หมอหญิงจ้าวดวงใจ – ตอนที่ 343 ทำการรักษาในค่ายทหาร (2)

ตอนที่ 343 ทำการรักษาในค่ายทหาร (2)

เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มจางๆ “เจ้านี่มากเรื่องจริงๆ! มีคนช่วยเจ้าเลี้ยงก็ดีแค่ไหนแล้ว แล้วยังคิดจะเรื่องมากอีก หากเจ้าไม่ยินยอม รอให้กลับเมืองหลวงเจ้าก็ตามมันกลับมากับนางเอง”

ถังเซียวอี้ได้ยินคำพูดนี้ จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เอ๊ะ? ว่าไปแล้วเจ้าเซียนหลี่ของข้าไปอยู่กับใครแล้ว”

เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มจางๆ “คุณหนูสามแห่งจวนติ้งโหว”

“คุณหนูสามแห่งจวนติ้งโหว?” ถังเซียวอี้หรี่ตาครุ่นคิด จู่ๆ ก็ยิ้มขึ้น “นางเองหรือ!”

เหยาเยี่ยนอวี่มองเขายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ จึงเอ่ยถาม “เจ้ารู้จักหรือ”

“แน่นอนสิ” ถังเซียวอี้พูดขึ้นยิ้มๆ “ตอนไปเจียงหนานครั้งนั้น ไม่ใช่ว่าแม่นางที่ร้องห่มร้องไห้และดึงรั้งพี่สะใภ้ไว้บนท่าเรือหรือไร ได้ยินว่านางเล่นกู่ฉินได้ดียิ่งนัก แค่น่าเสียดายที่ยังไม่มีวาสนาได้ฟัง”

“เรื่องนี้ง่ายมาก หากเจ้าอยากฟัง รอให้กลับถึงเมืองหลวงข้าจะเป็นคนช่วยเจ้าเอง” เหยาเยี่ยนอวี่หรี่ตาลง

ถังเซียวอี้ตะลึงงันแล้วหันไปมองนางทันที นัยน์ตาลุ่มลึกจับจ้องนางด้วยความจริงจัง แล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “พี่สะใภ้พูดจริงหรือ”

เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มอย่างชื่นบาน แล้วเอ่ยถาม “เจ้าแค่พูดมาว่าอยากหรือไม่”

“อืม อยาก!” ถังเซียวอี้พยักหน้าอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย

เพราะเขาได้รับผลกระทบจากมารดาตั้งแต่เด็ก จึงเป็นคนที่ชอบฟังเสียงดนตรีอันไพเราะและชื่นชอบในดนตรี เขาจึงอยากจะตามหาแม่นางที่เล่นดนตรีได้ไพเราะให้เป็นคู่ครองของตนเอง ทว่าฐานันดรศักดิ์ของเขา จะกล้านึกถึงคุณหนูแห่งจวนติ้งโหวได้อย่างไร

แล้วนี่มันจะสำคัญอะไร ทันใดนั้นรองแม่ทัพถังจึงมีความคิดองอาจผึ่งผาย วีรบุรุษไม่จำเป็นต้องเอ่ยถามฐานันดรศักดิ์ที่มี ใครจะไปรู้ วันข้างหน้าเขาอาจกลายเป็นแม่ทัพใหญ่ก็ได้

“ได้ เรื่องนี้มอบให้ข้าเป็นคนจัดการเอง ตอนนี้พวกเรารีบไปรักษาทหารที่ได้รับบาดเจ็บเถอะ” เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ถีบท้องม้าเล็กน้อย แล้วเร่งม้าให้เร็วขึ้น

ภายในใจของถังเซียวอี้ปลื้มปิติยิ่งนัก จึงเร่งม้าตามไป

กลับกล่าวถึงทางฝั่งเว่ยจาง เขาพาหันซังเย่ว์ออกจากเมืองเฟิ่ง แล้วมุ่งหน้าไปยังค่ายทหารใหญ่

กองทัพทหารแสนนายของหันซังเกอและอวิ๋นคุนไม่อยู่ในเมืองเฟิ่ง แต่กลับไปตั้งค่ายที่แม่น้ำถูหมู่ ซึ่งต้องเดินทางขึ้นเหนือจากเมืองเฟิ่งไปอีกหกสิบลี้

เมื่อคืนแม่ทัพเว่ยกลับเมืองเฟิ่งก็เพราะว่าเหยาเยี่ยนอวี่ รุ่งเช้านี้หันซังเย่ว์ก็เอายาทาบรรเทาแผลเปื่อยและยาสมุนไพรต่างๆ ให้หลี่อี้หรง ส่วนเรื่องที่เหลือก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขา จากนั้นเขาก็ต้องไปรายงานตัวกับพี่ชายที่ค่ายทหาร

หันซังเกอดีใจมากที่ได้เจอกับน้องชาย สองพี่น้องจึงกอดกันเต็มแรง หันซังเกอใช้แรงชกอกน้องชาย ทั้งสองพี่น้องพูดคุยเล่นและหัวเราะกันไปสักพักก็หุบยิ้มแล้วเอ่ยถามด้วยความจริงจัง “ท่านพ่อและท่านแม่สบายดีหรือไม่”

หันซังเย่ว์พลันน้อมคำนับ แล้วตอบกลับ “ท่านพ่อท่านแม่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงดี เดิมทีท่านพ่อจะมาเยือนที่นี่ในครั้งนี้ ทว่าฮ่องเต้ทรงกังวลพระทัยว่าแผลเก่าของท่านพ่อจะกำเริบจึงไม่อนุญาต ดังนั้นเลยรับสั่งให้ข้ามาแทน”

อวิ๋นคุนพูดขึ้นยิ้มๆ “ตอนนี้เจ้าได้สมดั่งใจปรารถนาแล้วสินะ ต่อให้เสด็จป้าไม่อยากให้เจ้ามา ก็คงทำอะไรไม่ได้แล้ว”

หันซังเย่ว์พลันประสานมือคารวะอวิ๋นคุนแล้วกล่าวยิ้มๆ “คารวะท่านรองแม่ทัพ”

อวิ๋นคุนชกเขาหนึ่งที แล้วตำหนิด้วยรอยยิ้ม “เจ้ารนหาเรื่องหรือไร”

ทุกคนต่างหัวเราะเสียงดังลั่น บรรยากาศตึงเครียดในค่ายทหารก่อนหน้านี้ลดน้อยลงไป แม้กระทั่งทหารที่เฝ้าอยู่นอกค่ายก็ยังลอบถอนหายใจ

พวกเขาพูดคุยเล่นและหัวเราะกันไปสักพัก หันซังเกอก็พูดขึ้น “เอาละ ไหนๆ ชิงจือก็มาแล้วก็ยังไม่ต้องรีบกลับไปก่อน พวกเราขาดคนพอดี เจ้าอยู่ต่อที่นี่เถอะ ประจวบเหมาะกับเวลาที่เสี่ยนจวินไปรบและได้รับชัยชนะกลับมา ไม่เพียงแต่ยึดหน้าไม้ได้หนึ่งพันกระบอก แล้วยังสังหารคนเกาหลีสองพันกว่าคน พวกเราจะได้นั่งปรึกษาหารือและวางแผนยุทธศาสตร์การรบต่อจากนี้”

ดังนั้นพวกเขาจึงนั่งลงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

สายลับที่หันซังเกอส่งไปก็กลับมารายงานสถานภาพของกองกำลัง หลังจากที่วิเคราะห์แยกแยะแล้ว อวิ๋นคุนก็ได้อธิบายแนวโน้มต่างๆ ให้หันซังเย่ว์ฟังอยู่ข้างๆ หันซังเย่ว์ฟังอย่างตั้งใจ เขาไม่เคยมีประสบการณ์ด้านการรบ จึงไม่ได้มากความอะไร

มีแค่เพียงแม่ทัพเว่ยเท่านั้นที่วันนี้ สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หลายครั้งที่หันซังเกอถาม ถึงแม้ว่าเขาก็ตอบคำถาม ทว่ากลับดูไร้ชีวิตชีวา

อวิ๋นคุนถอนหายใจ “เสี่ยนจวิน เจ้าเป็นอะไรไป คุณหนูเหยามาเยือน เจ้าก็มัวแต่ครุ่นคิดถึงนางเลยหรือ”

อเว่ยจางคลี่ยิ้ม แล้วพูดขึ้น “ท่านซื่อจื่อพูดอะไรเล่า”

หันซังเกอเอ่ยถามด้วยคิ้วขมวด “หรือว่าแผลของเขาเกิดอาการแทรกซ้อน”

“เปล่า แผลหายดีแล้ว” เว่ยจางส่ายหัว แล้วพร่ำด้วยด้วยเสียงเรียบ “ข้ากำลังคิดเรื่องเรื่องหนึ่ง”

“เรื่องอะไร” หันซังเกอเอ่ยถามด้วยความจริงจัง

เว่ยจางเปรยด้วยเสียงเบา “ตอนที่ข้าพาคนไปจับคนเกาหลีและยึดหน้าไม้พวกนั้นมา ได้ยินรองแม่ทัพพวกเขาเอ่ยภาษาหลีออกมาหนึ่งประโยค ตอนนั้นข้าฟังไม่รู้ความ ตอนหลังก็มีลูกน้องที่รู้ภาษาหลีบอกข้า ประโยคนั้นหมายความว่า อนาคตพวกเราจะพุ่งหน้าไปยังจงหยวน ก่อร่างสร้างแผ่นดินของคนสามเผ่า ข้าคิดไม่ออก ก่อร่างสร้างแผ่นดินของคนสามเผ่าที่พวกเขาหมายถึงคืออะไร ก็แค่เป่ยหูและเกาหลีสองเผ่าเท่านั้น แล้วเผ่าที่สามเล่า”

อวิ๋นคุนขมวดคิ้ว “คนตงไอ่เป็นฝ่ายซื้ออาวุธทหารของพวกเขา อาจจะหมายถึงคนตงไอ่ไหม”

หันซังเกอพยักหน้าพลางพูด “อาจจะเป็นคนตงไอ่ ที่ผ่านมา ข้าไม่เคยชอบพวกเขาเลย มักจะรู้สึกว่าคนพวกนั้นเสแสร้งแกล้งทำ ภายนอกดูถ่อมตนและมีมารยาท แต่จริงๆ แล้วกลับแอบซ่อนจิตมาร”

“อืม” เว่ยจางพยักหน้า “อาจมีความเป็นไปได้”

หันซังเย่ว์เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “ไหนๆ พวกเขาคือพันธมิตรกัน คนตงไอ่ไม่ใช้กำลังทหาร การอุปทานอาวุธสงครามก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่เหตุใดพวกเขาถึงต้องเอาทองของคนเกาหลีไปด้วยเล่า”

นัยน์ตาของเว่ยจางลุ่มลึก เขามองหันซังเย่ว์เพียงพริบตาเดียว แล้วพูดขึ้น “กล่าวถูก ข้ากำลังคิดว่าเหตุใดคนเกาหลีถึงยอมให้ทองกับคนตงไอ่มากมายเช่นนั้น หากบอกว่าเป็นพันมิตร คนตงไอ่ก็ควรแสดงความจริงใจออกมาหน่อยถึงจะสมเหตุสมผล”

หันซังเกอทำนัยน์ตาเลือดเย็นทันที “ดังนั้น ก่อร่างสร้างแผ่นดินของคนสามเผ่าอาจเป็นคนอื่น?”

เว่ยจางจึงเอนกายไปพิงด้านหลังด้วยความเกียจคร้านเหมือนก่อนหน้านี้ แล้วค่อยๆ หลับตาลง จากนั้นก็เปรยด้วยความเหน็ดเหนื่อย “ก็ไม่รู้ว่าตอนที่พวกเราใช้ ‘แผนซ้อนแผน’ ในขณะนี้ ฮ่องเต้ทรงได้รับเบาะแสอะไรจากเรื่องนี้หรือไม่”

หันซังเกอพูดจางๆ “ฮ่องเต้ทรงพระปรีชา แล้วพลาดโอกาสนี้เช่นนี้ได้อย่างไร”

อวิ๋นคุนก็หรี่ตาลงพลางจับคางแล้วพูดขึ้น “เช่นนั้นพวกเราก็รออีกหน่อยไหม ดูว่าจะมีข่าวคราวที่มีประโยชน์อะไรส่งมาจากเมืองหลวงหรือไม่”

หันซังเกอพยักหน้า “ตอนนี้พวกเรามีเสบียงที่เพียงพอ คงไม่กลัวที่จะต้องเสียเวลาอยู่ต่อที่นี่อีก” ขณะที่พูด ก็เอ่ยถามเว่ยจาง “เสี่ยนจวิน เจ้าคิดว่าอย่างไร”

เว่ยจางหัวเราะออกมา “ข้าก็ไม่เร่งรีบอยู่แล้ว”

อวิ๋นคุนชกเขาหนึ่งทีด้วยรอยยิ้ม “หมอหลวงเหยามาถึงเมืองเฟิ่งแล้ว เจ้าต้องไม่เร่งรีบอยู่แล้ว”

หันซังเกอก็ยิ้มขึ้น “มิเช่นนั้นก็ถือโอกาสตอนตรุษจีน จัดพิธีสมควรของพวกเจ้าก่อนดีหรือไม่”

เว่ยจางพลันส่ายหัว “ไม่ต้องหรอก”

หันซังเกอเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เหตุใดเจ้าถึงไม่เร่งรีบอีกแล้วล่ะ ตอนนี้กองกำลังทั้งสองก็พักศึกสงครามไปชั่วคราว ก่อนจะออกรบก็ได้ไปสู่ขอแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เดิมทีงานวิวาห์ของพวกเจ้าก็ล่าช้าอยู่แล้ว”

“หากจัดงานสมรสที่นี่ คงจะลำบากเกินไป มีหลายอย่างไม่ครบครัน” เว่ยจางแย้มยิ้ม แล้วพูดขึ้นต่อ “ข้าไม่อยากให้นางไม่ได้รับความเป็นธรรม อย่างไรวัน​ข้างหน้ายังอีกยาวไกล”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset