ว่าเป็นคนที่ไม่ยอมถูกรังแกง่ายๆ

ทุกคนยังไม่ได้เอ่ยขึ้น จ้าวต้าเฟิงก็พูดขึ้นก่อน “กลางถนนเป็นสถานที่ร้องละครเพลงด้วยหรือ! ร้องไห้ไปหาวิมานอะไรตั้งแต่เช้าตรู่! หลายวันก่อนข้าได้รับรายงานว่ามีผู้ร้ายแอบเข้ามาในเมืองหลวงวางแผนจะก่อกบฏ พวกเจ้าล้วนตกเป็นผู้ต้องสงสัย!”

ผู้พิพากษาศาลซุ่นเทียนได้ยินคำพูดเช่นนี้จึงอดขมวดคิ้วไม่ได้ ตั้งใจกระแอมกระไอสองทีเพื่อสื่อให้คนข้างๆ ระวังคำพูด

จ้าวต้าเฟิงกลับไม่สนใจ เขาเป็นคนหัวดื้อไม่ยอมฟังใครตั้งแต่เด็ก แม้กระทั่งบิดามารดายังถูกเขาทำให้เครียดจนตาย มีเพียงเว่ยจางคนเดียวที่คุมเขาอยู่ ดังนั้นต่อให้ผู้พิพากษาศาลซุ่นเทียนกระแอมกระไอจนอวัยวะภายในหลุดออกมาหมดเขาก็ไม่มีทางสนใจ

ทว่าวันนี้กลับได้รับการยกเว้นเพราะเห็นแก่แม่ทัพของเขามีเรื่องมงคลเกิดขึ้น จึงให้ผู้พิพากษาศาลซุ่นเทียนหาทางลง เขาผายมือแล้วตะโกน “ใต้เท้าโจวไม่สบายเป็นหวัด วันนี้ข้าจ้าวต้าเฟิงจึงดำเนินกิจธุระทางราชการแทนเขา ทหาร จับไอ้พวกไร้ประโยชน์ที่ก่อกวนชาวบ้านพวกนี้เดี๋ยวนี้!”

หยาอี้ที่ติดตามอยู่ด้านหลังจึงรีบเดินหน้ามาจับกุมคนพวกนั้น

“เฮ้! นี่! ใครจับกุมใคร” หลัวซานรีบวิ่งมาขัดขวาง

“เจ้าคือใคร บังอาจขัดขืนการปฏิบัติการของศาลซุ่นเทียนหรือ ทหาร จับมันไปด้วย!” รองแม่ทัพออกคำสั่ง จึงมีคนเดินหน้ามาจับกุมตัวหลัวซาน

“ปล่อยข้า! ปล่อยข้า!” หลัวซานดิ้นไปดิ้นมาพลางสบถหยาบ “ให้ตายเถอะ เจ้าตาบอดหรือไร! ข้าเป็นคนของจวนเฉิงอ๋องเชียวนะ!”

“เอ๊ะ! เจ้านี่ช่างกล้าเหลือเกิน!” จ้าวต้าเฟิงยิ้มแฉ่งพลางลูบหนวดเครา “กล้าเอาชื่อของจวนเฉิงอ๋องมาแอบอ้างกระนั้นหรือ ท่านเฉิงอ๋องสูงศักดิ์มากเพียงใด เขาจะมีบ่าวไพร่ที่เป็นสุนัขขี้เรื้อนอย่างเจ้าได้อย่างไร! จับมันไปก่อน กลับไปข้าจะไปถามจวนเฉิงอ๋องด้วยตัวเองให้รู้เรื่อง หากเจ้าเป็นคนของจวนเฉิงอ๋องจริงข้าก็ต้องไปน้อมรับความผิดกับท่านอ๋องอยู่แล้ว หากไม่ใช่…หึ! ระวังหัวของเจ้าไว้ให้ดี!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset