หมอหญิงจ้าวดวงใจ – ตอนที่ 306 คณะละครขวางทาง เหิงอ๋องออกหน้าออกตา (3)

ตอนที่ 306 คณะละครขวางทาง เหิงอ๋องออกหน้าออกตา (3)

“พูดจาเหลวไหล! ไอ้จ้าว! เจ้ากล้าพูดว่าไม่รู้จักข้ากระนั้นหรือ!” หลัวซานเห็นว่ามีคนมาจับกุมตัวเองจริงๆ จึงตะโกนขึ้นมาทันที

จ้าวต้าเฟิงถ่มน้ำลายแล้วสบถหยาบ “แม่งเอ๊ย ปิดปากมันไว้ อย่าให้มันตะโกนอีก!”

ด้านข้างจึงมีคนเดินหน้าเข้ามายกมือขึ้น นิ้วมือทั้งห้าขยับ ทั้งปากของหลัวซานโดนยัดด้วยสิ่งของ ทำเอาเขาจะหุบปากก็หุบไม่ได้ น้ำลายไหลออกมาด้านนอก ทว่าเหมือนเขายังจะสบถหยาบต่อ

“ไปเถอะ! เปิดทาง!” จ้าวต้าอวิ๋นโบกมือใหญ่แล้วพาคนของศาลซุ่นเทียนเปิดทาง ทำให้ขบวนขนสินเดิมเจ้าสาวที่อยู่ด้านหลังเดินหน้าต่อได้

เฝิงโหย่วฉุนใช้ผ้าสีม่วงแกมแดงเช็ดเหงื่อบนหน้าผากแล้วผายมือสั่งให้หลี่จงและคนอื่นๆ อย่าพูดอะไรทั้งนั้น แล้วสั่งให้รีบขึ้นรถม้า อย่าทำให้ไม่ทันช่วงเวลาฤกษ์งามยามดีเด็ดขาด

จ้าวต้าเฟิงดึงผู้พิพากษาศาลซุ่นเทียนไปเสวนา ขณะเดินไปด้วยก็พูดขึ้นยิ้มๆ ไปด้วย “ใต้เท้าโจว ข้าจะเชิญท่านดื่มเหล้าในภายหลัง ที่ข้ามีเหล้านารีแดงหมักมายี่สิบปี รับรองว่าท่านต้องโปรดปราน”

ผู้พิพากษาศาลซุ่นเทียนทำสีหน้าขมขื่น “ท่านรองแม่ทัพจ้าว เจ้าให้ข้าแหกขี้ตาตื่นแต่เช้าก็เพื่อที่จะเลี้ยงเหล้าข้ากระนั้นหรือ”

“โธ่ ใต้เท้าโจว ท่านเข้าใจผิดไปแล้ว ข้าเชิญท่านดื่มเหล้าด้วยความจริงใจ เหตุใดท่านถึงมองข้าเช่นนี้ด้วยเล่า”

“ข้าเป็นตั้งผู้พิพากษาศาลซุ่นเทียนเทียน มาเปิดทางให้กับขบวนส่งสินเดิมเจ้าสาวของว่าที่ฮูหยินแม่ทัพของพวกเจ้า ขืนฮ่องเต้ถามไถ่ขึ้นมาเจ้ารับผิดชอบแทนข้าด้วย”

จ้าวต้าเฟิงเลิกคิ้วดำดกขึ้นพร้อมทั้งถลึงตาเล็กๆ คู่นั้น “จุ๊! ท่านพูดจาเช่นนี้ได้อย่างไรกัน นี่เรียกว่าปฏิบัติตามหน้าที่ให้สุดความสามารถต่างหาก เพื่อที่จะทำให้ประชากรในเมืองหลวงอยู่อย่างสงบสุข ทั้งยังทำเพื่อจงรักภักดีต่อฮ่องเต้ ข้าจะบอกความจริงกับท่านใต้เท้าโจว หลายวันก่อนมีผู้ร้ายกลุ่มหนึ่งที่ต้องการลอบสังหารฮ่องเต้ถูกแม่ทัพของข้าจับกุมตัวได้แล้ว ช่วงนี้พวกที่ชอบทำตัวลับๆ ล่อๆ ทางที่ดีที่สุดก็รีบจับกุมตัวเข้าไปไต่สวนในศาลซุ่นเทียนเถอะ อย่ารอให้เกิดความผิดพลาดอะไรขึ้นมาจริงๆ ตอนนั้นท่านอาจต้องรับผิดชอบในส่วนที่เหลือ!”

“ได้! เช่นนั้นข้ายังต้องเป็นฝ่ยขอบคุณเจ้า!” ผู้พิพากษาศาลซุ่นเทียนจึงประสานมือคารวะให้จ้าวต้าเฟิง

“อื้ม ไม่ต้องเกรงใจขอรับ” จ้าวต้าเฟิงยิ้มอย่างงดงาม

หยาอี้แห่งศาลซุ่นเทียนที่ติดตามอยู่ด้านหลังต่างก็แลกเปลี่ยนสายตากัน รองแม่ทัพจ้าวท่านนี้หน้าด้านเกินไปหรือเปล่า

พอเดินตามถนนเส้นนี้ไป หลังจากผ่านปากซอยที่สองก็เปลี่ยนทิศ ตรงนั้นมีรถม้าไม้ดำสลักลายขนาดใหญ่ที่ใช้ม้าสี่ตัวขับเคลื่อนจอดอยู่

มีบ่าวคนหนึ่งวิ่งมาอย่างเร่งด่วนแล้วรายงานความคืบหน้าตรงข้างหน้าต่างรถม้าไปสองสามคำ ม่านรถม้าก็ถูกเลิกขึ้นทันที เผยให้เห็นถึงดวงหน้าที่โกรธเกรี้ยวของอวิ๋นเหยาจวิ้นจู่ “เจ้าพูดว่าอะไรนะ”

บ่าวคนนั้นจึงพูดอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ “จวิ้นจู่ หลัวซานถูกคนแซ่จ้าวจับกุมตัว…”

“ไอ้สวะ!” อวิ๋นเหยาสบถหยาบด้วยความโมโหแล้วสั่งการต่อ “ไม่ใช่ว่ายังมีคณะร้องละครหรือไร บอกให้ร้องต่อสิ”

“จวิ้นจู่ขอรับ คนของศาลซุ่นเทียนเปิดทางให้ขบวนรถม้าผ่านไปแล้ว ด้านหลังมีจ้าวต้าเฟิงที่กำลังพูดคุยเล่นกับผู้พิพากษาศาลซุ่นเทียนอย่างมีความสุข พวกเขาดูสนิทสนมกันยิ่งนัก จวิ้นจู่ มิเช่นนั้นเรื่องนี้…ก็ช่างมันเถอะ ท่านอ๋องรู้คง…”

“หุบปาก! ข้าจะทำอะไร ไอ้สุนัขรับใช้อย่างเจ้ามีสิทธิ์มาสั่งการด้วยหรือ!” อวิ๋นเหยาสบถหยาบด้วยความเย็นชา “ไป! บอกให้คณะละครพวกนั้นร้องต่อ หากร้องได้ไม่ดีข้าจะถลกหนังของพวกเขาให้หมด!”

บ่าวคนนั้นรับคำด้วยสีหน้าขมขื่นแล้วหันหลังวิ่งกลับมาทำงานตามที่ถูกรับสั่ง กลับเห็นข้างหลังเต็มไปด้วยผู้คนและรถม้า ผู้ที่อยู่ด้านหน้าสุดสวมชุดคลุมมังกร สวมหมวกกวานผ้าไหมสีทองบนศีรษะ หากมองผ่านลูกปัดสีแดงประวาลวรรณก็จะเห็นไหมทองร้อยไข่มุกเท่าไข่นกพิราบที่กำลังไหวไปมา

“เอ๊ะ! นี่ไม่ใช่เหิงจวิ้นอ๋องหรือ!” บ่าวคนนั้นจึงไม่กล้าชักช้า รีบหมอบกราบลงทันที “ถวายบังคมท่านอ๋อง” เขาคุกเข่าลงเสร็จด้านหลังก็มีรถม้าวิ่งมาโดยเร็ว ทั้งยังมีผู้ที่ตามเสด็จอารักขา บ่าวอีกห้าหกคน

องค์ชายสามอวิ๋นหมินกำเนิดจากฮุ่ยกุ้ยเฟย สี่ปีก่อนหลังจากที่เข้าพิธีสวมกวานก็ย้ายออกจากวังหลวงไปสร้างเนื้อสร้างตัวจึงไม่ได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งใดๆ ตลอดมา หลายวันก่อนเหตุเพราะต้องถ่ายเลือดให้องค์ชายหก ฮ่องเต้ทรงเห็นแก่ความรักใคร่ที่เขามีต่อพี่น้องถือเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเหล่าองค์ชายคนอื่นๆ จึงแต่งตั้งให้เขาเป็นเหิงจวิ้นอ๋อง

อวิ๋นเหยาเห็นผู้ที่อยู่ในรถม้าจึงต้องลงจากรถม้าเพื่อถวายบังคม

อวิ๋นหมินกลับไม่สั่งให้บ่าวห้าหกคนลุกขึ้น แค่เดินไปตรงหน้าอวิ๋นเหยาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “น้องเหยาเอ๋อร์ ช่างบังเอิญนัก”

“เช่นนั้น ช่างบังเอิญนัก” อวิ๋นเหยาแย้มยิ้มจางๆ

“ไม่ได้เจอเจ้ามาสักพักแล้ว เสด็จพ่อไปสถานตากอากาศเจ้าก็ไม่ได้ติดตามเสด็จอาเจ็ดไปด้วย ไม่รู้ว่าน้องสาวไปเที่ยวเล่นที่ใดมา” อวิ๋นหมินเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มรื่นเริง

อวิ๋นเหยาแอบขุ่นเคืองใจ คนผู้นี้รู้แล้วยังแกล้งถาม ก่อนหน้านี้เหตุเพราะนางโวยวายเนื่องจากฮ่องเต้พระราชทานงานสมรสให้เว่ยจางและเหยาเยี่ยนอวี่ หลังจากนั้นก็ไม่รู้ว่าไปทำอะไรให้ฮองเฮาไม่พอพระทัย ฮองเฮารับสั่งให้นางไปเข้าเฝ้าในวังหลวง ทั้งยังพูดจาแปลกพิลึก สุดท้ายก็ให้นางไปจดบันทึกบทสวดที่วัดฉือซิน

ทุกคนไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทว่าภายในใจก็มีคำตอบ ใครก็ไม่เคยเอ่ยถึง วันนี้เขาเหิงจวิ้นอ๋องกลับเอ่ยถามอย่างซึ่งๆ หน้า!

อวิ๋นหมินเหมือนไม่สนใจว่าอวิ๋นเหยาจะตอบอยางไร แค่พูดเองเออเอง “ข้ากำลังจะไปกินสำรับเช้าที่ซูเย่ว์จาย ได้ยินว่าที่นั่นทำซาลาเปาเปลือกเต้าหู้ได้ไม่เลว เจ้าจะไปด้วยไหม”

“ข้า…” อวิ๋นเหยากัดฟันไม่พอใจยิ่งนัก

“ไปเถอะ เจ้าต้องไม่เคยกินแน่นอน ข้ารับรองว่าเจ้าไปแล้วจะไม่ผิดหวัง ตอนกลับก็ซื้อกลับไปให้หวังเฟยลิ้มลอง ว่าไปแล้วข้าก็ไม่ได้ไปเยี่ยมเยียนเสด็จอานานแล้ว” อวิ๋นหมินพูดจบจึงสั่งให้บ่าวที่คุกเข่าอยู่บนพื้นลุกขึ้น “เร็วเข้า รีบพาจวิ้นจู่ของพวกเจ้าขึ้นรถ สายไปคงไม่ได้กินซาลาเปานั้นแล้ว”

“พี่สาม ข้า…” อวิ๋นเหยายังอยากจะพูดอะไรอีก กลับถูกเสียงหัวเราะของอวิ๋นหมินขัดจังหวะ “ซาลาเปาของพวกเขาขายแค่ยี่สิบเข่งเท่านั้น หากไปสายก็คงไม่ได้กินจริงๆ รีบไปเถอะ”

อวิ๋นเหยาถึงกับจนปัญญา ทำได้เพียงหันหลังเดินขึ้นรถม้าแล้วสั่งคนขับรถม้า “ตามรถม้าขององค์ชายสามไป”

คนขับรถม้าตอบกลับทันที จากนั้นก็เปลี่ยนทิศทางรถม้าแล้วมุ่งหน้าทิศทางรถม้าขององค์ชายสาม

อย่าได้กล่าวถึงถึงอวิ๋นหมินพาอวิ๋นเหยาไปกินซาลาเปาเปลือกเต้าหู้ว่ามีรสชาติอย่างไร เพียงกล่าวถึงจ้าวต้าเฟิงที่พาคนของศาลซุ่นเทียนพูดคุยเล่นกันไปตลอดทาง พวกเขาเดินอ้อมเมืองหลวงไปเกือบครึ่งเมืองถึงจะไปถึงจวนแม่ทัพติ้งหย่วน ภายใต้คำแนะนำของรองแม่ทัพจ้าว ระหว่างทางหยาอี้แห่งศาลซุ่นเทียนจับคณะร้องละครเพลงที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ ตามซอกซอยได้อีกหนึ่งกลุ่ม ช่างบังเอิญนัก นักแสดงหญิงในคณะร้องละครเพลงก็สวมใส่ชุดไว้อาลัยเหมือนกัน ไม่ต้องเอ่ยถามก็รู้ว่าต้องเป็นละครที่ร้องเพื่อการไว้อาลัยแน่นอน

จ้าวต้าเฟิงรู้สึกเคร่งเครียดยิ่งนัก แทบอยากจะเฆี่ยนตีคนในคณะร้องละครเพลงพวกนี้จวนจะขาดใจ ทว่าปากกลับพูดกับผู้พิพากษาศาลซุ่นเทียนยิ้มๆ “ใต้เท้าโจวเป็นเช่นไรบ้าง ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าเรื่องนี้มันร้ายแรง? เหตุใดถึงจะบังเอิญเช่นนั้น ปากซอยนั้นก็มีคนร้องละครเพลงไว้อาลัย? นี่แสดงว่าพวกเขาต้องมีแผนการ คนพวกนั้นวางแผนการร้ายไว้อยากจะทำให้เมืองหลวงต้าอวิ๋นเกิดความวุ่นวาย หากพูดในเชิงรุนแรงนั่นก็คือก่อกบฏ หากพูดในเชิงไม่ร้ายแรงก็แสดงว่าคนเหล่านี้ต้องการสร้างเรื่องบาดหมางใจกับท่านใต้เท้าโจว เรื่องนี้ควรทำเช่นไรดีท่านเองก็คงรู้ดีหรือเปล่า”

ผู้พิพากษาศาลซุ่นเทียนยกมือปาดเหงื่อแล้วพยักหน้าไม่หยุด “เช่นนั้นข้ารู้ดี รู้ดี!”

ขบวนรถม้าที่ส่งสินเดิมเจ้าสาวไปถึงจวนแม่ทัพติ้งหย่วน ประตูใหญ่จวนแม่ทัพติ้งหย่วนเปิดกว้าง พื้นปูพรมแดง ริมทางมีดอกไม้จัดวางอยู่ บรรยากาศดูเป็นสิริมงคล

ฉังเหมาพาบ่าวไพร่ยืนเรียงรายอย่างเป็นระเบียบตรงหน้าประตู พอเห็นเฝิงโหย่วฉุนและเหยาซื่อสี่ ฉังเหมาพลันเดินหน้าประสานมือคารวะแล้วน้อมทักทายด้วยรอยยิ้มเบิกบาน “ท่านเฝิงพี่เหยา! น้องขอคารวะพวกท่านทั้งสอง”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset