หมอหญิงจ้าวดวงใจ – ตอนที่ 321 งานวิวาห์ระหว่างตระกูลเซียวและตระกูลหัน (4)

ตอนที่ 321 งานวิวาห์ระหว่างตระกูลเซียวและตระกูลหัน (4)

คุณหนูหันพิงลงบนหมอนขนาดใหญ่อันนุ่มสบายแล้วพูดยิ้มๆ “เมื่อครู่ข้ายังแปลกใจ เจ้าสั่งให้คนมารับข้าแต่เช้า ตอนนี้ข้ามาถึงแล้ว ไหนล่ะ มีอะไรอร่อยหรืออะไรสนุกก็รีบเอาออกมาเถอะ”

เหยาเยี่ยนอวี่เดินไปตรงโต๊ะเตี้ยแล้วหยิบผลไม้แช่อิ่มในจานยื่นให้หันหมิงชั่น “นี่ อันนี้อร่อยมาก”

“ข้าไม่ชอบกินหวาน” หันหมิงชั่นพูดยิ้มๆ

“นี่เป็นของเปรี้ยว” เหยาเยี่ยนอวี่ยื่นผลไม้แช่อิ่มไปข้างปากของนาง

หันหมิงชั่นจึงกัดกินด้วยรอยยิ้ม ที่แท้ก็คือหมีโหวเถาแช่อิ่มนี่เอง รสหวานอมเปรี้ยวนี้ไม่เลวเลย

เหยาเยี่ยนอวี่พูดยิ้มๆ “ดูข้าดีแค่ไหน ถึงกับป้อนของกินถึงปากของพี่สาวแน่ะ หากว่าที่พี่เขยในอนาคตไม่ปรนนิบัติต่อพี่สาวเช่นนี้ ก็ห้ามให้เขาเข้าไปในเรือนเด็ดขาด ปล่อยให้เขานอนใต้ชายคาระเบียงเสีย”

“ยัยเด็กคนนี้ช่างไม่รู้จักอับอาย!” หันหมิงชั่นยื่นมือไปบีบแก้มของเหยาเยี่ยนอวี่ “เจ้ายังกล้าพูดเช่นนี้ออกมาได้ ประเดี๋ยวข้าจะสั่งให้คนเลียนแบบคำพูดเจ้าไปบอกให้แม่ทัพเว่ยฟัง”

“พี่สาวรีบเร่งหน่อยเถอะ แล้วข้าต้องกลัวด้วยไหม” เหยาเยี่ยนอวี่แย้มยิ้ม แล้วป้อนผลไม้แช่อิ่มหันหมิงชั่นต่อ

หันหมิงชั่นปัดมือของนางออก “ไปป้อนให้ตนเองกินเถอะ ข้ามีมือ” ขณะที่พูด นางกลับหยิบเมล็ดสนมาสองสามเม็ด ปอกเปลือกเสร็จก็ยัดเข้าปาก “อีกอย่าง เจ้าเป็นตั้งขุนนางขั้นห้าของราชสำนักแล้ว ข้าเป็นเพียงสามัญชนธรรมดา จะกล้าไปลำบากใต้เท้าได้อย่างไร คิดไปคิดมา ก็คงมีเพียงแม่ทัพขั้นสามที่คู่ควรกับเจ้าแล้ว”

ผัวจื่อและสาวใช้ในเรือนต่างก็หัวเราะกันอย่างมีความสุข

“ข้าฟังเข้าใจแล้ว” เหยาเยี่ยนอวี่ทำหน้าเก้อเขิน ทว่ากลับพูดจาหยอกล้อหันหมิงชั่น “แต่นี่ก็ช่วยไม่ได้ ใครสั่งให้ข้าเทียบเทียมไม่ได้กับฮูหยินท่านโหวเล่า”

เหล่าสาวใช้และผัวจื่อหัวเราะเสียงดังกว่าเดิม เฝิงหมัวมัวก็พูดขึ้นยิ้มๆ “คุณหนูทั้งสองช่างพูดยิ่งนัก กลับไม่มีใครยอมแพ้ให้ใครเลย”

“คุยอะไรกัน เหตุใดถึงได้สนุกเช่นนี้ ข้าก็อยากร่วมสนุกบ้าง” หนิงฮูหยินน้อยสาวเท้ามาในจวนด้วยรอยยิ้มเบิกบาน

หันหมิงชั่นเห็นหนิงฮูหยินน้อยจึงรีบลงจากตั่งไม้อุ่น ทว่ากลับถูกหนิงฮูหยินน้อยรั้งไว้ “เอาน่า น้องสาวเกรงอกเกรงใจข้าไปไยกัน”

“แต่อย่างไรก็ไม่ควรเสียมารยาท” หันหมิงชั่นพูดยิ้มด้วยความรู้สึกผิด

“พูดถึงเรื่องเสียมารยาท น้องสาวเป็นแขกผู้มีเกียรติ ข้ายังไม่ทันไปต้อนรับเจ้า เช่นนั้นข้าเองนี่แหละที่เป็นฝ่ายเสียมารยาท” หนิงฮูหยินน้อยพูดขึ้นยิ้มๆ “น้องสาวเป็นมิตรสหายที่ดีกับเยี่ยนอวี่ ภายในใจของข้าก็มองว่าเป็นเหมือนน้องสาวทางสายเลือดของข้า ข้าจึงไม่ได้มากพิธีอะไร น้องสาวก็อย่าถือสาข้าเลย”

“พี่สะใภ้พูดอะไรอยู่! ข้าอยากให้คนรักใคร่และเอ็นดูข้าให้มากๆ จวนใจจะขาดแล้ว” หันหมิงชั่นพูดยิ้มๆ “วันข้างหน้าข้าจะมาเยือนที่นี่เป็นประจำ และทำเหมือนที่นี่เป็นจวนของข้าเลย พี่สะใภ้ห้ามรำคาญข้าที่ตามรังควานบ่อยๆ ล่ะ”

หนิงฮูหยินน้อยพูดขึ้นยิ้มๆ “น้องสาวมีเวลาก็มาเถอะ ข้าอยากจะให้น้องสาวอาศัยอยู่ในจวนไปนานๆ เลย! เช่นนี้ข้าจะได้มีเพื่อนคอยเสวนายามเหงา แต่กลัวว่าองค์หญิงใหญ่จะไม่อนุญาตน่ะสิ”

ด้านนอกมีคนเอ่ยถามว่าพี่รองทำอะไรอยู่ คนๆ นั้นกลับเป็นซูอวี้เหิง

เหยาเยี่ยนอวี่พลันลุกขึ้นจากตั่งไม้อุ่นแล้วออกไปต้อนรับ จากนั้นดึงนางเข้ามาในเรือน พร้อมพูดขึ้นยิ้มๆ “ยิ่งอยู่เจ้ายิ่งกล้าหาญขึ้นทุกวัน กลับปล่อยให้พวกเราคอยมาครึ่งค่อนวัน”

ซูอวี้เหิงเห็นหันหมิงชั่นก็อยู่นี่ด้วยจึงยิ่งดีใจกว่าเดิม นางยังไม่ทันถอดเสื้อคลุมก็เดินไปน้อมคำนับหันหมิงชั่นพร้อมพูดอย่างรื่นเริง “แสดงความยินดีกับพี่สาวด้วย”

หันหมิงชั่นหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาทันที แล้วพร่ำบ่นขึ้น “แหม ยิ่งอยู่เจ้ายิ่งร้ายกาจเข้าไปทุกที ฝึกแต่เรื่องไม่ดีกับเยี่ยนอวี่”

พวกนางพูดคุยเล่นกันสักพักก็มีสาวใช้เข้ามาส่งสาร “อาหารจัดเตรียมครบครันแล้วเจ้าค่ะ บ่าวเลยอยากเข้ามาถามฮูหยินและเหล่าคุณหนูว่าจะตั้งโต๊ะอาหารไว้ที่ใดกันเจ้าคะ”

ด้วยเหตุนี้เหยาเยี่ยนอวี่จึงเอ่ยถาม “แล้วพี่รองพวกเขาว่าอย่างไรล่ะ”

“เรียนคุณหนู คุณชายรองกำลังจิบน้ำชาอยู่ฝั่งโน้น และบอกว่าให้ทำตามคำสั่งของคุณหนูไปเลยเจ้าค่ะ”

เหยาเยี่ยนอวี่แลกเปลี่ยนสายตากับหนิงฮูหยินน้อย หนิงฮูหยินน้อยพูดขึ้นยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ไปตั้งที่โถงซีหวาเถอะ” ขณะที่พูด ก็หันไปคุยกับหันหมิงชั่น “น้องสาวเชิญนั่งเล่นไปก่อนเถอะ ข้าจะไปตรวจงานเสียหน่อย”

หันหมิงชั่นพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม แล้วบอกว่าลำบากพี่สะใภ้เสียแล้ว

ด้านในและด้านนอกโถงซีหวาล้วนมีโต๊ะตั้งอยู่ โต๊ะอาหารด้านในนั้นจัดไว้ให้เหล่าสตรี ส่วนโต๊ะกลมด้านนอกจัดไว้ให้เหล่าคุณชาย

ตอนงานพบปะสังสรรค์เริ่มขึ้น เหยาเยี่ยนอวี่เพิ่งจะรู้ว่าซูอวี้เหิงไม่ได้มาเพียงคนเดียว กลับมีบุตรชายภรรยาเอกของซูกวงหลิงนามว่าซูอวี้คังมาด้วย ซูอวี้คังอายุมากกว่าซูอวี้เหิงหนึ่งปี ถือเป็นพี่ชายของนาง ตอนที่ซูอวี้เหิงออกจวน มีพี่ชายคอยติดตามไปไหนมาไหนก็เป็นเรื่องถูกหลักเหตุผลอยู่แล้ว

แต่ว่า…เหยาเยี่ยนอวี่เป็นคนเขียนเทียบเชิญที่ส่งไปเอง! ด้านในระบุไว้ชัดเจนว่าเป็นงานพบปะสังสรรค์ของเหล่าสตรี เหตุใดถึงฮูหยินรองตระกูลซูถึงส่งบุตรชายมาด้วย หากวันนี้พี่ชายไม่อยู่จวน องค์ชายตระกูลซูท่านนี้มาเยือนแล้วจะทำอย่างไร

ซูอวี้เหิงเป็นหญิงสาวที่ฉลาดหลักแหลม พอเห็นเหยาเยี่ยนอวี่เห็นซูอวี้คังแล้วทำสีหน้าประหลาดใจ ดวงหน้าของนางแดงระเรื่อขึ้นมาทันที จับมือเหยาเยี่ยนอวี่พลางพูดด้วยเสียงต่ำ “ท่านแม่บอกว่าข้าที่เป็นสตรีแล้วออกจวนไปไหนตามลำพังเช่นนี้ คิดว่าคงไม่สะดวก จึงให้พี่ชายส่งข้ามาด้วย”

แท้จริงแล้วบุตรชายของฮูหยินรองตระกูลซูเติบโตในเขตตอนใต้ตั้งแต่เด็ก จึงไม่ได้สนิทสนมกับเหล่าองค์ชายในเมืองหลวงมากนัก อีกทั้งตอนนี้ทางตระกูลยังอยู่ในช่วงไว้อาลัย แต่ละคนออกไปไหนมาไหนไม่ได้ องค์ชายทั้งสามคนของครอบครัวบุตรคนโตต่างเติบโตในเมืองหลวงตั้งแต่เด็ก และสะใภ้ทั้งสามล้วนมีต้นตระกูลเป็นถึงขุนนางในเมืองหลวง อีกทั้งพี่ชายและน้องชายของเขาต่างมีความสามารถ พวกเขาต้องไม่กลัวว่าชีวิตจะจนตรอกอยู่แล้ว ทว่าครอบครัวบุตรคนรองกลับมีอำนาจและอิทธิพลที่อ่อนแออย่างเห็นได้ชัดเจน

หากบุตรชายของตนไม่รีบไปตีสนิทกับเหล่าคุณชายในเมืองหลวง คนในครอบครัวบุตรคนรองของจวนโหวก็คงสิ้นไร้ไม้ตอก ดังนั้นฮูหยินรองถือโอกาสที่เหยาเยี่ยนอวี่เชิญชวนซูอวี้เหิงในครั้งนี้ ให้บุตรชาซูอวี้คังติดตามมาด้วย เป้าหมายก็คือสานความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในตระกูลเหยา

หลักเหตุผลนี้ หันหมิงชั่นไม่ต้องครุ่นคิดอะไรก็สามารถเดาออก ดังนั้นจึงยิ้มพูด “นี่เป็นหลักเหตุผลทั่วไป ฮูหยินรองก็กลัวว่าพวกบ่าวไพร่จะดูแลเจ้าได้ไม่ทั่วถึง วันนี้หากไม่ใช่เพราะพี่รองของข้าติดธุระ ไม่แน่ก็อาจมาเป็นเพื่อนข้าก็ได้”

เหยาเยี่ยนอวี่พลันยิ้ม “ผู้ที่เป็นครอบครัวเดียวกัน ก็ควรออกมาด้วยกันเช่นนี้บ่อยๆ พี่ชายไม่กล้าเชิญชวนคุณชายสี่มา เพราะกลัวว่าพวกท่านจะไม่สะดวก”

หนิงฮูหยินน้อยแค่นเสียง ‘เฮ้อ’ แล้วเปรยขึ้น “นี่เป็นเพราะข้าเองที่ประมาท ควรส่งเทียบเชิญไปให้ฮูหยินรองให้มานั่งเล่นที่จวนเสียหน่อย แค่ว่าช่วงนี้ในจวนมีแต่เรื่องวุ่นๆ จึงไม่มีเวลาว่างเสียที”

ทุกคนต่างเห็นพ้องกัน ซูอวี้เหิงจึงลูบดวงหน้าที่ดูอึดอัดของนาง

ทุกคนต่างเดินไปนั่งประจำที่ด้วยความรื่นเริงยินดี เหยาเหยียนอี้ เซียวหลิน และซูอวี้คังที่อยู่ด้านนอกต่างชูจอกเหล้าขึ้นมา

“วันนี้เป็นครั้งแรกที่พบปะกับคุณชายสี่ซู ข้าขอชนกับเจ้าเสียหนึ่งจอก” เหยาเหยียนอี้มองซูอวี้คังด้วยสีหน้าที่ชื่นชมยินดี

“มิบังอาจ ข้าควรมาเยี่ยมเยียนใต้เท้าเหยานานแล้ว แต่ทางตระกูลยังอยู่ในช่วงไว้อาลัย จึงไม่สะดวกที่จะไปไหนมาไหน ยังหวังว่าใต้เท้าเหยาจะให้อภัย” ซูอวี้คังที่มีอายุสิบหกปีนั้นมีรูปลักษณ์หน้าตาที่ละมุนละไม หว่างคิ้วดูเหมือนจะเพิ่งแตกหนุ่ม หน้าตาดูสะอาดสะอ้าน น้ำเสียงสำเนียงใต้ กลับทำให้เหยาเหยียนอี้ฟังแล้วรู้สึกคุ้นเคยนัก

“เจ้าเกรงใจเกินไปแล้ว!” เหยาเหยียนอี้รู้สึกดีกับชายหนุ่มสง่างามคนนี้มาก ดังนั้นจึงพูดขึ้นยิ้มๆ “ตระกูลซูและตระกูลเหยาถือเป็นตระกูลที่เกี่ยวดองกันทางการสมรส เจ้าเป็นน้าของเย่ว์เอ๋อร์ เป็นน้องชายของน้องเขยข้า พวกเราเป็นกระดูกที่เชื่อมต่อกันด้วยเส้นเอ็น คำพูดเหล่านี้เกรงใจเกินไปแล้ว วันข้างหน้าหากมีเวลาก็มาเยือนที่นี่ได้ตลอดเวลา”

เซียวหลินและเหยาเหยียนอี้มีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกัน ครั้งนี้ทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพวกเขาไม่มีความเกรงใจกันแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงยกจอกเหล้ายื่นไปทางฝั่งซูอวี้คัง แล้วพูดยิ้มๆ “คุณชายซู มา ชนเสียจอกเถอะ”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset