หมอหญิงจ้าวดวงใจ – ตอนที่ 310 กรรมตามสนองผู้ร้าย ปราบปรามเขตตอนเหนือ (2)

ตอนที่ 310 กรรมตามสนองผู้ร้าย ปราบปรามเขตตอนเหนือ (2)

สีหน้าเสด็จพ่อบูดบึ้งนัก สีหน้าเสด็จแม่กลับซีดเผือด เสด็จพี่? เสด็จพี่กลับไม่ทำสีหน้าอะไร เหมือนไม่เห็นตนเองในสายตา

แย่แล้ว ภายในใจของอวิ๋นเหยาเปรยขึ้น คงไม่ใช่เพราะว่าเสด็จพ่อรู้เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้? เหตุใดถึงรวดเร็วเช่นนี้ ผู้พิพากษาศาชซุ่นเทียน? หรือว่าอวิ๋นหมิน? สองคนนี้ไม่มีทางมารายงานได้เร็วเยี่ยงนี้

“เจ้าหายไปไหนแต่เช้า” เฉิงอ๋องมองบุตรีด้วยสีหน้าหม่นหมองแล้วเอ่ยถามขึ้น

“ข้าออกไปเดินเล่น บังเอิญเจอกับพี่สามเลยไปกินมื้อเช้าที่ซูเย่ว์จายด้วยกัน เขายังให้ข้าเอาหมั่นโถวชื่อดังกลับมาให้พวกท่านแน่ะ” ขณะที่อวิ๋นเหยากล่าวก็หันไปมองนอกประตู สาวใช้คนสนิทของนางถือหมั่นโถวยัดไส้เข้ามาแล้วยื่นให้ด้วยสองมือ

เฉิงอ๋องแค่นเสียงในลำคอ สองตาไม่แลหมั่นโถวถุงนั่นเลยแม้แต่น้อย แค่พูดขึ้น “ช่วงที่ผ่านมาฮองเฮาเหนียงเหนียงสั่งให้เจ้าไปจดบทสวดที่วัดฉือซิน เจ้าตั้งใจจดบันทึกหรือไม่”

“ทูลเสด็จพ่อ ลูกต้องตั้งใจจดอยู่แล้ว พระจารย์ให้ลูกส่งการบ้านทุกวัน บอกว่าจะเอาไปให้ฮองเฮาเหนียงเหนียงทรงทอดพระเนตรเพคะ”

“อืม เมื่อคืนข้าฝันถึงไท่จื่อ ตรัสว่าเจ้าจดบทสวดเป็นอย่างดีและกตัญญูรู้คุณ หวังว่าเจ้าจะจดบันทึกให้นางอีกหน่อย ตอนช่วงตรุษจีนจะให้เอามาส่งมอบให้กับผู้อื่น”

“อ๋า?” อวิ๋นเหยาอดทนไม่ไหวอีกต่อไป “เสด็จพ่อ ลูกเพิ่งกลับมา!”

“เจ้าก็รู้ว่าเจ้าเพิ่งกลับมา!” เฉิงอ๋องตวาดด้วยความโมโห “เจ้าเพิ่งกลับมาก็ออกไปทำความผิดอีกแล้วหรือ เจ้านึกว่าคงไม่มีใครในจวนคอยสั่งสอนเจ้าแล้วหรือ!”

“เสด็จพ่อ ลูก…”

“หุบปาก!” เฉิงอ๋องโกรธเกรี้ยวที่สุด แม้เหยาหย่วนจือจะเป็นเพียงขุนนางข้าหลวงขั้นที่สอง ทว่ากลับมีความสำคัญสำหรับฮ่องเต้ไม่น้อย บุตรีคนนั้นของเขาตอนนี้กลับเป็นหัวแก้วหัวแหวนของฮ่องเต้ไปแล้ว แม้กระทั่งงานสมรสยังเป็นสมรสพระราชทาน! บุตรีอกตัญญูคนนี้ของตนอย่างไรก็เป็นคนที่ไม่รู้จักกาลเทศะ กลับจ้างคณะละครเพลงไปร้องเพลงไว้อาลัยเพื่อขัดขวางขบวนส่งสินเดิมเจ้าสาวของคนอื่นไม่ให้ผ่านทาง?!

“เสด็จแม่…” อวิ๋นเหยาหันไปมองเฉิงหวังเฟย หวังว่ามารดาจะพูดอะไรแทนตน

เฉิงหวังเฟยถูกว่ากล่าวตำหนิแต่เนิ่นๆ แล้ว ตอนนี้นางไม่ได้ร้องไห้ออกมาก็ดีเพียงใดแล้ว พอได้ยินบุตรีเรียกคำว่า ‘เสด็จแม่’ จึงอดส่งเสียงเศร้าหมองออกมาไม่ได้

“หุบปากทั้งหมดเลย! หากยังร้องไห้อีกจะให้เจ้าไปจดบันทึกบทสวดกับนางที่วัดด้วยกัน!” เฉิงอ๋องตบโต๊ะ

เดิมทีเมื่อวานเขาได้ยินฮ่องเต้ตรัสว่าองค์หญิงใหญ่จะให้บุตรีคนรองแต่งงานกับเซียวหลินจิ้งไห่โจว ฮ่องเต้ไม่เห็นแก่หน้าองค์หญิงใหญ่ไม่ได้จึงตบปากรับคำไป

พอเห็นบุตรเขยที่ตนเตรียมไว้ให้บุตรีหายไปหมด เฉิงอ๋องก็รู้สึกไม่สบายใจ วันนี้เมื่อมาเจอเรื่องเช่นนี้แล้วจะไม่ให้เขารู้สึกรำคาญใจได้อย่างไร

พอเขาตวาดออกมาพร้อมตบโต๊ะ ทำให้สองแม่ลูกที่อยู่ด้านข้างตกใจจนไม่กล้าร้องไห้ออกมา

“ข้าจะเตือนเจ้าอีกทีง านสมรสของเว่ยจางและตระกูลเหยาเป็นเรื่องที่ถูกกำหนดไว้แล้ว ต่อให้เจ้าจะโวยวายอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์! หากเจ้ายังจะโวยวายต่อไปเช่นนี้มีแต่จะทำให้ตนเองอับอาย สู้อยู่จวนดัดนิสัยของตนเองไม่ดีกว่าหรือ! นิสัยเช่นนี้อย่างเจ้าอย่าว่าแต่แม่ทัพเลย ใครเขาจะกล้าสู่ขอเจ้าเป็นภรรยา เจ้าไม่นำพาความหายนะให้กับตระกูลผู้อื่นก็ถือว่าตระกูลนั้นทำบุญมาเยอะแล้ว! เจ้าเด็กคนนี้…ช่างไม่รู้จักหวาดกลัว ไม่รู้เหตุผลเลย!”

แม้เฉิงอ๋องจะเป็นเชื้อพระวงศ์ทว่าก็ฝึกฝนวิชาการต่อสู้ตั้งแต่เด็ก ทั้งยังมากประสบการณ์ในค่ายทหาร เขาจึงเป็นบุรุษแข็งแกร่งคนหนึ่ง นิสัยเช่นนี้ของเขาถือว่าสั่งสอนบุตรชายได้ดี ทว่ากลับสั่งสอนบุตรีไม่ได้

ทว่าตั้งแต่สมัยโบราณ ส่วนมากบุตรีจะติดตามมารดาฝึกกฎระเบียบและมารยาทในจวน น้อยครั้งที่จะติดตามบิดา หากให้บิดาในยุคโบราณอบรมสั่งสอนบุตรี คาดว่าบุตรีส่วนมากก็คงมีท่าทีเช่นนี้

บุตรีไม่ได้เรื่อง ผู้ที่เป็นบิดาทำได้เพียงสบถหยาบสองสามคำ มิเช่นนั้นก็ส่งตัวบุตรีไปฝึกกฎระเบียบและมารยาท

ทว่าบ่าวพวกนั้นก็ปล่อยไปเถอะ หลังจากที่เฉิงอ๋องระบายความโกรธออกมาใส่บุตรีจนหมด ความโมโหที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ลงกับหลัวซาน เขาจึงสั่งให้คนไปลากตัวหลัวซานออกมาเฆี่ยนตีเฆี่ยนจนเขาใกล้จะสิ้นใจ จากนั้นก็นำตัวเขาไปทิ้งที่บ้านนา ให้เขาเกิดเองตายเองที่นั่น

หลังจากนั้นมา บ่าวของจวนเฉิงอ๋องต่างรู้เรื่องนี้ ผู้ที่คอยปรนนิบัติจวิ้นจู่จึงระมัดระวังมากขึ้น เพราะหากไม่มีสติก็ไม่ใช่แค่โดนทำโทษโดยการปรับเบี้ยเลี้ยง ทว่ากลับมีความผิดถึงขั้นเสียชีวิต!

วันนี้ทุกคนต่างกำลังยุ่งวุ่นวาย มีเพียงคุณหนูเหยาที่มีเวลาว่างเว้น

ถึงแม้นางก็ตื่นแต่เช้า ทว่าวันนี้มีเรื่องใหญ่เช่นนี้นางกลับไม่ไปยุ่งเกี่ยว หนิงฮูหยินน้อยและเหยาเฟิ่งเกอก็ไม่ยอมให้นางมายุ่งเช่นกัน ทว่ากลับมีข้อห้ามสตรีที่รอออกเรือนไม่ให้ออกไปไหนจนถึงวันที่จัดพิธีสมรส

ดังนั้นคุณหนูเหยารอให้ขบวนส่งสินเดิมเจ้าสาวจากไป เรื่องวุ่นวายในจวนหยุดลง นางจึงกลับไปนอนพักที่เรือน ตอนที่ตื่นมาอีกทีก็เลยเที่ยงวันแล้ว

เหตุเพราะเฝิงหมัวมัวพาชุ่ยเวยและชุ่ยผิงไปจวนเว่ยและยังไม่กลับมา เหล่าสาวใช้ชั้นล่างยุ่งมาหลายวันจึงเหน็ดเหนื่อยจนแอบขี้เกียจ ในเรือนเลยเคล้าด้วยความเงียบงัน ดังนั้นคุณหนูเหยาสวมใส่เสื้อผ้าเอง ทั้งยังถักเปียผมด้วยตนเองแล้วออกไปหาอะไรกิน

น้าตู้ซานที่อยู่ตรงใต้ชายคาระเบียงกำลังสอนตู้เจวียนเขียนหนังสือ เหตุเพราะเห็นเหยาเยี่ยนอวี่ออกมาจึงปล่อยตู้เจวียนแล้วเดินหน้ามาน้อมคำนับพร้อมเอ่ยถาม “คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ หิวหรือไม่”

“อืม เหตุใดพวกนางถึงยังไม่กลับมา” เหยาเยี่ยนอวี่เงยหน้ามองผืนนภา ปกติรู้สึกรำคาญที่คนพวกนั้นชอบทะเลาะถกเถียงกันต่อหน้า ตอนนี้พอพวกนางไม่อยู่กลับรู้สึกอ้างว้าง

“ก่อนที่เฝิงหมัวมัวจะออกเดินทางยังบอกว่าวันนี้คงจะไม่เสร็จงานเจ้าค่ะ ของพวกนั้นดูเหมือนจะจัดวางตำแหน่งไว้แล้ว ทว่ามีของชิ้นเล็กชิ้นใหญ่เป็นร้อยๆ ชิ้น คิดว่าคงต้องยุ่งอีกสองวัน” น้าตู้ซานพูดขึ้นยิ้มๆ “หากคุณหนูหิว ในครัวมีของว่างและข้าวต้ม บ่าวจะไปยกมาให้นะเจ้าคะ”

“อื้ม ได้” เหยาเยี่ยนอวี่ลูบหน้าท้องแล้วหันไปมองตำราเล่มหนึ่งที่อยู่ในมือของตู้เจวียน จากนั้นก็นั่งลงสอนยัยหนูน้อยเขียนหนังสือด้วยรอยยิ้มเบิกบาน

และในวันนี้ก็ยังมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นอีก

เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคุณหนูเหยา แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับหมอหลวงจางชางเป่ย

เหตุเพราะหมอหลวงจางรับศิษย์ด้วยความภาคภูมิใจ หลายวันมานี้เขารู้สึกภูมิใจมากเป็นพิเศษ และมักจะไปเยี่ยมเยือนที่สำนักหมอหลวงอยู่บ่อยครั้ง กล่าววาจาเย้ยหยันกับหมอหลวงเฒ่าที่ไม่ค่อยถูกคอกัน แน่นอนว่าเป้าหมายที่สำคัญที่สุดในการไปหอยาก็เพื่อตามหายาสมุนไพรที่หายาก จะได้เอาไปวิจัยยาสมุนไพรที่เขาไม่เคยปรุงออกมาที่ห้องทดลองของลูกศิษย์มากฝีมือได้

วันนี้เขาก็รู้ว่าตระกูลเหยาส่งสินเดิมเจ้าสาว ทว่าผู้เฒ่าคนนี้ใช้ชีวิตโดดเดี่ยวมาครึ่งชีวิต เขาติดตามฮ่องเต้มาสิบกว่าปีกลับไม่ได้สร้างครอบครัว ส่วนเงินตำลึงก็ใช้อย่างฟุ่มเฟือยไปมาก ดังนั้นจึงไม่มีปัญญาเพิ่มสินเดิมให้ลูกศิษย์ ดังนั้นเขารู้สึกว่าไม่มีหน้าไปเจอนาง จึงไปหลบอยู่ในหอยาตามลำพัง

การไปเยือนหอยาครั้งนี้ไม่ได้ทำการสำคัญอะไร เขาแค่ไปค้นยาสมุนไพรไปเรื่อยเปื่อย สุดท้ายกลับสังเกตเห็นว่าไฉหูที่เพิ่งซื้อมาจำนวนมากเมื่อหลายวันก่อนเป็นของปลอม

ไฉหูเป็นยาดับร้อนชั้นดีและเป็นยาที่ใช้บ่อยมากตอนไข้ขึ้น อาการกลัวหนาวและมีไข้สลับกัน โรคนี่ว์อาการชี่ของตับติดขัด ป่วยจุกหน้าอก ไส้ตรงหย่อน มดลูกหย่อน ประจำเดือนมาไม่ปกติ และอาการอื่นๆ ก็ต้องใช้ ดังนั้นหอยาในสำนักหมอหลวงจึงซื้อไฉหูจำนวนมากเข้ามาเก็บไว้ในคลังในทุกปี

ทว่ากลับ…เป็นของปลอม!

จางชางเป่ยจับไฉหูที่หั่นเป็นแผ่นขึ้นแล้วสังเกตมองอย่างละเอียดก็กัดกินดู จากนั้นก็ ‘ถ่ม’ ทิ้ง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset