หมอหญิงจ้าวดวงใจ – ตอนที่ 33 ทูลจวิ้นจู่

คนที่จวนอัครเสนาบดีต่างก็ปิดปากเงียบ เฝิงหมัวมัวและคนอื่นๆ ก็ไถ่ถามไม่ได้รับคำตอบใดๆ รอจนกระทั่งเหยาเยี่ยนอวี่ไปถึงวัดต้าเจวี๋ยจึงจะรู้ว่าที่แท้ฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงไม่สบายนี่เอง พระอาจารย์ใหญ่คงเซียงก็ไม่รู้จะช่วยเหลืออย่างไร เฟิงเซ่าเชินจึงส่งคนมาเชิญเหยาเยี่ยนอวี่ไป

เหยาเยี่ยนอวี่ฝังเข็มให้ฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงอีกครั้ง วิธีที่นางฝังเข็มไม่เหมือนกับหมอหลวงทั่วไป และไม่เหมือนหมอที่อาศัยอยู่ในหุบเขา พระอาจารย์ใหญ่คงเซียงคอยสังเกตมองอยู่ด้านข้างตลอดเวลา เขาที่เป็นนักบวชอายุมากกว่าเจ็ดสิบปี ยังรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง

นี่เป็น ‘การรมยาไท่อี่’ ที่ถูกบันทึกไว้ในตำราเปิ๋นเฉ่าสืออี๋ วิชาความรู้นี้ได้หายสาบสูญมานาน พระอาจารย์ใหญ่คงเซียงไม่ได้พูดอะไรออกมา เขามีอายุป่านนี้แล้ว อีกทั้งยังเป็นนักบวชที่ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา ซึ่งเป็นนิสัยที่ฝังเข้าไปในสายเลือดแล้ว

เหยาเยี่ยนอวี่ฝังเข็มเสร็จ จึงสั่งให้ต้มข้าวต้มซานจามาให้ฮูหยินผู้เฒ่ากิน

ฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงจึงรู้สึกดีขึ้นมาก นางพิงอยู่บนตั่งไม้พลางยกฝ่ามือทั้งสองข้างมาประสานกัน แล้วก็กราบไหว้ท้องฟ้า “อมิตาพุทธ! คุณหนูเหยาผู้นี้เป็นคนที่พระโพธิสัตว์กวนอิมได้ส่งมาช่วยชีวิตแม่เฒ่าอย่างข้าจริงๆ!”

ข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่ามีหมัวมัวกำลังตักข้าวต้มซานจาป้อนนางกินเป็นคำๆ  จากนั้นก็ยิ้มพลางกล่าว “ฮูหยินผู้เฒ่าได้โปรดทานอีกสักคำเถอะเจ้าค่ะ คุณหนูเหยากล่าวว่าข้าวต้มซานจานี้ดีต่อสุขภาพของฮูหยินผู้เฒ่ามากๆ วันข้างหน้าก็สามารถกินได้บ่อยๆ เจ้าค่ะ”

“ได้ ได้!” ฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงพยักหน้าเห็นด้วย ไม่นานข้าวต้มซานจาหนึ่งถ้วยก็ถูกกินจนหมด

ตอนค่ำ บุตรชายของอัครเสนาบดีที่เป็นรองเจ้ากรมข้าราชการพลเรือนนามว่าเฟิงจื่ออวิ๋นได้ยินว่าท่านแม่เกิดเรื่อง จึงได้พาภรรยาของตนนามว่าหลิงซีจวิ้นจู่ หมอหลวงในสำนักหมอหลวง อีกทั้งยังมีพวกบ่าวไพร่ มุ่งหน้ามายังวัดต้าเจวี๋ยด้วยความเร่งรีบ พอเห็นฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงนอนอยู่บนตั่งไม้อย่างสบายดีจึงรู้สึกโล่งอก

หลิงซีจวิ้นจู่เอ่ยถาม “ได้ยินมาว่าคุณหนูสกุลเหยาเป็นคนช่วยฮูหยินผู้เฒ่าหรือ?”

เฟิงเซ่าเชินจึงรีบตอบกลับ “เป็นเช่นนั้น ท่านแม่ คุณหนูเหยาผู้นี้เป็นบุตรีของข้าหลวงใหญ่ปกครองสองเมือง”

“บุตรีของเหยาหย่วนจือ?” หลิงซีจวิ้นจู่รู้สึกอึดอัดใจ “เป็นสะใภ้สามแห่งจวนติ้งโหวหรือ ไม่เคยได้ยินว่านางใฝ่รู้ในวิชาแพทย์นี่” อีกอย่างนางป่วยหนักจนใกล้สิ้นใจมิใช่หรือ เหตุใดถึงวิ่งมาบนหุบเขานี้ได้ อีกทั้งยังสามารถรักษาโรคให้ผู้อื่น?

“ท่านแม่” เฟิงเซ่าเชินยิ้มพลางพูด “จวนติ้งโหวได้สู่ขอบุตรีคนโตของใต้เท้าเหยา ส่วนสตรีผู้นี้เป็นบุตรีคนรองของใต้เท้าเหยา”

เวลานี้เหยาเยี่ยนอวี่ถูกสาวใช้คนสนิทของฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงนามว่าไฉ่หลวนเชิญไป เพื่อปรึกษาเรื่องอาหารการกินที่เหมาะแก่ฮูหยินผู้เฒ่าเฟิง ของทานเล่นเอยหรือแม้แต่ข้าวต้มเอย

“ผักและผลไม้ที่มีสีเขียว แดงและเหลืองก็กินได้ทั้งหมด ถ้าเนื้อสัตว์จำพวกปลา ก็ได้แก่ ปลาหิมะ ปลาสือ ปลาไหล ปลาโอดำ ปลาหมูและปลาเหลือง ส่วนเนื้อหมูก็ต้องเป็นหมูไร้มัน เนื้อวัวและเนื้อแกะสามารถกินได้ ข้าวฟ่าง เยี่ยนม่าย[1] ข้าวสาลี และลูกเดือย  จำพวกถั่ว ก็ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วแขกและถั่วดำ เนื้อหมูติดมันนั้นห้ามกินเด็ดขาด พยายามเลี่ยงดื่มสุรา ข้าวเหนียวและของหวานทุกชนิดก็ห้ามกิน…”

เหยาเยี่ยนอวี่พูดมาแต่ละอย่าง ไฉ่หลวนจดจำไว้เป็นอย่างดี นางจดจำไปถึงตอนท้ายก็รู้สึกเริ่มสับสน จึงสั่งให้คนไปเอากระดาษและพู่กันมา จากนั้นก็ค้อมตัวคำนับพลางพูด “คุณหนูจะเมตตาบ่าวเขียนลงที่นี่ได้หรือไม่ บ่าวเป็นคนโง่เขลา หากจำผิดคงจะแย่แน่ๆ”

“อันที่จริงอาหารที่สามารถกินได้นั้นมีมาก ไม่เช่นนั้นข้าจะเขียนอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงดีกว่า จริงๆ แล้วข้าก็เคยมีประสบการณ์กับการกินอาหารพวกนี้อยู่บ้าง ส่วนรายละเอียดต่างๆ คงต้องให้ใต้เท้าเฟิงและจวิ้นจู่ถามหมอหลวงเอง”

ไฉ่หลวนจึงยิ้มพลางกล่าวขึ้น “คุณหนูกล่าวถูก เพียงแต่บ่าวเป็นผู้ที่คอยปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่า จึงควรรู้เสียหน่อยเจ้าค่ะ”

เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มเบาๆ พลางพยักหน้า “เจ้าสามารถปรนนิบัติรับใช้ฮูหยินผู้เฒ่าด้วยความใส่ใจเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าฮูหยินผู้เฒ่าต้องเป็นผู้ที่โอบอ้อมอารี และมีจิตใจที่กว้างขวางยิ่งนัก”

“ฮูหยินผู้เฒ่าดีต่อพวกข้ายิ่งนัก พวกข้าก็สมควรรับใช้ท่านอย่างดีที่สุดเจ้าค่ะ” ไฉ่หลวนยิ้ม แล้วค่อยๆ ก้มหน้าลง

เหยาเยี่ยนอวี่ก็คิดเช่นนี้ในใจ หากฮูหยินผู้เฒ่าสามารถมีชีวิตที่สุขสันต์ สาวใช้พวกนี้ที่ปรนนิบัติรับใช้ฮูหยินผู้เฒ่าก็สามารถใช้ชีวิตที่สุขสบายกว่าเหล่าบรรดาคุณชายและคุณหนูเสียอีก หากฮูหยินผู้เฒ่าสิ้นใจ พวกนางก็คงจะแย่ ถ้าไม่ถูกเอาไปเป็นอนุภรรยาของเหล่าคุณชาย ก็ถูกเนรเทศออกจากจวนโดยการออกเรือน เฮ้อ! ช่างน่าสงสารยิ่งนัก

ระหว่างที่เอ่ยพูด ก็มีนางกำนัลสวมใส่ชุดสีเขียวเข้ามาบอก “พี่ไฉ่หลวน จวิ้นจู่รับสั่งให้เชิญคุณหนูเหยาไปพูดคุยด้วย”

เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกเสียใจยิ่งนัก เมื่อเช้าที่แอบหนีออกมา นางไม่ได้มองปฏิทินโหราศาสตร์มาก่อน ทำให้เรื่องหลายๆ เรื่องเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องกันอย่างไม่หยุดไม่หย่อนเช่นนี้

พอเดินไปถึงตรงหน้าหลิงซีจวิ้นจู่ เหยาเยี่ยนอวี่ยังต้องทนกับความปวดเมื่อยตามร่างกาย และจำต้องน้อมคำนับตามกฎธรรมเนียมปฏิบัติของแคว้น หลิงซีจวิ้นจู่สั่งให้คนไปพยุงเหยาเยี่ยนอวี่ขึ้น ตอนที่เหยาเยี่ยนอวี่เหยียดกายลุกขึ้น ก็จับมือของนางกำนัลคนนั้นอย่างเต็มแรง จึงจะสามารถลุกขึ้นได้ ในใจอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

“เรื่องในวันนี้ ลำบากคุณหนูเหยาแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยชมคุณหนูเหยาอย่างเต็มปากเต็มคำ และบุตรชายจื่อเชินของข้าก็กล่าวว่าคุณหนูสามารถตั้งสติในสถานการณ์ที่คับขันโดยไร้ซึ่งความกระวนกระวาย และมีวิชามือหมอคืนชีวิต ทำให้คนรู้สึกนับถือยิ่งนัก” หลิงซีจวิ้นจู่ได้เอ่ยคำพูดที่คิดเอาไว้ก่อนหน้านี้ออกมาอย่างเมตตา เวลานี้ นางได้ทำความเข้าใจในฐานะของเหยาเยี่ยนอวี่ เหตุผลที่นางเดินทางเข้ามาเมืองหลวง อีกทั้งเหตุผลที่นางได้มาอยู่ในวัดฉือซินแล้ว

เหยาเยี่ยนอวี่ก็ได้เตรียมคำพูดที่จะรับมืออย่างพอเป็นพิธีไว้แต่เนิ่นๆ “จวิ้นจู่ทรงเอ่ยชมเกินไปแล้ว ในใจของหม่อมฉันก็รู้สึกกระวนกระวายเช่นกัน แค่เพราะว่าก่อนหน้านี้ก็เคยเจอะเจอกับเรื่องเช่นนี้ จึงมีประสบการณ์น้อยนิดเท่านั้น ดังนั้นพอมาเจอเรื่องเช่นนี้เข้าอีก ในใจจึงรู้สึกมั่นใจขึ้นมาหน่อยเพคะ”

“อ่อ? เหตุใดจึงพูดเช่นนี้” หลิงซีจวิ้นจู่เอ่ยปากถามขึ้นดังคาด

เหยาเยี่ยนอวี่ตอบกลับ “คิมหันต์ฤดูเมื่อหลายปีก่อน หลังจากที่ฟ้าหลังฝน ท้องฟ้ากำลังปลอดโปร่ง ท่านย่าของหม่อมฉันพาพี่น้องของหม่อมฉันไปเดินชมดอกบัวที่เพิ่งผลิบานตรงกลางสวนบุษบา เพราะเวลานั้นฝนเพิ่งหยุดตก ทำให้ถนนลื่น เลยไม่ระวังลื่นล้มไป สถานการณ์ตอนนั้นมันคล้ายคลึงกับสถานการณ์ที่ฮูหยินผู้เฒ่าต้องพบเจอ คนในครอบครัวจึงแตกตื่นยิ่ง และไม่รู้จะแก้ปัญหาเช่นไร โชคดีที่วันนั้นอาจารย์แม่ออกจาริก จึงได้มาพักอาศัยอยู่ในจวนพอดี นางใช้วิธีเช่นนี้มาช่วยชีวิตของท่านย่าไว้ หลังจากนั้นหม่อมฉันจึงได้ไปขอคำปรึกษาจากอาจารย์แม่ท่านนั้น ร่ำเรียนวิชาฝังเข็มนี้มาเพคะ”

คำพูดที่กล่าวกึ่งจริงกึ่งเท็จนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเคยลื่นล้มเป็นความจริง แต่อาการป่วยคือความเท็จ เรื่องที่ยิ่งเป็นไปไม่ได้ก็คือการปรากฏตัวของอาจารย์แม่อะไรนั่น ทว่าเรื่องมันบานปลายมาถึงขั้นนี้แล้ว เหยาเยี่ยนอวี่จึงทำได้เพียงแต่งเรื่องขึ้น ไม่เช่นนั้นวิชาการแพทย์ของนางมาจากแห่งใด อีกอย่าง นางก็เชื่อว่าหากคำพูดเช่นนี้ถึงหูคนในจวนข้าหลวงใหญ่ปกครองสองเมือง ก็ต้องมีคนช่วยตนเองโกหกแน่นอน

พอเห็นว่าหลิงซีจวิ้นจู่ไม่เอ่ยพูดอะไร แต่กลับพยักหน้าเบาๆ เหยาเยี่ยนอวี่จึงพูดต่อ “เหตุการณ์ในวันนี้ก็ช่างบังเอิญจริงๆ หม่อมฉันและสาวใช้ก็กำลังหลบฝูงผึ้ง จึงได้วิ่งออกจากถนนกลางหุบเขาอย่างตื่นตกใจ เลยเผอิญไปพบฮูหยินผู้เฒ่าที่กำลังเกิดเรื่องพอดีเพคะ สถานการณ์ตอนนั้น เหมือนสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในคิมหันต์ฤดูปีนั้น ดังนั้นหม่อมฉันจึงลืมกฎระเบียบและมารยาทไปทันที บังอาจทำการฝังเข็มให้กับฮูหยินผู้เฒ่า หลังเกิดเหตุหม่อมฉันก็รู้สึกหวาดกลัวเช่นกัน การกระทำของหม่อมฉันหละหลวมเกินไป ขอจวิ้นจู่ได้โปรดทรงอภัยด้วยเพคะ”

ทีแรกหลิงซีจวิ้นจู่ไม่ค่อยเชื่อว่าคุณหนูที่ถูกเลี้ยงดูภายในเรือนหลังจะมีทักษะการแพทย์เช่นนี้ พอได้ยินคำพูดของเหยาเยี่ยนอวี่ แม้นจะรู้สึกว่ามันบังเอิญเกินไป แต่พอครุ่นคิดดูแล้ว เหตุผลก็คงเป็นได้เท่านี้ เหยาหย่วนจือเป็นคนอย่างไร นางก็พอรู้มาบ้าง บุตรีของเขาต้องไม่ออกนอกลู่นอกทาง ทันใดนั้น นางจึงยิ้มพลางถาม “หากพูดเช่นนี้ ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องบังเอิญ? หากเป็นโรคชนิดอื่น เจ้าสามารถรักษาได้หรือไม่”

เหยาเยี่ยนอวี่จึงรีบส่ายหัว “เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ล้วนเป็นเรื่องบังเอิญทั้งหมด แม้นหม่อมฉันจะสนใจในเรื่องทักษะการแพทย์ยิ่งนัก แต่…”

นางไม่สามารถพูดได้ว่า ข้าได้ทะลุมิติมา แต่ก่อนข้าคือแพทย์แผนตะวันตกผู้เชี่ยวชาญในการผ่าตัดหัวใจมาก่อน นางไม่สามารถพูดได้ว่า แต่ก่อนข้าเคยทำการผ่าตัดหัวใจมาหลายสิบครั้งและไม่มีครั้งไหนที่ล้มเหลว และนางไม่สามารถพูดได้ว่า จุดฝังเข็มต่างๆ ที่ได้กระทำไปในวันนี้ นางได้ทดลองกับตนเอง และไม่สามารถพูดได้ว่า นางเคยทดลองฝังเข็มกับแม่นมในจวนมาแล้ว

[1] เยี่ยนม่าย ก็คือข้าวโอ๊ต

Related

Comment

Options

not work with dark mode
Reset