หมอหญิงจ้าวดวงใจ – ตอนที่ 383 เข้าเรือนหอ งานเลี้ยงสหายคนสนิท กลับไปเยี่ยมเยียนต้นตระกูล (4)

ตอนที่ 383 เข้าเรือนหอ งานเลี้ยงสหายคนสนิท กลับไปเยี่ยมเยียนต้นตระกูล (4)

เว่ยจางแย้มยิ้ม เขายกจอกสุราไปชนกับของเฮ่อซีอย่างไม่แยแส แล้วหันไปกระซิบถามข้างหูของเฮ่อซีเสียงต่ำ “เจ้าไม่มีปัญหาใช่ไหม” ได้ยินฉังเหมาบอกว่าเฮ่อฮูหยินตั้งครรภ์แล้ว ได้ยินว่านี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น

เฮ่อซีส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดขึ้น “ไม่มีปัญหาอะไร”

ดังนั้นบุรุษทั้งสองที่สมรสแล้วชนเหล้ากัน ดื่มหนึ่งคำเพียงเฮือกเดียว

ทางฝั่งจ้าวต้าเฟิงและเก๋อไห่ที่ยังไม่ได้แต่งงานก็รินสุราให้ตนเอง จากนั้นต่างเข้ามาชนจอกกับเว่ยจาง

เว่ยจางไม่ได้ปฏิเสธพวกเขาสองคน จึงดื่มสุรากับสหายทั้งสี่ไปหนึ่งจอก

ถังเซียวอี้เฝ้าคำนึงถึงเรื่องนี้มานาน ทั้งยังโอ้อวดแทนแม่ทัพของพวกเขาอย่างลับๆ มาหลายครั้ง อีกอย่างแม่ทัพเว่ยยังถูกเหล่าสหายที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของแม่ทัพเว่ยร่ำลือหลายฉบับ

หนึ่งในฉบับเหล่านั้นของแม่ทัพเว่ยก็คือเหมือนบางด้านของเขาไม่ได้สมรรถภาพ ฉะนั้นวันแรกที่แต่งงาน จึงต้องดื่มสุราเต็กปี่บำรุงร่างกาย

ขณะที่ท่านแม่ทัพเว่ยมีสภาพร่างกายที่ย่ำแย่ ทว่าฮูหยินแม่ทัพกลับเก่งกาจยิ่งนัก นางประดุจสุนัขจิ้งจอกและเสือ สมกับเป็นหมอหลวงจริงๆ นางไม่เพียงแต่มีทักษะความสามารถด้านการแพทย์ แม้กระทั่งท่านแม่ทัพยังต้องพึ่งพาอาศัยสุราบำรุงร่างกาย เพื่อตอบสนองความต้องการของนาง

ทว่าไม่ว่าจะฉบับใดที่เว่ยจางถูกทุกคนร่ำลือถึง พอคำร่ำลือเหล่านั้นมาถึงหูของแม่ทัพเว่ยและฮูหยินเหยา ก็คือการทรมานถังเซียวอี้ คำพูดด้านหลัง เขายังไม่อยากเอ่ยถึง

หลังจากสามวันที่แต่งงาน แม่ทัพเว่ยกลับไปเยี่ยมเยียนตระกูลเหยาเป็นเพื่อนเหยาเยี่ยนอวี่ ตอนนี้จวนตระกูลเหยาเคล้าด้วยบรรยากาศที่ครึกครื้นยิ่งกว่าวันที่เหยาเยี่ยนอวี่ออกเรือน

เหยาเฟิ่งเกอต้องมาเยือนพร้อมกับซูอวี้เสียงอยู่แล้ว การพบปะกันของเหล่าสหาย แน่นอนว่าต้องมีเฟิงฮูหยินน้อยและบุตรีมาเยือนด้วย ทั้งยังมีคุณหนูสามซูอวี้เหิง

บุตรีของเฟิงฮูหยินน้อยซูจิ่นเย่ว์ถือว่ารู้จักกาลเทศะอย่างมาก นางติดตามอยู่ด้านข้างมารดา พอเห็นใครๆ ก็น้อมคำนับด้วยความเคารพ ช่างเป็นสกุลสตรีที่สง่างามจริงๆ

เหยาเยี่ยนอวี่ถูกเหล่าสาวใช้และผัวจื่อพาเดินเข้าไปตรงประตู หนิงฮูหยินน้อยและเหยาเฟิ่งเกอก็ออกมาต้อนรับนางแล้ว พอเห็นเหยาเยี่ยนอวี่ที่อยู่ในชุดกระโปรงสีแดง จึงเดินหน้าเข้ามาดึงนางไว้ พร้อมทั้งพูดด้วยความปลื้มปิติ “น้องสาวกลับมาแล้ว”

“พี่สะใภ้รอง” เหยาเยี่ยนอวี่ค้อมตัวลงเล็กน้อย

“พอเถอะๆ! รีบเข้ามาได้แล้ว” หนิงฮูหยินน้อยจูงมือเหยาเยี่ยนอวี่เข้าประตูไป

เหยาเฟิ่งเกอก็ยิ้มพลางคล้องแขนอีกข้างของนางไว้ ทั้งสามพูดคุยเล่นกันอย่างสนุกสนานพลางเดินเข้าไปในเรือน

ทางฝั่งเหยาเหยียนอี้ก็สังเกตมองแม่ทัพเว่ยที่สวมชุดคลุมยาวสีม่วงด้วยรอยยิ้ม พร้อมพยักหน้ากล่าวว่า “เสี่ยนจวิน เชิญด้านในเถอะ”

เว่ยจางเดินตามเหยาเหยียนอี้เข้าไปในเรือน ซูอวี้เสียงที่นั่งอยู่ด้านในตั้งนานค่อยๆ ลุกขึ้น แล้วประสานมือคารวะเว่ยจาง “แม่ทัพเว่ย”

“คุณชายสาม” เว่ยจางยิ้มจางๆ แล้วเดินไปประสานมือคารวะซูอวี้เสียงกลับ

เหยาเหยียนอี้ยกมือด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “นั่งเถอะ วันนี้พวกเราทั้งสามคน ไม่มีใครจำเป็นต้องมากพิธีอะไร นั่งกันเถอะ”

ทั้งสามนั่งลงบนที่นั่ง เหล่าสาวใช้ยกน้ำชามา

ซูอวี้เสียงยกกาน้ำชาขึ้นแล้วถอนหายใจพลางพูดยิ้มๆ “ผู้ที่มีภรรยานั้นไม่เหมือนกันจริงๆ แม่ทัพดูมีชีวิตชีวายิ่งนัก”

เว่ยจางมองซูอวี้เสียงพลางยิ้มน้อยๆ พร้อมกล่าว “สีหน้าของคุณชายสามก็ไม่เลวเช่นกัน”

“ข้าจะเปรียบเทียบกับท่านได้อย่างไรกัน เหอะๆ…” ซูอวี้เสียงหัวเราะพลางจิบชาต่อ

“ปีที่แล้วอยู่ดีๆ เจ้าก็ป่วย ทั้งยังกินยามาสามเดือน ตอนนั้นทำเอาพวกเราตกใจแทบแย่” เหยาเหยียนอี้กำลังเป็นห่วงสุขภาพร่างกายของน้องเขยคนโต เป็นเช่นนั้น เขาตั้งใจเอ่ยถึงเรื่องนี้ ไม่ได้เพื่อสิ่งอื่นใด แค่รู้สึกไม่ถูกชะตากับน้องเขยคนนี้เท่านั้น

จู่ๆ ซูอวี้เสียงก็นึกถึงมีดที่เปื้อนเลือดในมือของเหยาเยี่ยนอวี่ที่เอาไปแล่หนังแกะ เขาจึงไม่อยากทำสงครามเย็น แค่ยิ้มอย่างอึดอัดใจเท่านั้น

เว่ยจางไม่รู้เรื่องฆ่าแกะ ทว่าพอมองจากสีหน้าของซูอวี้เสียงก็รู้ว่าคนๆ นี้ต้องนึกถึงเรื่องอะไรที่ไม่มีความสุขแน่นอน อีกอย่างเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับตนเอง ดังนั้นจึงเอ่ยถามขึ้น “คุณชายสามเป็นอย่างไรบ้าง”

“เปล่า” ซูอวี้เสียงส่ายหัว แล้วยิ้มได้อึดอัดใจมากกว่าเดิม

เว่ยจางหันไปมองเหยาเหยียนอี้เสียงชั่วพริบตา เหยาเหยียนอี้ยิ้มๆ แล้วสั่งสาวใช้ที่อยู่ด้านหลัง “ไปสั่งให้บ่าวคนอื่นๆ ยกอาหารไปที่ศาลาจวี๋อวิ้น”

สาวใช้รับคำแล้วจากไป เหยาเหยียนอี้ยิ้มอย่างเกรงใจ “ดื่มชา มา ลองลิ้มลองชาฤดูใบไม้ผลิที่เพิ่งส่งมาจากตอนใต้”

เว่ยจางยกถ้วยชาด้วยรอยยิ้ม ขณะเดียวกันก็กวาดสายตามองซูอวี้เสียง

ซูอวี้เสียงก็จิบชา กลับถือโอกาสนี้นำฝาถ้วยชามาปิดหน้าของตนเองไว้

ณ ศาลชิวอวิ้น ในสวนพฤกษาที่อยู่ด้านหลังจวนเหยามีโต๊ะจัดงานเลี้ยงอยู่สองโต๊ะ และยังคงเป็นเหล่าสตรีที่อยู่ด้านใน ส่วนบุรุษก็อยู่ด้านนอก

หนิงฮูหยินน้อยหลีกที่นั่งหลักให้เฟิงฮูหยินน้อย และอีกด้านเป็นเหยาเยี่ยนอวี่ที่เป็นเจ้าสาวที่กลับมาเยี่ยมเยียนต้นตระกูล เหยาเฟิ่งเกอนั่งอยู่ตรงข้ามหนิงฮูหยินน้อย ซูจิ่นเย่ว์นั่งอยู่ระหว่างเฟิงฮูหยินน้อยและเหยาเฟิ่งเกอ ซูอวี้เหิงนั่งข้างเหยาเยี่ยนอวี่

ด้วยเหตุนี้เหยาเยี่ยนอวี่จึงเฝ้าคำนึงถึงหันหมิงชั่นมาก จึงเอ่ยถามซูอวี้เหิงด้วยเสียงเบา “เจ้าไปเยี่ยมพี่หันหรือยัง”

ซูอวี้เหิงพูดด้วยเสียงต่ำ “ยังเลย พี่หันสั่งให้คนส่งสารมาบอกว่าราชครูเซียวดื่มสุราหนักในวันงานวิวาห์ ร่างกายจึงไม่สู้ดีนัก วันนี้จึงไม่ได้กลับจวนกั๋วกง”

“ไม่ใช่หรอกกระมัง” เหยาเยี่ยนอี้ขมวดคิ้ว ภายในใจกำลังคิดว่าเจ้าสาวที่เพิ่งแต่งเข้าจวนใหม่ๆ ต้องปรนนิบัติพ่อสามีแล้วหรือ

ซูอวี้เหิงเปรย “ราชครูมีอายุแปดสิบกว่าแล้ว จึงหวังว่าหลานชายจะแต่งงานสร้างครอบครัว คิดว่าคงจะปลื้มปิติเกินไป จึงดื่มสุราหนักเช่นนี้”

แปดสิบกว่าแล้วยังจะดื่มมากเช่นนั้นอีกหรือ นี่ไม่ใช่ว่าไม่อยากมีอายุยืนหรือไร เหยาเยี่ยนอวี่ลอบเปรยขึ้น

หนิงฮูหยินไม่รู้ว่าสองพี่น้องกำลังพูดอะไรกัน จึงแค่พูดแทรกด้วยยิ้มจางๆ “งานสมรสนี้เป็นงานพระราชทานจากฮ่องเต้ เฉิงอ๋องก็เป็นเจ้าภาพในงานนี้ องค์ชายหกยังเป็นตัวแทนของฮ่องเต้มาส่งของขวัญอวยพร ตามหลักแล้วก็ควรเข้าวังไปน้อมคารวะฮ่องเต้และฮองเฮาเหนียงเหนียงหรือเปล่า”

เหยาเยี่ยนอวี่พลันพูด “ฮ่องเต้ออกล่าสัตว์ที่ซีหย่วน ตอนนี้คงยังไม่เสด็จกลับมา อีกอย่างก็มีพระราชโองการลงมาตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าไม่ต้องเข้าไปน้อมคารวะให้มากพิธีในราชวัง”

เฟิงฮูหยินน้อยพูดยิ้มๆ “ฮ่องเต้ทรงพระกรุณาแม่ทัพเว่ยและน้องสาวจริงๆ ”

เหยาเยี่ยนอวี่พูดด้วยรอยยิ้ม “พระราชโองการของท่านซื่อจื่อเองก็ไม่เลวเช่นกัน ครั้งนี้เขาถูกพรากจากครอบครัวไปประจำที่เมืองเฟิง ถึงแม้เมืองเฟิงจะค่อนข้างไกล อากาศก็ไม่ค่อยดี ทว่าเพียงแค่ต้องเป็นทหารที่ปกป้องแคว้นทุกด้านก็ถือว่าสำเร็จครั้งใหญ่แล้ว อนาคตจะได้เลื่อนขั้นเป็นเจวี๋ย คิดว่าเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้า”

“เฮ้อ! จะคิดการณ์ไกลเช่นนั้นได้อย่างไร เพียงแค่ถูกฮ่องเต้ใช้งาน ก็ถือว่าเป็นเรื่องอันประเสริฐแล้ว” เฟิงฮูหยินน้อยเปรยด้วยเสียงต่ำ “ก่อนหน้านี้ข้าก็ยังกลัวว่าที่นั่นจะหนาวเกินไป ร่างกายของท่านซื่อจื่อคงทนไม่ไหว ทว่าวันนี้พอนึกถึงว่าน้องสาวยังอาศัยอยู่ที่นั่นเป็นครึ่งค่อนปี ก็ไม่ได้เป็นห่วงอะไรมากแล้ว”

หนิงฮูหยินน้อยเกลี้ยกล่อม “เป็นเรื่องธรรมดาที่ฮูหยินเป็นห่วง ทว่าตอนนี้เป็นช่วงหยุดพักการทำศึกสงคราม ท่านซื่อจื่อยังเป็นแม่ทัพเอก คิดว่าก็คงไม่มีความยากลำบากอะไรที่เขาทนไม่ได้หรอก ทางฝั่งโน้นมีอาหารที่กินค่อนข้างยาก หากฮูหยินไม่ไว้วางใจ ก็ทำผักดองและข้าวสารส่งไปที่เมืองเฟิ่ง มากสุดก็แค่ส่งบ่าวที่เอาใจใส่เก่งไปปรนนิบัติรับใช้เขาก็พอแล้ว”

เหยาเยี่ยนอวี่ที่ได้ยินก็เล่าสถานการณ์ทั้งหมดในเมืองเฟิ่งให้เฟิงฮูหยินฟัง เฟิงฮูหยินน้อยจดจำไว้ในใจ และกำลังคิดว่าจะกลับไปแก้ปัญหาอย่างไร

และไม่นานก็มีอาหารเป็นจานมาวางลงบนโต๊ะ เหยาเหยียนอี้ที่อยู่ด้านข้างจึงพาน้องเขยทั้งสองไปนั่งลง

แท้จริงแล้วจิตใจของมนุษย์คือต้องการมีอำนาจมากที่สุด มนุษย์ทุกคนล้วนต้องการประสบความสำเร็จ เหยาเหยียนอี้เองก็ไม่ได้รับการยกเว้น

ในเวลาก่อนหน้า เหยาเหยียนอี้มักจะรู้สึกแค่ว่าซูอวี้เสียงเป็นเพียงน้องเขยของเขา เฟิ่งเกอเป็นน้องสาวที่มีมารดาผู้ให้กำเนิดคนเดียวกันกับเขา แต่อย่างไรซูอวี้เสียงก็คือน้องเขยตนเอง เพื่อน้องสาวตนเอง เหยาเหยียนอี้ถือว่าเคารพซูอวี้เสียงขึ้นมาบ้างแล้ว เขาไม่ได้หวังอย่างอื่น แค่หวังว่าเขาจะทำดีกับน้องเขยตนเองได้ เพื่อที่น้องสาวจะได้ใช้ชีวิตอยู่ในจวนติ้งโหวดีๆ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset