หมอหญิงจ้าวดวงใจ – ตอนที่ 353 ลงโทษเล็กน้อยตักเตือนครั้งใหญ่ ชินไชเสด็จมาถึง (3)

ตอนที่ 353 ลงโทษเล็กน้อยตักเตือนครั้งใหญ่ ชินไชเสด็จมาถึง (3)

“เยี่ยลี่ร์กงมีนิสัยบ้าบิ่น มีทักษะการต่อสู้เก่งกาจอย่างมาก ทว่ากลับมีตัวใหญ่แต่ไร้สมองตั้งแต่เกิด เป็นบุรุษเจ้าอารมณ์ แต่เจอเรื่องไม่ได้ดั่งใจหน่อยก็จะทำให้อารมณ์เดือดพลุ่นขึ้นมาทันที”

“เยี่ยลี่ร์เชี่ยเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมจอมวางแผน เขาชอบเรียนรู้และศึกษาภาษาจีนตั้งแต่เด็ก ข้างกายก็มีทหารที่จอมวางแผนและฉลาดหลักแหลมเช่นเขาอยู่มากมาย เยี่ยลี่ร์ก่วงจึงตายใจและไม่เคยสงสัยใดๆ ในตัวเขา”

“เยี่ยลี่ร์ต้าสือเป็นชายหนุ่มอัจฉริยะ ทั้งยังมากความสามารถด้านการขี่ม้าและใช้อาวุธ เป็นคนที่ชื่นชอบในเรื่องทางการทหาร จึงมากความสามารถในการออกรบ และช่ำชองในการสังหารศัตรู ถือว่าเป็นคู่แข่งที่เก่งกาจที่สุดของเยี่ยลี่ร์เชี่ย”

หันซังเกอแนะนำบุตรชายทั้งสี่ของเยี่ยลี่ร์จี๋คร่าวๆ สุดท้ายก็มองไปยังอวิ๋นคุนและเว่ยจาง แล้วพูดขึ้น “พวกเจ้าสองคนคิดว่าอย่างไร”

สำหรับองค์ชายเป่ยหูทั้งสี่คนนี้ นับว่าอวิ๋นคุนและเว่ยจางได้ทำความรู้จักพวกเขาตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว แค่คู่แข่งของพวกเขาเป็นเยี่ยลี่ร์จี๋มาโดยตลอด เลยไม่ได้ทำความเข้าใจองค์ชายสี่คนนี้อย่างจริงจังมาก่อน

ตอนนี้ พอต้องเจอกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ อวิ๋นคุนจึงพิจารณาอย่างตั้งใจไปสักพัก แล้วพูดขึ้น “คงไม่ต้องกลัวบุตรคนโตและบุตรคนรองหรอก คนอย่างเยี่ยลี่ร์เชี่ย ถึงแม้จะช่ำชองในการวางอุบาย ทว่ากลับชื่นชอบภาษาจีน แต่เยี่ยลี่ร์จี๋กลับไม่ชื่นชอบเช่นนี้ คนเป่ยหูมีนิสัยตรงไปตรงมา พวกเขาเกลียดชังพวกคนเจ้าเล่ห์ที่สุด วันนี้ดูๆ แล้ว เยี่ยลี่ร์ต้าสือน่าจะเป็นทายาทที่เหมาะสมในการสืบทอดตำแหน่งของเยี่ยลี่ร์จี๋ที่สุด”

เว่ยจางส่ายหัว แล้วพูดขึ้น “ไม่ ภายในใจของเยี่ยลี่ร์จี๋ยังไม่ได้เลือกใครทั้งนั้น ตอนนี้เขายังดำรงตำแหน่งนี้ไม่พอ”

อวิ๋นคุนตะลึงงัน แล้วยิ้มขึ้น “กล่าวได้ถูก เยี่ยลี่ร์จี๋แค่ป่วยหนักเท่านั้น ไม่มีทางยกตำแหน่งให้ใครง่ายๆ อยู่แล้ว”

“เช่นนั้น ทว่าเยี่ยลี่ร์จี๋ไม่ใช่คนที่จะจัดการง่ายๆ” หันซังเกอจับคาง หรี่ตาลง

“ดังนั้น พวกเราต้องคิดหาวิธีใหม่ที่จะจัดการกับเยี่ยลี่ร์จี๋ใช่หรือไม่” อวิ๋นคุนก็รู้สึกว่าความคิดนี้ไม่เลว

จู่ๆ หันซังเกอก็มองเว่ยจาง แล้วเอ่ยถาม “เสี่ยนจวิน เจ้าว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนที่พวกเราจะลอบสังหารเยี่ยลี่ร์จี๋”

เว่ยจางนิ่งงันไปสักพักแล้วพูดขึ้น “ถ้าให้ข้าเป็นคนจัดการ มีความเป็นได้มากกว่าแปดในสิบ ทว่าการสังหารเขาไม่ใช่เป้าหมายของพวกเรา เป้าหมายของพวกเราควรเป็นการสร้างความเข้าใจผิดให้กับเยี่ยลี่ร์เชี่ยและเยี่ยลี่ร์ต้าสือให้ได้ แล้วปล่อยให้พวกเขาสองคนสู้กันเอง”

หันซังเกอพยักหน้า “กล่าวถูกต้อง”

ระหว่างที่ทั้งสามต่างคิดหาวิธียุให้รำ ตำให้รั่ว ด้านนอกก็มีคนเข้ามารายงาน “เรียนแม่ทัพ ข้าหลวงหลี่ส่งคนมาบอกว่าขุนนางเจรจาสงบศึกที่ราชสำนักส่งมา มาถึงเมืองเฟิ่งแล้วขอรับ”

“เร็วเช่นนี้เลยหรือ” หันซังเกอคาดการณ์ไม่ถึงจริงๆ

อวิ๋นคุนพูดขึ้นยิ้มๆ “ดูๆ แล้วขุนนางท่านนี้เป็นคนใจร้อนจริงๆ”

“อืม ข้าเป็นแม่ทัพของทั้งสามทัพ จึงไม่สะดวกที่จะออกจากฐานทัพ จวินเจ๋อร์ เจ้าไปเมืองเฟิ่งแทนข้าที ไปรับชินไชคนนั้นมาที่ฐานทัพเสียหน่อย”

“ได้” ถึงแม้อวิ๋นคุนไม่อยากไปรับขุนนางคนนั้น ทว่าก็เป็นถึงชินไชที่ฮ่องเต้ทรงส่งมา พวกเขาคงชักช้าไม่ได้ ประเดี๋ยวจะถูกเหล่าอวี้สื่อนินทาเอา

ตั้งแต่สมัยโบราณมาจนถึงปัจจุบัน ขุนนางฝ่ายบุ๋นไม่ค่อยเคยชินกับการต่อสู้หรือการสังหารของฝ่ายบู๊ ส่วนเหล่าทหารฝ่ายบู๊เองก็ไม่ค่อยเคยชินกับนิสัยอวดรู้และดื้อดึงของเหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นเช่นเดียวกัน

โดยเฉพาะอวิ๋นคุนที่เป็นเชื้อพระวงศ์ ภายในใจก็ยิ่งอคติกับชินไชท่านนี้ที่มาเมืองเฟิ่งและมีหน้าที่รับผิดชอบเจรจาสงบศึก ถึงแม้ยังไม่เคยเจอหน้า ทว่าก็พอจินตนาออกถึงรูปลักษณ์หน้าตาของขุนนางฝ่ายบุ๋นออก

หันซังเกอรู้ความคิดของอวิ๋นคุนดี ดังนั้นจึงพูดกับเว่ยจาง “เสี่ยนจวิน เจ้าไปกับจวิ๋นเจ๋อร์เถอะ”

“ได้” เว่ยจางประสานมือคารวะ จึงติดตามอวิ๋นคุนออกจากฐานทัพด้วยกัน

ในเรือนหลังของจวนข้าหลวงใหญ่ ณ เมืองเฟิ่ง

เหยาเยี่ยนอวี่เพิ่งจะจัดการกับเหล่าหมอหญิงเสร็จ จึงรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อย นางอยากจะกลับเรือนไปแอบงีบหลับเสียหน่อย ตอนที่เพิ่งกลับถึงเรือน ก็เปลี่ยนชุดเครื่องแบบไปเป็นชุดธรรมดา ยังไม่ทันได้กินข้าว สาวใช้ชั้นล่างก็รีบวิ่งเข้ามารายงานด้วยความรื่นเริง “คุณหนูเจ้าคะ ท่านเซียวโหวมาเจ้าค่ะ!”

“อะไรนะ” เหยาเยี่ยนอวี่ยังนึกว่าตัวเองฟังผิดไป ท่านเซียวโหว? เซียวหลินเป็นขุนนางที่ดูแลตลาดเกลือและเหล็กไม่ใช่หรือ แล้วมาทำอะไรที่เมืองเฟิ่งล่ะ

“คุณหนู ท่านเซียวโหวบอกว่าจะพบคุณหนู คุณหนูจะเจอเขาหรือไม่”

“เจอ!” เหยาเยี่ยนอวี่พลันพยักหน้าแล้วพูดอย่างหยอกล้อ เขาคือใครกันเล่า แล้วจะไม่เจอได้อย่างไร

จิ้งไห่โหวเซียวหลิน เนื่องด้วยความโดดเด่นในการประสบสำเร็จทางการเมืองของเขา ทำให้ได้รับรับสั่งจากฮ่องเต้ให้กลับมาเข้ารับตำแหน่งในเมืองหลวงแล้วเข้าไปประจำการที่ศาลาใน ซึ่งเป็นที่หารือราชกิจ เขาเข้ารับตำแหน่งขุนนางเป็นผู้ช่วยซื่อหลางในกระทรวงพิธีกรรม หลังจากเข้ารับตำแหน่งแล้ว ภารกิจแรกก็คือเป็นชินไชที่มาเจรจาสงบศึกที่เป่ยหู แน่นอน ผู้ที่มีฐานะเป็นผู้ช่วยซื่อหลางคงไม่สูงส่งพอที่จะเป็นตัวแทนของฮ่องเต้มาเจรจาสงบศึกได้ ท่านเซียวโหวมาเมืองเฟิ่งในครั้งนี้ กลับได้สวมใส่ชุดเครื่องแบบลายมังกรของจิ้งไห่โหวขั้นที่สอง

ฮ่องเต้ทรงช่ำชองในการใช้คนให้เป็นประโยชน์ และเห็นคุณค่าในผู้ที่มีความสามารถอย่างมาก ขณะที่เขาเดินทางขึ้นเหนือมาเจรจาสงบศึก แล้วยังให้เขารับผิดชอบส่งหน้าไม้ชุดที่สองมาเมืองเฟิ่งอีกด้วย ดังนั้น ครั้งนี้ท่านเซียวโหวจึงแบกรับหน้าที่อันใหญ่หลวงมาก

หลังจากเหยาเยี่ยนอวี่เปลี่ยนเสื้อผ้าก็รีบไปเจอเซียวหลินทันที เพราะว่าพวกเขาสนิทสนมกัน เหยาเยี่ยนอวี่เห็นเซียวหลินเป็นพี่เขยจากใจจริง ดังนั้นนางจึงไม่ได้ใส่ชุดเครื่องแบบขุนนาง แค่ใส่เสื้อผ้าธรรมดาที่สตรีสวมใส่กัน

หลี่อี้หรงเห็นเซียวหลินจึงไม่กล้าชักช้า เขารีบพูดว่าการเดินทางลำบากไม่หยุด และยังพูดว่าเมืองเฟิ่งเป็นถิ่นทุรกันดาร หลังจากที่ถูกไฟสงครามล้างผลาญ จึงขาดแคลนสิ่งของจำเป็น แม้กระทั่งชาชั้นดีหรือถ้วยชาก็ยังไม่มี ยังขอให้ท่านเซียวโหวให้อภัย

เซียวโหวก็ไม่ได้เรียกร้องอะไร แค่พูดตอบอย่างผิวเผิน แล้วพูดคุยอีกสองสามคำ อีกอย่างเขาก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องน้ำชาแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงไม่ได้มากความอะไรมากมาย ในมุมมองของข้าหลวงหลี่ กลัวว่าชินไชท่านนี้จะไม่พอใจ ดังนั้นจึงไม่กล้ามากความอะไร

ตรงประตูมีคนมารายงาน “ใต้เท้าเหยามาแล้ว”

หลี่อี้หรงเห็นท่านเซียวโหวที่เหมือนเกียจคร้านจะมากความในตอนแรกผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที

ไม่ใช่หรอกกระมัง ท่านเซียวโหวหมายปองหมอหญิงเหยาหรือ

เหยาเยี่ยนอวี่สวมเสื้อคลุมสุนัขจิ้งจอกสีเขียวไม้ไผ่เดินเข้ามาตรงประตู พอเห็นเซียวหลินก็โค้งลำตัวลงแล้วยิ้มอย่างชื่นบาน “คารวะท่านเซียวโหว”

“พอเถอะ ไม่ต้องมากพิธีอะไรแล้ว” เซียวหลินมองเห็นเหยาเยี่ยนอวี่ด้วยหน้ายิ้มๆ หลังจากสังเกตมองนางไปสักพัก ก็พยักหน้าพร้อมพูดขึ้นยิ้มๆ “นี่เจ้าซูบผอมไปเยอะเลยนะ แต่ก็ยังดูมีชีวิตชีวาอยู่”

“แน่นอน ถึงแม้อากาศที่นี่จะค่อนข้างหนาว ทว่ากลับไม่ต้องยุ่งกับงานอะไรมากมาย” เหยาเยี่ยนอวี่และเซียวหลินก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลอะไร หลังจากนั่งลง ก็เอ่ยถามโดยตรง “พี่หันเป็นเช่นไรบ้าง เจ้าได้เจอหน้านางบ้างไหม”

“อืม เจอกันแล้ว” ท่านเซียวหลินนึกถึงก่อนที่จะออกเดินทาง หันหมิงชั่นมาส่งเขาด้วยตัวเอง จึงทำให้เขาอิ่มเอมใจอย่างมาก

เหยาเยี่ยนอวี่มองสีหน้านั้นจึงรู้มีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยถาม “กำหนดวันหรือยัง”

เซียวหลินพยักหน้า “กำหนดไว้แล้ว”

เหยาเยี่ยนอวี่จึงรู้สึกดีใจกับทั้งสองคนจึงพูดยิ้มๆ “เช่นนั้นก็คงต้องมีอะไรตอบแทนข้าหน่อยหรือเปล่า”

“นี่ยังต้องพูดถึงอีกหรือ ข้าเตรียมไว้ให้เจ้าตั้งนานแล้ว ใช่แล้ว นางยังมีของฝากให้เจ้าด้วย และยังมีของที่พี่รองของเจ้าสั่งให้คนส่งมา ประเดี๋ยวข้าจะสั่งให้คนขนมาในเรือนของเจ้า”

“เช่นนั้นข้าคงไม่ต้องกล่าวขอบคุณท่านโหวแล้วใช่หรือเปล่า”

“แน่นอนว่าไม่ต้องกล่าวขอบคุณหรอก”

ข้าหลวงหลี่ที่อยู่ข้างๆ เห็นทั้งสองพูดคุยเล่นกันอย่างน่าทึ่งจึงคิดอย่างจริงจัง สองคนนี้มีความสัมพันธ์อะไรกันแน่ หมอหลวงเหยาไม่ใช่ว่าเป็นว่าที่ภรรยาของแม่ทัพเว่ยหรือไร! นางพูดคุยเช่นนี้กับท่านเซียวโหวมันจะไปเหมาะสมหรือ

แค่ว่ายิ่งกลัวอะไรก็ยิ่งต้องเจอกับสิ่งนั้น ข้าหลวงหลี่กำลังกังวลว่าสถานการณ์เช่นนี้ไม่ควรให้แม่ทัพเว่ยเห็นเด็ดขาด เกิดแม่ทัพเห็นมาเห็นเข้า ไม่รู้ว่าจะเกิดพายุโหมกระหน่ำอะไรไหม จากนั้นก็มีคนมารายงานตรงนอกประตู “เรียนใต้เท้า รองแม่ทัพอวิ๋นกับแม่ทัพเว่ยมาแล้วเจ้าค่ะ”

หลี่อี้หรงผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างฉับพลัน ทำเอาเซียวหลินและเหยาเยี่ยนอวี่ถึงกับสะดุ้งตกใจ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset