ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน – ตอนที่ 102 หนึ่งปี

เสิ่นซ่านเหยียนก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง แต่อวี้เหวินกลับคิดเป็นจริงเป็นจัง เขาอดรู้สึกไม่ได้ว่าตนต้องช่วยรับผิดชอบเรื่องนี้สักหน่อย หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยกับอวี้เหวินว่า “เจ้าให้ข้าดูภาพนั้นอีกที ข้าจะลองนึกดูว่ามีสถานที่อื่นอีกหรือไม่ที่ปลูกต้นไม้ชนิดนี้”

ญาติสนิทมิตรสหายของเขานับว่ามีฐานะสูงกว่าอวี้เหวินอยู่ขั้นหนึ่ง ผู้ที่ชมชอบปลูกต้นไม้บุปผาจึงมีมาก อีกอย่างคนบางกลุ่มยังชอบสรรหาต้นไม้ใบหญ้าแปลกๆ มาปลูกเพื่อแสดงถึงความแตกต่างไม่เหมือนใคร

“ต้นซาจี๋ไม่กี่ต้นที่จวนสยากวงนั้นจริงๆ ก็แค่จื่อจินอยากแกล้งสยากวงเล่น สยากวงคร้านจะชายตามองมันด้วยซ้ำ พวกบ่าวรับใช้ที่ดูแลรดน้ำยิ่งไม่มีทางเอาใจใส่ โตมาเหมือนต้นอะไรก็ไม่รู้” เสิ่นซ่านเหยียนเล่าต่อ “ตอนข้าอยู่แถบซีเป่ยเคยเห็นต้นไม้แบบนี้สูงเท่าหลังคาเรือน ต้นซาจี๋ที่จวนสยากวงนั่นยังสูงไม่เกินเข่าเสียด้วยซ้ำ ต่อให้ขอสักต้นจากจวนพวกเขาไป คาดว่าคงปลูกไม่รอดอยู่ดี มิสู้ลองหาที่อื่นๆ ดูว่ามีเรือนใดปลูกต้นไม้ชนิดนี้อีก”

เห็นว่าเขาใส่ใจถึงเพียงนี้ อวี้เหวินจึงกล่าวขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า

สองคนตรึกตรองอยู่ในห้องหนังสือครึ่งค่อนวัน แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่ามีผู้ใดปลูกต้นไม้ชนิดนี้อีกบ้าง เสิ่นซ่านเหยียนจึงเก็บภาพไว้เสีย พร้อมบอกว่า “ข้าจะฉลองวันปีใหม่เล็กกับสยากวงที่นี่จากนั้นก็จะเดินทางกลับบ้านเกิด สามารถถือโอกาสนี้ช่วยสืบความให้บุตรสาวเจ้าได้”

ช่วงวันปีใหม่ จวนสกุลเสิ่นทางนั้นย่อมมีสหายเก่าและญาติมิตรมาเยี่ยนเยียนจำนวนมาก

“เช่นนั้นก็ประเสริฐยิ่ง!” อวี้เหวินดีใจด้วยความคาดไม่ถึง รอตอนที่เสิ่นซ่านเหยียนกลับไปหังโจว เขาจะห่อกระดาษเฉิงซิน[1]ครึ่งพับซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าของสกุลใส่กล่องไม้แล้วมอบให้เสิ่นซ่านเหยียนเป็นค่าเดินทาง

เสิ่นซ่านเหยียนก็ชื่นชอบจากใจจริง จึงไม่ได้บ่ายเบี่ยง บอกให้อวี้เหวินรอฟังข่าวจากเขา แล้วเดินทางกลับหังโจวเพื่อร่วมฉลองวันปีใหม่

สกุลอวี้ทางนี้ก็คึกคักเป็นที่สุด

พอถึงปีใหม่เล็กก็เริ่มเปลี่ยนยันต์ไม้ท้อ[2]ติดกลอนตุ้ยเหลียน[3] ห้อยโคมไฟแดง เตรียมของเซ่นไหว้บรรพบุรุษ รวมถึงอาหารที่จะกินในคืนวันปีใหม่ด้วย

อวี้ถังนั้นช่วยบิดาดูแลดอกสุ่ยเซียน[4] ต้นส้มจี๊ด ทั้งคอยสั่งพวกซวงเถาให้กวาดพื้นให้สะอาด

นางยังปลีกตัวไปหาหม่าซิ่วเหนียง ขนเอาขนมเหนียนเกากับน้ำตาลข้าวที่คนสกุนเฉินทำ รวมถึงเครื่องประดับผมทรงดอกไม้ฝีมือนางไปให้หม่าซิ่วเหนียงอีกด้วย

หม่าซิ่วเหนียงดีอกดีใจเป็นอย่างยิ่ง วางงานที่อยู่ในมือลง แล้วพานางเข้าไปให้ห้องตนเองทันที ทั้งยังหยิบลูกพลับแห้งจากในตู้ออกมาต้อนรับนาง “มาจากฝูเจี้ยนน่ะ หวานอร่อยนัก อีกเดี๋ยวเจ้าก็เอากลับไปให้ท่านป้าชิมด้วย”

อวี้ถังยิ้มรับพร้อมเอ่ยขอบคุณ กวาดสายตาไปทั่วร่างของหม่าซิ่วเหนียงคล้ายสำรวจ คนก็กลั้นยิ้มเอาไว้

หม่าซิ่วเหนียงพลันหน้าเห่อแดง ผลักอวี้ถังอย่างเขินอาย “เจ้ามองอะไรน่ะ? คุณหนูที่ยังไม่ออกเรือน ไม่อนุญาตให้คิดเหลวไหล”

อวี้ถังหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง

นางเพิ่งรู้จากคนสกุลเฉินว่าหม่าซิ่วเหนียงตั้งครรภ์แล้ว ถึงได้ตั้งใจมาเยี่ยมนาง

หม่าซิ่วเหนียงก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ แต่พอหัวเราะจบ สีหน้าพลันเจือด้วยความกลัดกลุ้มหลายส่วน นางเอ่ยความในใจให้อวี้ถังฟังเสียงแผ่วว่า “ก่อนข้าแต่งเข้ามาก็รู้พอว่าสกุลจางมีฐานะการเงินธรรมดา แต่นึกไม่ถึงว่าจะย่ำแย่เพียงนี้ สามีกลัวทำให้ข้าต้องลำบาก เขาเอาแต่คัดหนังสือทั้งวันทั้งคืน ข้าเกรงว่าร่างกายเขารับไม่ไหว แต่กล่อมอย่างไรเขาก็ไม่ยอมฟัง บอกว่าหากเด็กคลอดออกมาแล้วต้องใช้จ่ายอีกมาก ถ้าเตรียมไว้ก่อนแต่เนิ่นๆ ได้ก็ต้องเตรียม” พูดถึงตรงนี้ นางก็เอื้อมไปดึงมืออวี้ถังมาจับไว้ “ถ้าเจ้าไม่มาเยี่ยมข้า ข้าก็คิดจะไปหาเจ้าอยู่แล้ว… ข้าอยากนำกำไลเงินหนึ่งคู่ไปจำนำเงียบๆ เจ้าช่วยไปทำธุระให้ข้าที่โรงจำนำได้หรือไม่?”

เรื่องจุกจิกในเรือนล้วนเป็นนางที่ดูแล ใช้จ่ายเงินไปเท่าไรมีเพียงนางที่รู้ ต่อให้ค่าใช้จ่ายในเรือนมากกว่าเงินที่หามาได้ แต่จางฮุ่ยไม่มีทางใช้สินเดิมของนางแน่ เมืองหลินอันจะว่าเล็กก็เล็ก จะว่าใหญ่ก็ใหญ่ นางในฐานะคุณหนูใหญ่ของเรือนหม่าซิ่วไฉ มีคนรู้จักคุ้นหน้านางไม่น้อย นางไม่กล้าเอาของไปจำนำที่โรงจำนำสกุลเผย กลัวจะถูกคนจำได้ขึ้นมา แล้วจะทำให้จางฮุ่ยต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง

อวี้ถังแต่ก่อนนั้นก็ไม่ได้เจอเรื่องแบบนี้เพียงครั้งเดียว เงินหนึ่งอัฐสร้างความลำบากให้วีรบุรุษ[5]ได้จริงๆ

นางรีบบีบมือหม่าซิ่วเหนียงกลับ “เจ้าวางใจได้ ข้าจะช่วยเจ้าวิ่งไปสักครั้ง เจ้าจำนำเป็นไว้ก็พอ รอให้พี่เขยหาเงินได้แล้ว ก็ค่อยไถ่ของออกมา”

จำนำเป็นได้เงินห้าในสิบส่วนนับว่าดีมากแล้ว ทว่าจำนำตายกลับได้เงินเจ็ดในสิบส่วน หรืออาจมากถึงแปดในสิบส่วนเลยทีเดียว

หม่าซิ่วเหนียงกัดฟันแล้วเอ่ยว่า “เจ้าช่วยข้าจำนำตายไปเถอะ ต่อไปหากพี่เขยเจ้ามีเงินแล้ว ข้าค่อยไปสั่งทำใหม่อีกคู่ก็ได้”

อวี้ถังคิดตามก็รู้สึกเห็นด้วย

ชาติก่อนตอนที่นางแต่งงาน หม่าซิ่วเหนียงเคยมอบกำไลเงินหนักห้าตำลึงหนึ่งคู่ให้นางเป็นของขวัญ เห็นได้ชัดว่าชีวิตไม่ได้ลำบากอะไร ความขัดสนนี้คงอยู่แค่ชั่วคราวเท่านั้น ขอเพียงอดทนผ่านไปให้ได้ก็พอ

“เจ้าหยิบของมาให้ข้าเถอะ!” นางเอ่ย “ช่วงปีใหม่ต้องใช้จ่ายมากเหลือเกิน ข้าจะแอบไปเงียบๆ แล้วก็กลับมาเงียบๆ เช่นกัน”

หม่าซิ่วเหนียงพยักหน้า น้ำตาแทบจะร่วงลงมาอยู่รอมร่อ นางจับมืออวี้ถังไว้แล้วบอกว่า “อาถัง ขอบใจเจ้ามาก”

วาจาอื่นๆ นางละอายเกินกว่าจะพูดออกมา ทว่าความซาบซึ้งในใจไม่ขาดลดไปสักนิดเดียว

อวี้ถังนั้นกลับรู้สึกผิด

ชาติก่อน นางต้องพลาดจากสหายที่ดีเช่นนี้ไป

คิดถึงตรงนี้ นางก็นึกไปถึงสกุลหลี่ นึกถึงเรื่องที่ไปเมืองหังโจวแล้วส่งข่าวให้สกุลกู้ก่อนหน้านี้

ไม่รู้ว่าสกุลกู้ทางนั้นมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง?

กู้ซีบัดนี้เกรี้ยวกราดแทบทนไม่ไหว

นางรู้ว่ามีคนวางแผนอยู่เบื้องหลัง แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า สิ่งที่ผู้อื่นพูดมาล้วนเป็นความจริง หาได้มีสักกระผีกที่ใส่ความว่าร้ายสกุลหลี่เลย

ทว่าเหตุใดสกุลหลี่ต้องทำเรื่องเช่นนี้ออกมาด้วยเล่า?

เพียงต้องการกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมาเพราะการสู่ขอล้มเหลวเท่านั้นหรือ?

จิตใจของคนสกุลหลี่มิเพียงคับแคบ แต่ยังผูกบัญชีแค้นกับทุกคนอีกด้วย

นางต้องแต่งเข้าสกุลเช่นนี้จริงๆ น่ะรึ?

ชีวิตของสตรีผูกติดกับเรือนหลัง ต่อไปนางต้องกินข้าวหม้อเดียวกับคนสกุลหลิน ใช้ชีวิตร่วมกันในจวน ริมฝีปากบนยังมีกระทบกระทั่งกับริมฝีปากล่างเป็นบางครั้ง ถ้าคนสกุลหลินไม่ชอบหน้านางขึ้นมา คิดจะสร้างความลำบากให้นางย่อมเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง แล้วชีวิตที่เหลืออยู่ของนางต้องคอยทะเลาะตบตีกับหญิงประเภทนี้หรือ?

ยังมีหลี่ตวนอีก มารดาเลี้ยงชมเขาจนลอยขึ้นฟ้า ความจริงก็เป็นเพียงสิ่งของที่ไร้ประโยชน์ เป็นถึงหลานชายคนโตสกุลหลี่ แต่กลับไปสวมผ้ากระสอบไว้ทุกข์ให้ผู้อื่น เรื่องแค่นี้ยังจัดการไม่ได้เรื่อง หากเข้าไปเป็นขุนนาง แปดในสิบส่วนคงดิ้นรนได้ถึงแค่ขุนนางขั้นสี่เท่านั้น มิเช่นนั้นจะมีคำพูดที่ว่า สามรุ่นให้ดูอาหาร ห้ารุ่นให้ดูอาภรณ์[6]หรือ? คนจากสกุลสามัญย่อมเป็นคนสามัญวันยังค่ำ ต่อให้ห่อด้วยผ้าแพรอย่างไรก็ไม่มีวันกลายเป็นคนใหญ่คนโตแน่!

ดวงหน้างดงามของกู้ซีฉาบด้วยไอหมอกชั้นหนึ่ง

ไม่ได้ นางไม่อาจยอมรับชะตาชีวิตเช่นนี้

นางต้องบอกเรื่องนี้กับพี่ชายและบิดาของนาง…ยังมีมารดาเลี้ยงคนนั้น ก็อย่าคิดจะได้ความดีความชอบไป

กู้ซีกระชับเสื้อคลุมขนเพียงพอนสีเทาที่คลุมอยู่ เอ่ยกับหรู่เหนียงเสียงเย็นว่า “ไปเถอะ พวกเราไปพบท่านลุงใหญ่ที่บ้านหลักเสียหน่อย!”

แม่นมรู้ว่าภายนอกที่ดูนุ่มนวลของนางนั้นภายในแข็งกร้าวเพียงใด ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจยกใหญ่ รีบร้อนคว้ามือนางไว้ทันที “คุณหนู ท่านไปไม่ได้นะเจ้าคะ! อย่างไรเสียนี่ก็เป็นเรื่องของบ้านรอง โวยวายใหญ่โตไป เพื่อรักษาหน้าแล้ว นายท่านย่อมไม่เข้าข้างท่านแน่ ท่านรอให้คุณชายใหญ่กลับมาก่อนแล้วค่อยไปคุยเถอะเจ้าค่ะ!”

คุณชายใหญ่ส่งจดหมายมาตั้งแต่สองเดือนก่อนบอกว่าหลังปีใหม่เขาจะติดตามผู้ตรวจการแถบเจ้อเจียงกลับมาเยี่ยมบ้าน

แม่นมเกลี้ยกล่อมกู้ซีอย่างยากลำบาก “อย่างมากก็รอแค่หนึ่งเดือน ขอเพียงคุณชายใหญ่กลับมา ทุกอยย่างก็จะคลี่คลายอย่างราบรื่นแล้วเจ้าค่ะ”

กู้ซีแสยะยิ้ม “แน่นอนว่าต้องรอพี่ชายกลับมา แต่ข้าก็ไม่อาจนั่งรอความตายอยู่เฉยๆ ได้ พวกเขาทำให้ข้าไม่พอใจ ข้าก็จะทำให้พวกเขาอยู่ไม่เป็นสุขเหมือนกัน”

แม่นมเอ่ยต่ออีกว่า “คุณหนูต้องคิดให้ดีก่อนทำอะไรลงไป เห็นชัดว่าพี่น้องสกุลอวี้ต้องการยั่วท่านให้โมโห อยากให้ท่านไม่อาจฉลองปีใหม่อย่างเป็นสุข”

“ต่อให้เป็นเช่นนั้น ข้าก็ไม่มีทางยอมจบง่ายๆ แน่” กู้ซีเลิกคิ้วเรียวยาวดั่งใบหลิวทว่าคมกริบเหมือนใบมีด เอ่ยเสียงเรียบเย็นว่า “อย่างไรทุกคนก็อย่าหวังจะเอาตัวรอดจากเรื่องนี้ เช่นนั้นก็เริ่มจากมารดาผู้แสนดีท่านนั้นก็แล้วกัน อย่าคิดว่าข้าไม่รู้เรื่องสกปรกทั้งหลายที่นางทำ แต่ก่อนข้าไม่เคยพูด เพราะคิดว่าพูดออกไปมีแต่ทำให้คนหัวเราะเยาะ บ้านรองมีแต่จะถูกซุบซิบนินทา ข้าเองก็เสียหน้าไปด้วย ไม่คิดว่าการถอยหลังอ่อนข้อให้ กลับต้องมาเจอกับพวกไม่รู้คุณคน สอดมือมายุ่งเรื่องงานแต่งข้าไม่ว่า ยังคิดเล่นลูกไม้กับข้าอีก”

นางสะบัดมือแม่นมทิ้ง แล้วสาวเท้ามุ่งหน้าไปยังทิศที่เรือนของบ้านใหญ่ตั้งอยู่

แม่นมร้อนใจจนแทบเต้น

ตอนแรกที่คุยเรื่องงานหมั้นหมาย คุณหนูใหญ่กับนางนั้นไปเจอคนด้วยตนเอง เห็นว่าท่านลูกเขยหล่อเหลา มีความสามารถโดดเด่น แม้คุณชายใหญ่ไม่ใคร่จะพอใจ แต่ผู้ร่ำเรียนวิชาน้อยนักจะโตออกมาในลักษณะนี้ ถึงได้ยอมรับอย่างเงียบๆ

ใต้หล้านี้ มีเรื่องครบพร้อมสมบูรณ์แบบที่ใดกัน

ทั้งหน้าตาหล่อเหลา ทั้งมีวิชาความรู้ และลักษณะท่าทางก็ดูดี…

แม่นมเห็นเงาของกู้ซีหายวับไปตรงมุมกำแพง จึงรีบก้าวขาตามไป

เพราะเรื่องนี้ทำให้สกุลกู้ไม่อาจฉลองวันปีใหม่ได้อย่างเบิกบานใจ ทว่าสกุลอวี้ที่เมืองหลินอันทางนี้กลับสนุกสนานชื่นมื่นยิ่ง เช้าตรู่วันที่สามสิบเอ็ดครอบครัวอวี้เหวินก็ยกโขยงไปที่เรือนท่านลุงใหญ่ เหล่าสตรีช่วยกันผัดกับข้าว เหล่าบุรุษก็นั่งสนทนากันในโถงรับแขก

มื้อเที่ยงกินข้าวกันอย่างง่ายๆ ไปหนึ่งมื้อ อาหารช่วงค่ำในวันสิ้นปีจึงดูยิ่งใหญ่อลังการมาก

อาหารเย็น อาหารร้อน อาหารทะเล ผักต่างๆ ของหวานและอาหารว่างวางแน่นเต็มโต๊ะ อวี้ป๋อเปิดเหล้าจินหวาหนึ่งไห สตรีในเรือนไม่เพียงรินให้เต็มแก้ว ยังดื่มคารวะท่านลุงใหญ่เป็นพิเศษอีก ขอบคุณที่เขาประคับประคองร้านค้าหลังจากที่ถูกไฟไหม้อย่างยากลำบาก ป้าสะใภ้ลุกขึ้นยืนด้วยดวงหน้าแดงก่ำ ไม่รู้ต้องทำตัวอย่างไร จะดื่มก็ไม่ได้ จะไม่ดื่มก็ไม่ดี ทว่าจู่ๆ อวี้ถังก็ตะโกนขึ้นมา “ท่านพ่อ ท่านดูสิเจ้าคะว่าท่านลุงใหญ่ดีขนาดไหน! มิน่าป้าสะใภ้เหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบขาดก็ไม่เคยบ่นสักคำ ท่านก็ควรคารวะท่านแม่สักจอกเช่นกัน เหนียนเกาเป็นฝีมือท่านแม่ น้ำตาลข้าวก็ฝีมือท่านแม่ ผ้าห่มที่ท่านพี่ใช้ตอนออกเรือน ก็เป็นท่านแม่ที่มาช่วยปักนะเจ้าคะ!”

“ใช่แล้วๆ!” คนสกุลหวังได้ยินก็เหมือนตามหาเสียงของตัวเองพบในที่สุด หมุนตัวไปดึงคนสกุลเฉินมาทันที แล้วพูดกับอวี้เหวินว่า “ไม่เพียงดื่มให้น้องสะใภ้หนึ่งจอก พวกเราสองสามีภรรยาต่างต้องคารวะสุราพวกเจ้าทั้งสิ้น หากมิใช่พวกเจ้า งานแต่งของอาหย่วนคงไม่ราบรื่นถึงเพียงนี้”

คนสกุลเฉินเขินอายหน้าแดงตั้งแต่ที่อวี้ถังกล่าวชมนางแล้ว เวลานี้ถูกคนสกุลหวังลากออกมาอีก คนจนพูดจาไม่เป็นประโยค “มิได้ มิได้ ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่อย่างนั้น…” ทั้งยังแสร้งตำหนิอวี้ถังอีกว่า “เป็นเจ้าที่ปากมาก เหตุใดไม่รู้เรื่องรู้ราวเพียงนี้!”

ยังดีที่อวี้เหวินเป็นคนหน้าหนา เขาหัวเราะเฮฮาแล้วยืนขึ้น “เหตุใดไม่เริ่มจากพี่ชายก่อนเล่า! ข้าจะเรียนรู้จากพี่ชายเป็นอย่างดีเลย มารดาอาหย่วนกับบุตรสาวข้ากล่าวได้ถูกต้องแล้ว ข้าคารวะเจ้าหนึ่งจอก หนึ่งปีมานี้ต้องลำบากเจ้าแล้วจริงๆ”

คนสกุลเฉินทั้งเขินอายทั้งเป็นสุข ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อดี นางตีหัวโจกอย่างอวี้ถังเบาๆ แล้วถลึงตาใส่ทีหนึ่ง ก่อนจะยกจอกขึ้นดื่มอย่างกระดากอาย

อวี้หย่วนก็หัวเราะอย่างชอบใจ

พวกซวงเถา อาเสาและป้าเฉินต่างก็มีรอยยิ้มเกลื่อนหน้า

อวี้ถังนึกถึงความยากแค้นในวันนี้เมื่อชาติก่อน แล้วหันกลับมามองความรื่นเริงตรงหน้า กรอบตาพลันรื้นชื้น

————————————————————-

[1]กระดาษเฉิงซิน เป็นหนึ่งในกระดาษวาดภาพที่สูงค่าและมีชื่อเสียงที่สุดของจีน ทั้งยังเป็นหนึ่งในกระดาษที่จิตรกรโด่งดังนิยมใช้

[2]ยันต์ไม้ท้อ เป็นความเชื่อในศาสนาเต๋าสมัยโบราณ มีจุดประสงค์เพื่อขอให้เทพเจ้าแห่งประตูช่วยปกป้องครอบครัว ขับไล่ภูติผีปีศาจไม่ให้มาทำลายบ้านเรือน

[3]กลอนตุ้ยเหลียน เป็นกลอนคู่แปด ใช้กระดาษสีแดงในการเขียนบทกลอนหรือคำอวยพรปีใหม่ โดยจะติดไว้ข้างประตูเป็นคู่ๆ

[4]ดอกสุ่ยเซียน คือดอกแดฟโฟดิล มีอีกชื่อหนึ่งที่เรียกกันคือ ดอกนาซิสซัส

[5]เงินหนึ่งอัฐสร้างความลำบากให้วีรบุรุษ อุปมาว่า ความลำบากเล็กน้อยแต่กลับทำให้เรื่องสำคัญไม่อาจดำเนินต่อไปได้

[6]สามรุ่นให้ดูอาหาร ห้ารุ่นให้ดูอาภรณ์ เปรียบเปรยว่าความรู้และการอบรมทางด้านจิตใจย่อมมีความเกี่ยวพันถึงภูมิหลังของครอบครัวอย่างลึกซึ้ง ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ในระยะเวลาอันสั้น

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ห้วงเวลาบุปผาผลิบานเปลวเพลิงสูงเสียดฟ้า เสียงแตก ‘เปรี๊ยะๆ’ ดังต่อเนื่อง แสงฉาบบนฟากฟ้าที่แดงก่ำไปครึ่งหนึ่ง คลื่นร้อนระอุลูกแล้วลูกเล่าแข่งกันโหมตัวสูง คนที่วิ่งผ่านไปมาล้วนร้องตะโกนว่า “ไฟไหม้! ไฟไหม้!” สองขาของอวี้ถังอ่อนยวบ หากไม่ใช่ซวงเถาประคองนางไว้ เกรงว่านางคงทรุดลงไปกองกับพื้นแล้ว “คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่!” เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ซวงเถาตกใจจนพูดติดขัด “เหตุใดเป็นเช่นนี้? มิใช่ว่าผู้คุมของสกุลเผยกับคนของศาลาว่าการจะมาเดินลาดตระเวนตรวจตราร้านค้าของพวกเขายามดึกหรือ นายท่านสามบอกว่าหน้าร้อนปีนี้จะร้อนหนัก อากาศแห้งแล้ง น่ากลัวจะเกิดไฟไหม้ หลายวันก่อนยังสั่งเป็นพิเศษให้คนวางโอ่งน้ำใหญ่สามสิบแปดใบไว้สองฝั่งของถนนฉางซิ่ง ทุกวันก็ให้เถ้าแก่แต่ละร้านคอยเติมน้ำให้เต็มโอ่ง ถนนฉางซิ่งจะไฟไหม้ได้อย่างไร? แล้วร้านค้าของสกุลเราจะเป็นเช่นไรล่ะเจ้าคะ?” จริงด้วย!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset