ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน – ตอนที่ 11 เสียชีวิต

ผ่านไปเช่นนี้อีกสิบวัน อวี้ป๋อกับอวี้หย่วนก็กลับจากเจียงซี  

 

 

อวี้เหวินกำลังวาดรูปอยู่ พอได้ยินข่าวก็ตื่นเต้น เอ่ยว่า “เหตุใดพวกเขากลับมาเร็วเช่นนี้? หรือว่าเจออุปสรรคใดเข้า?”  

 

 

จากที่นี่นั่งเรือไปเจียงซี เมืองหนานชัง ต้องใช้เวลาถึงสองเดือนกว่า  

 

 

อวี้ถังกลับคิดตรงข้ามกับอวี้เหวิน  

 

 

หากเรื่องราวไม่ราบรื่น เช่นนั้นถึงต้องใช้เวลามากกว่าเดิม แต่ถ้าประสบความสำเร็จ พวกเขาย่อมล่วงหน้ากลับมาก่อน  

 

 

“เรือนท่านลุงอยู่ข้างๆ นี้เอง” อวี้ถังกดยิ้มเจ้าเล่ห์ เอ่ยว่า “หรือว่า ให้ข้าไปถามดูหน่อยไหมเจ้าคะ?”  

 

 

คนสกุลเฉินนั่งปักผ้าเป็นเพื่อนอวี้ถังอยู่ เอ่ยดุอวี้ถังพลางหัวเราะว่า “ข้าว่าเจ้าไม่ได้อยากไปช่วยถามข่าวมาให้บิดาเจ้าหรอก เจ้าแค่จะแอบอู้ใช่หรือไม่?”  

 

 

อวี้ถังในชาติก่อน เพราะคิดถึงคนในครอบครัว ตกดึกต้องนอนร้องไห้จนหมอนชุ่มทุกคืน บัดนี้นางย้อนเวลากลับมาได้ นางต้องทำให้บิดามารดามีความสุข นางแทบจะหล่อพระพุทธรูปทองถวายวัดให้รู้แล้วรู้รอดด้วยซ้ำ แล้วนางจะกลับไปเป็นตัวเองคนที่ไม่รู้ความอย่างเมื่อก่อน ทำให้บิดามารดาห่วงกังวลและเป็นทุกข์ได้อย่างไร?  

 

 

สิบวันมานี้ นางเอาแต่ปักผ้าอยู่ในห้องอย่างสงบเสงี่ยม ทั้งยังวาดลายดอกไม้ซึ่งภายหลังเป็นที่นิยมอีกสองสามลายให้คนสกุลเฉินรู้สึกว่า บุตรสาวผ่านการอบรมในครั้งนี้ได้เปลี่ยนเป็นคนใหม่ นางย่อมภาคภูมิใจยิ่ง  

 

 

“ท่านแม่รู้ใจข้าที่สุด” นางออดอ้อนเอาใจ ถูศีรษะกับไหล่ของคนสกุลเฉินไปมา เอ่ยว่า “ท่านแม่ ท่านให้ข้าออกไปสูดอากาศนะเจ้าคะ! ข้าไม่ได้ออกจากเรือนตั้งหลายวันแล้ว”  

 

 

คนสกุลเฉินสงสารบุตรสาวยิ่งนัก บวกกับหลายวันก่อนได้ดื่มยาของหยางโต่วซิง ตนรู้สึกหายใจสะดวกและกระปรี่กระเปร่าขึ้นมาก คิดว่าต่อให้บุตรสาวก่อเรื่อง ก็ไม่จำเป็นต้องให้อวี้เหวินคอยเก็บกวาดคนเดียวอีกต่อไป จึงส่งยิ้มให้เอ่ยว่า “ก็ได้! เจ้าไปดูที่เรือนลุงใหญ่กับท่านพ่อเจ้าเถอะ”  

 

 

อวี้ถังส่งเสียงร้องดีใจ  

 

 

ทว่าอวี้ป๋อกับอวี้หย่วนมาเยือนถึงเรือนเสียก่อน  

 

 

ทุกคนมาพร้อมหน้ากัน นั่งล้อมวงอยู่ใต้ร่มไม้กลางลานกว้าง มีซวงเถาคอยรินน้ำชาให้  

 

 

อวี้ป๋อเล่าเรื่องที่เดินทางไปเจียงซีในครั้งนี้ว่า “โชคดียิ่งนัก! พวกเราเพิ่งจะผ่านเข้าเขตเจียงซีก็เผอิญได้เจอกับพ่อค้าเมืองกว่างโจว เขาเร่ขายเครื่องเขียนสีและกำลังเดินทางไปเสี่ยงดวงที่หนิงโป ข้าเห็นว่าสินค้าเขาก็มีไม่น้อย จึงเจรจากับเขาอยู่ครึ่งค่อนวัน เขาถึงได้ยอมแบ่งของให้พวกเราครึ่งหนึ่ง บังเอิญว่าเถ้าแก่หวงที่สั่งสินค้ากับเราไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นของประเภทใด ขอให้ทันกองเรือออกเดินทะเลก็พอแล้ว การค้าครั้งนี้จึงเจรจาสำเร็จลุล่วง ทว่า สกุลเราอย่างไรก็ผิดคำพูดต่อผู้อื่น ข้าจึงรับปากว่าจะชดเชยให้เถ้าแก่หวงห้าสิบตำลึง…”  

 

 

“สมควรยิ่ง สมควรยิ่ง” อวี้เหวินรีบตอบ “เงินก้อนนี้ท่านพี่ตัดสินใจได้เลย”  

 

 

ร้านค้าเครื่องลงรักของสกุลอวี้ผูกรวมอยู่ด้วยกัน ค้าขายร่วมกัน ค่าสินค้าออกร่วมกัน เมื่อสรุปบัญชีตอนสิ้นปีออกมาค่อยแบ่งสรรปันกำไร  

 

 

ไม่ต้องชดเชยด้วยจำนวนเงินที่สูงลิ่ว คนในสกุลก็ดีใจมากแล้ว  

 

 

อวี้เหวินรั้งให้อวี้ป๋อกับอวี้หย่วนอยู่กินข้าวด้วยกันก่อน  

 

 

อวี้ป๋อปฏิเสธ เอ่ยว่า “ข้ายังต้องรีบไปสกุลเผยอีก ได้ยินว่าสกุลเผยจะก่อสร้างถนนฉางซิ่งใหม่อีกครั้ง ข้าจะไปสืบข่าวดู”  

 

 

อวี้เหวินค่อนข้างประหลาดใจ ถามว่า “ข่าวนี้เชื่อได้แค่ไหน? ข้าอยู่ที่เมืองหลินอันไม่เคยได้ยินมาก่อน ท่านพี่เพิ่งกลับมาถึงก็รู้ข่าวแล้วรึ?”  

 

 

อวี้ป๋อหัวเราะ “เจ้าสนใจแต่ตำราคัมภีร์ เรื่องค้าขายเหล่านี้ ต่อให้มีคนพูดให้เจ้าฟัง เจ้าก็คงไม่ได้ใส่ใจ จะเทียบกับข้าที่ติดตามบิดาจัดการดูแลร้านเครื่องเขียนสีของสกุลเราตั้งแต่เด็กได้อย่างไร”  

 

 

อวี้เหวินถามต่อ “จู่ๆ สกุลเผยก็คิดจะสร้างถนนฉางซิ่งขึ้นใหม่?”  

 

 

อวี้ป๋อตอบ “น่าจะเป็นความต้องการของท่านข้าหลวง มีคนเชิญนายท่านรองเผยไปหารือโดยเฉพาะ ถึงได้มีข่าวลือนี้ออกมา”  

 

 

อวี้ถังฟังอยู่ข้างๆ รู้สึกว่าเหมือนกับชาติก่อนไม่มีผิด สกุลเผยตกลงจะสร้างถนนฉางซิ่งขึ้นใหม่ โดยมีเงื่อนไขว่า หากร้านค้าที่ไม่ใช่ของสกุลเผยร้านใดไม่มีกำลังทรัพย์ สกุลเผยสามารถซื้อต่อพื้นที่ร้านของพวกเขาได้  

 

 

ชาติก่อนตอนที่นางไม่รู้ถึงความไม่ชอบมาพากลของเรื่องราวก็ยังนึกว่าสกุลเผยกำลังทำบุญสร้างกุศล ต่อมาเมื่อเข้าใจกระจ่างก็ลอบกร่นด่าสกุลเผยไปยกใหญ่ ชาตินี้นางรู้ความลับของสกุลเผยเข้า ทว่าตนกลับติดหนี้บุญคุณครั้งใหญ่ต่อสกุลเผย…  

 

 

อวี้ถังถอนหายใจในอก  

 

 

นางถือว่าการไม่ได้ยินได้ฟังย่อมทำใจให้สงบได้มากกว่า จึงกลับไปปักผ้าที่ห้องของตน  

 

 

พี่น้องสกุลอวี้หารือเรื่องนี้ที่ห้องหนังสือต่อ  

 

 

อวี้เหวินเสนอให้สองบ้านขายพื้นที่คนละหนึ่งคูหาให้สกุลเผย สกุลเผยก็จะช่วยพวกเขาสร้างร้านค้าขึ้นมาใหม่ เช่นนี้ แม้ทรัพย์สินของสกุลอวี้จะหายไปครึ่งหนึ่ง แต่ดีชั่วอย่างไรอีกครึ่งหนึ่งก็ยังรักษาไว้ได้  

 

 

อวี้ป๋อกังวลว่าสกุลเผยจะไม่เห็นด้วย เอ่ยว่า “ร้านส่วนใหญ่บนถนนฉางซิ่งเป็นของสกุลเผย พวกเขาก็แค่ไม่สนใจเรา ถึงเวลานั้นพวกเราก็ต้องขายพื้นที่ร้านให้สกุลเผยวันยังค่ำ”  

 

 

อวี้เหวินกลับเสนอขึ้นว่า “ท่านพี่คอยดูข้าก็แล้วกัน!”  

 

 

หลังจากเขารู้ว่าหลู่ซิ่นหลอกขายภาพคัดลอกให้และตนมองไม่ออก ก็สนใจอยากรู้ความสามารถในการประเมินสิ่งของของเถ้าแก่ถงยิ่งนัก มีสองสามครั้งที่หอบเหล้ายาปลาปิ้งไปให้เถ้าแก่ถง บางครั้งก็ขอคำชี้แนะเคล็ดลับในการประเมินของโบราณต่างๆ ซ้ำยังยกตัวเองว่าเป็นสหายสนิทของเถ้าแก่ถงไปแล้วครึ่งคน  

 

 

อวี้เหวินคิดว่าเขาอาจจะใช้เส้นสายของเถ้าแก่ถงได้  

 

 

คนเมืองหลินอันต่างรู้ว่าสกุลของเถ้าแก่ถงรุ่นแล้วรุ่นเล่าล้วนช่วยสกุลเผยดูแลโรงจำนำ ถึงตอนนี้ก็นับว่ามีเจ็ดแปดรุ่นแล้ว ถือเป็นคนเก่าแก่ที่พอมีหน้ามีตาและพูดคุยกับสกุลเผยได้  

 

 

อวี้ป๋อกลับไม่ได้มองโลกในแง่ดีอย่างอวี้เหวิน  

 

 

หากว่าเถ้าแก่ถงเป็นคนพูดง่ายเพียงนั้น มีเรื่องอันใดก็ช่วยออกหน้าไปพูดกับสกุลเผยจริงๆ มีหรือที่จะยืนอยู่ถึงทุกวันนี้ได้  

 

 

ทว่าอวี้เหวินกำลังตื่นเต้นยินดี เขาจึงไม่อยากสาดน้ำเย็นใส่หน้า จึงได้แต่พูดส่งเสริมน้องชายสองประโยค แล้วพาอวี้หย่วนไปช่วยจัดการเรื่องที่ร้าน  

 

 

อวี้เหวินกินอาหารกลางวันเสร็จ จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปข้างนอก  

 

 

ตกดึกกลับมา เขาบอกกับภรรยาอย่างหน้าชื่นตาบานว่า “เถ้าแก่ถงเป็นคนไม่เลวจริงๆ เขารับปากจะไปถามความให้สกุลเราแล้ว”  

 

 

คนสกุลเฉินก็ปลื้มใจเป็นหนักหนา  

 

 

ทว่าอวี้ถังกลับตกตะลึง  

 

 

อวี้เหวินหยิบภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ ออกมาเปิดส่องใต้ไฟ ทางหนึ่งพินิจมอง ทางหนึ่งก็เอ่ยอย่างทอดถอนใจกับอวี้ถังว่า “เห็นหรือไม่ เป็นคนอย่าได้เจ้าคิดเจ้าแค้นมากเกินไป เจ้าดูสิ ข้าซื้อภาพคัดลอกมาก็จริง แต่มันก็ทำให้ข้าได้เจอสหายใหม่คนหนึ่ง”  

 

 

อวี้ถังเบ้ปากใส่  

 

 

หากมิใช่นางคิดหาวิธีพิสูจน์ข้อเท็จจริงของภาพผืนนี้ สกุลของนางมีหรือจะรู้จักมักจี่กับเถ้าแก่ถงได้ ทว่า ก็ถูกอย่างที่บิดานางพูด เถ้าแก่ถงเป็นคนไม่เลวเลยจริงๆ  

 

 

อวี้ถังคิดถึงเรื่องเมื่อชาติก่อนอีกครั้ง  

 

 

ตามความหมายของเถ้าแก่ถง ภาพผืนนี้ถูกลอกชั้นออกมาจากภาพวาดต้นแบบ หมายความว่า ตราประทับซึ่งสืบต่อกันมาไม่มีปัญหาอะไร แล้วภาพที่ตกอยู่ในมือนางเมื่อชาติก่อนมีที่มาอย่างไรแน่? เป็นของจริงหรือของปลอมกันเล่า?  

 

 

อวี้ถังอยากหาโอกาสไปถามเถ้าแก่ถง แต่ว่านางหาจังหวะไม่ได้เสียที อวี้เหวินพลันบอกคนสกุลเฉินกับอวี้ถังด้วยน้ำเสียงคึกคักดีใจ “ร้านค้าสกุลเรามีทางรอดแล้ว!”  

 

 

“นี่มันเรื่องอันใดกันเจ้าคะ?” คนสกุลเฉินวางเข็มกับด้ายในมือลง แล้วรินชาให้อวี้เหวินด้วยตนเอง  

 

 

อวี้เหวินกรอกอึกๆ ลงคอ ความยินดีพุ่งทะลุออกจากใบหน้า เอ่ยว่า “เถ้าแก่ถงตอบกลับข้ามาแล้ว บอกว่าพ่อบ้านใหญ่สกุลเผยตอนแรกก็ไม่ยอม คิดว่าแค่พื้นที่สองคูหาคงไม่พอสร้างร้านค้าสองร้านขึ้นมาใหม่ เถ้าแก่ถงคิดถึงเรื่องที่วันก่อนสกุลเราถูกหลอกเอาเงินไปขึ้นมาได้ คิดจะขอความเห็นใจให้พวกเรา ให้สกุลเราเพิ่มเงินอีกสักหน่อยก็ใช้ได้ พ่อบ้านใหญ่บอกว่าไม่อาจให้เป็นเยี่ยงย่าง ถ้าสกุลอื่นที่ร้านค้าถูกไฟไหม้ทำเลียนแบบแล้วจะทำอย่างไร ใครจะคิดว่าตอนที่สองคนกำลังถกเถียงกันอยู่ นายท่านสามสกุลเผยผ่านมาได้ยินพอดี จึงตัดสินใจรับปากเรื่องนี้ ทั้งยังบอกอีกว่า ทุกสกุลที่ร้านค้าถูกไฟไหม้ สกุลเผยจะช่วยสร้างร้านค้าขึ้นมาใหม่ให้ก่อน ค่าใช้จ่ายทั้งหมดสกุลเผยจะเป็นคนออกให้ล่วงหน้า แล้วแบ่งจ่ายหนี้เป็นห้าปีหรือสิบปี โดยไม่คิดดอกเบี้ย”  

 

 

“ฮะ!” อวี้ถังตกตะลึง  

 

 

ถ้าเป็นเช่นนี้ ทุกสกุลที่ร้านค้าถูกไฟไหม้ก็ก้าวผ่านความยามลำบากไปได้อย่างราบรื่นแล้วน่ะสิ  

 

 

“สกุลเผยช่างเป็นพระโพธิสัตว์กวนอิมที่มาช่วยผู้ตกทุกข์ได้ยากเสียจริง!” คนสกุลเฉินพนมมือ แล้วโค้งตัวไหว้ไปทางที่ตั้งของจวนสกุลเผยอยู่หลายครั้ง  

 

 

นี่มันต่างไปจากชาติก่อนโดยสิ้นเชิง  

 

 

สาเหตุมาจากการที่นางกลับมาเกิดใหม่หรือ?  

 

 

เช่นนั้นตอนที่สกุลหลี่มาขอหมั้นหมาย นางก็ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น แล้วปฏิเสธงานมงคลไปเลยใช่หรือไม่?  

 

 

แล้วต่อไปนางก็ไม่ต้องเกี่ยวพันใดๆ กับสกุลหลี่อีก?  

 

 

เพราะแผนเดิมของสกุลนางคือหาเขยชายแต่งเข้าต่างหาก!  

 

 

อวี้ถังคิดถึงเรื่องนี้ก็รู้สึกเบาสบายไปหมด  

 

 

คนสกุลเฉินเอ่ยอย่างปรีดาว่า “เช่นนั้นพวกเราก็ไม่ต้องขายพื้นที่ร้านแล้วสิเจ้าคะ?”  

 

 

“เกรงว่าจะไม่ได้!” อวี้เหวินลูบท้ายทอยอย่างลำบากใจ “ก่อนหน้านี้สกุลเราก็เคยเอ่ยเรื่องขายพื้นที่ร้านให้กับสกุลเผยไปแล้ว สกุลเผยใจบุญสุนทาน ยินดีให้ทุกคนหยิบยืมเงินทอง แล้วพวกเราจะผิดคำพูดต่อสกุลเผยได้อย่างไร!”  

 

 

คนสกุลเฉินสีหน้าหม่นไปเล็กน้อย ถอนหายใจอย่างผิดหวัง  

 

 

อวี้เหวินเอ่ยปลอบคนสกุลเฉินว่า “เช่นนี้ก็นับว่าดีมากแล้ว เจ้าคิดแบบนี้สิ หากไม่ใช่พวกเราขอร้องเถ้าแก่ถงไปเจรจา แล้วนายท่านสามสกุลเผยจะรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร? ถ้านายท่านสามไม่ตกลงรับปาก สกุลเผยมีหรือจะให้สกุลอื่นที่ร้านค้าถูกไฟไหม้หยิบยืมเงินทองอย่างไม่หวังผลตอบแทน จะว่าไปแล้ว สกุลเรานับว่าได้ทำเรื่องประเสริฐเรื่องหนึ่ง”  

 

 

คนสกุลเฉินถึงได้ยิ้มออก แสร้งเอ่ยเสียงบึ้งตึงว่า “มีแต่ท่านคนเดียวที่ใจกว้าง”  

 

 

อวี้เหวินหัวเราะเหอะๆ  

 

 

อวี้ป๋อที่ได้ยินข่าวก็เข้าใจว่าคงไม่ต้องขายพื้นที่ร้านค้าของสกุลแล้ว ตอนที่วิ่งมาปรึกษาเรื่องนี้กับอวี้เหวินถึงได้รู้ว่ามีต้นสายปลายเหตุอื่นอีก เขาหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ทว่าก็คิดเห็นไปทางเดียวกับอวี้เหวิน ด้วยจิตใจกว้างขวางทัดเทียมกัน จึงเอ่ยอย่างเบิกบานว่า “ถือเสียว่าสกุลเราไร้ซึ่งวาสนานั้นก็แล้วกัน”  

 

 

เมื่อสองพี่น้องสกุลอวี้ตัดสินใจเรียบร้อย คนอื่นก็ไม่มีอะไรต้องพูดอีก  

 

 

หลายวันผ่านไป สกุลเผยกับสกุลอื่นๆ ที่ร้านค้าถูกไฟไหม้ก็ร่วมหารือว่าจะสร้างร้านค้าใหม่อย่างไร ทว่าท่านผู้เฒ่าเผยกลับเสียชีวิตอย่างกะทันหัน  

 

 

“เป็นไปไม่ได้!” อวี้เหวินที่ได้รับแจ้งข่าวกลางดึกคลุมเสื้อคลุมยืนอยู่กลางลานกว้าง หูก็ได้ยินเสียงแมลงร้องแข่งกันระงม เขากุมมือคนสกุลเฉินเอาไว้ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “เมื่อวานตอนที่ข้าไปจวนสุลเผยยังถามถึงท่านผู้เฒ่าเผยอยู่เลย เขาบอกว่าท่านผู้เฒ่าสบายดี เหตุใดจู่ๆ ก็จากไปเช่นนี้เล่า?”  

 

 

คนสกุลเฉินเอ่ยอย่างระทมเศร้าว่า “หรือเป็นโรคเฉียบพลันเจ้าคะ? ท่านผู้เฒ่าเผยก็อายุเกินหกสิบแล้วกระมัง?”  

 

 

“กะทันหันเกินไปจริงๆ” อวี้เหวินแทบไม่อยากเชื่อ หันไปสั่งกับอาเสาว่า “เจ้าไปลองสืบอีกที ใช่เรื่องเข้าใจผิดหรือไม่?”  

 

 

อาเสาทางหนึ่งก็ใช้มือเช็ดน้ำตา ทางหนึ่งก็สะอื้นตอบว่า “ข้าถามดูแล้วขอรับ สกุลเผยตีฆ้องประกาศแล้ว ตอนนี้เตรียมแจ้งข่าวพิธีศพต่อสกุลอื่น วัดเจาหมิงกับอารามชิงซวีล้วนได้รับแจ้งแล้วเช่นกัน เจ้าอาวาสทั้งสองแห่งกำลังเร่งเดินทางมา ข่าวนี้ไม่มีทางผิดแน่ขอรับ!”  

 

 

อวี้ถังพิงอยู่ข้างประตู เพียงรู้สึกถึงหมอกหนายามราตรีอันหนักอึ้งที่เสียดแทงเข้าอก  

 

 

นางให้ความสนใจเรื่องอาการของท่านผู้เฒ่าเผยอยู่ตลอด ทุกคนต่างพูดว่าท่านผู้เฒ่าเผยแข็งแรงดี เหตุใดท่านผู้เฒ่าเผยถึงได้เสียชีวิตลงเล่า?  

 

 

อวี้ถังรู้สึกเสียใจอย่างมาก  

 

 

นางไม่ควรจะฟังข่าวจากผู้อื่นอย่างเดียว นางควรจะไปดูให้เห็นกับตาสักครั้ง  

 

 

สกุลเผยช่วยเหลือสกุลนางมากมาย นางกลับไม่เคยดิ้นรนเพื่อช่วยสกุลเผยสักครั้ง  

 

 

อวี้ถังเดินเข้าไปดึงแขนของมารดาไว้ เอ่ยว่า “ท่านแม่ พวกท่านจะไปเคารพศพท่านผู้เฒ่าเผยหรือไม่? ถึงตอนนั้นพาข้าไปด้วยนะเจ้าคะ?”  

 

 

——————————

Related

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ห้วงเวลาบุปผาผลิบานเปลวเพลิงสูงเสียดฟ้า เสียงแตก ‘เปรี๊ยะๆ’ ดังต่อเนื่อง แสงฉาบบนฟากฟ้าที่แดงก่ำไปครึ่งหนึ่ง คลื่นร้อนระอุลูกแล้วลูกเล่าแข่งกันโหมตัวสูง คนที่วิ่งผ่านไปมาล้วนร้องตะโกนว่า “ไฟไหม้! ไฟไหม้!” สองขาของอวี้ถังอ่อนยวบ หากไม่ใช่ซวงเถาประคองนางไว้ เกรงว่านางคงทรุดลงไปกองกับพื้นแล้ว “คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่!” เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ซวงเถาตกใจจนพูดติดขัด “เหตุใดเป็นเช่นนี้? มิใช่ว่าผู้คุมของสกุลเผยกับคนของศาลาว่าการจะมาเดินลาดตระเวนตรวจตราร้านค้าของพวกเขายามดึกหรือ นายท่านสามบอกว่าหน้าร้อนปีนี้จะร้อนหนัก อากาศแห้งแล้ง น่ากลัวจะเกิดไฟไหม้ หลายวันก่อนยังสั่งเป็นพิเศษให้คนวางโอ่งน้ำใหญ่สามสิบแปดใบไว้สองฝั่งของถนนฉางซิ่ง ทุกวันก็ให้เถ้าแก่แต่ละร้านคอยเติมน้ำให้เต็มโอ่ง ถนนฉางซิ่งจะไฟไหม้ได้อย่างไร? แล้วร้านค้าของสกุลเราจะเป็นเช่นไรล่ะเจ้าคะ?” จริงด้วย!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset