ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน – ตอนที่ 62 พบกัน

เผยเยี่ยนเที่ยงธรรมหรือไม่ เว่ยเสี่ยวชวนไม่รู้ แต่เขารู้ว่า หากเรื่องนี้ไม่ใช่ฝีมือของสกุลหลี่ทว่าเปลี่ยนเป็นคนอื่น เดิมทีพวกเขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากใคร ไปแจ้งกับทางการตรงๆ ก็เพียงพอแล้ว ไม่เหมือนในยามนี้ แม้ว่าจะเชิญเผยเยี่ยนมาเป็นคนกลาง สุดท้ายฆาตกรที่แท้จริงก็อาจหลุดรอดจากโทษทัณฑ์ได้

สำหรับเว่ยเสี่ยวชวนที่เป็นเพียงคนตัวเล็กๆ เรื่องนี้นับว่าผลกระทบใหญ่เกินตัวจริงๆ

เขาใช้ผ้าของอวี้ถังเช็ดหน้าอย่างลวกๆ นับตั้งแต่รู้ว่าการตายของพี่รองเกี่ยวข้องกับสกุลหลี่แต่กลับไร้ทางเอาคืนได้ ความรู้สึกที่ถูกกดไว้ในก้นบึ้งหัวใจทั้งตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจก็ปะทุออกมาราวกับภูเขาไฟในเวลานี้

“พี่สาว” เขากำหมัดแน่น ดวงตาแดงก่ำ กล่าวเสียงจริงจังกับอวี้ถัง “ข้าจะเป็นจิ้นซื่อให้ได้ สอบซู่จี๋ซื่อ เข้าสำนักฮั่นหลิน ข้าย่อมไม่อาจให้ใครมารังแกพวกเราอีก!”

อวี้ถังมองเว่ยเสี่ยวชวนที่จู่ๆ ก็เผยสีหน้ามืดมนขึ้นมา ตกใจเสียยกใหญ่

เด็กคนนี้เข้าสู่สายมารแล้วกระมัง!

ก็เหมือนกับนางในชาติก่อน ยามที่เพิ่งสงสัยว่าเรื่องทั้งหมดที่สกุลอวี้พบเจออาจเกี่ยวข้องกับสกุลหลี่ สิ่งที่เกลียดชังที่สุดไม่ใช่สกุลหลี่ แต่เป็นตัวเองที่ตกหลุมพราง

หากไม่ใช่ว่านางพบคนจิตใจดีช่วยเหลือไว้ในภายหลัง นางก็อาจจะเป็นเหมือนเว่ยเสี่ยวชวน เกลียดชังโลกใบนี้ เกลียดชังผู้คนในใต้หล้านี้

นางรีบรั้งเว่ยเสี่ยวชวนไว้ในอ้อมอก เอ่ยเสียงเบา “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร พวกเราค่อยเป็นค่อยไป คำโบราณกล่าวไว้ ลูกผู้ชายแก้แค้นสิบปีก็ไม่สาย เจ้าไม่ต้องรีบร้อน เจ้านึกถึงพ่อแม่เจ้าไว้ ยังมีพี่ชายเจ้า พวกพี่สะใภ้ พวกเราไม่อาจให้พวกไร้ค่ามาทำให้ตัวเองใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุขได้เชียว ไม่อย่างนั้นแม้พวกเราจะแก้แค้น ก็รังแต่จะทำให้พวกศัตรูขบขันเท่านั้น”

อวี้ถังรู้ดี ยามนี้นางเกลี้ยกล่อมเว่ยเสี่ยวชวนไม่ให้ล้างแค้น ก็มีแต่จะทำให้เว่ยเสี่ยวชวนเกิดความไม่พอใจ ทั้งให้ผลเสียมากกว่าดี ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่ควรห้ามปรามอย่างส่งเดช ควรจัดการอย่างค่อยเป็นค่อยไป ยามนี้แทนที่จะขัดเขา ยังมิสู้ว่าตามเขาไปก่อน ถึงเวลานั้นรอยแผลเขาปิดสนิท ค่อยหาโอกาสโน้มน้าวเขาอีกครั้ง

เว่ยเสี่ยวชวนฟังแล้วกลับคลายโทสะลง เขาเอ่ยว่า “ข้ารู้ พี่สาววางใจ ข้าไม่อาจปล่อยให้คนที่รักเจ็บปวด ทำให้ศัตรูดีใจได้หรอก”

สามารถฟังสิ่งที่นางเกลี้ยกล่อมได้ก็ดีแล้ว

อวี้ถังโล่งใจไปเปราะหนึ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ข้าให้คนไปตักน้ำให้เจ้าล้างหน้าล้างตาแล้ว จากนั้นค่อยไปพบพ่อเจ้าด้วยกัน เขาจะได้ไม่ต้องกังวล”

นางก็จำเป็นต้องขอโทษคนสกุลเว่ย ทั้งขอบคุณพวกเขาที่ให้อภัยตนเองเช่นกัน

แม้ว่าจนถึงยามนี้นางจะยังไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้ แต่นางก็ไม่อยากให้พวกผู้ใหญ่กังวลใจเพราะเรื่องที่ตัวเองก่อขึ้น

เว่ยเสี่ยวชวนพยักหน้า ล้างหน้าใหม่อีกครั้ง อารมณ์จึงค่อยสงบลง ทั้งสองคนไปโถงรับแขกราวกับไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น

นายท่านเว่ยและอวี้เหวินปรึกษากันเรื่องไปพบเผยเยี่ยน ยามที่พวกเขาเข้าไปก็ได้ยินอวี้เหวินพูดพอดี “เช้าตรู่ถัดจากวันที่นายท่านสามสกุลเผยรับปากว่าจะเป็นคนกลางให้พวกเรา ทางด้านสกุลหลี่ ก็ขอความช่วยเหลือจากนายท่านอู๋เพื่อนบ้านของพวกเรา เขาเป็นคนกว้างขวาง ทั้งมีความสัมพันธ์อันดีกับสกุลหลี่ ข้าส่งคนไปติดต่อนายท่านอู๋แล้ว คิดว่าสักพักก็คงมีข่าวคราว ท่านพักผ่อนกับข้าที่นี่ก่อนสักครู่ หรือจะรอทางด้านนายท่านอู๋ตอบกลับมาแล้วค่อยวางแผนกัน?”

“น้องชายเป็นธุระให้ ข้าจะยังไม่วางใจได้อย่างไร” นายท่านเว่ยกล่าวเสียงลุ่มลึก เห็นได้ชัดว่ามีท่าทีโศกเศร้าอยู่บ้าง ทว่าแววตากลับเปี่ยมด้วยพลัง คงโยนความทุกข์โศกไว้ที่อื่นชั่วคราว พุ่งเป้าไปเรื่องที่จะแก้แค้นให้กับลูกชายที่ตายไปอย่างไรดีแทน “พวกคหบดีชนบทนั้น ท่านเชิญใครบ้าง?”

อวี้เหวินบอกทีละชื่อไล่เรียงไป

นายท่านเว่ยคิดว่าเหมาะสมแล้ว “ว่าตามนี้แหละ! ถึงเวลานั้นข้าไปกับท่านก็เพียงพอแล้ว”

อวี้ถังเห็นทั้งสองคนพูดกันพอเหมาะพอควรแล้ว เวลานี้จึงฉวยโอกาสเข้าไปขอบคุณนายท่านเว่ย

ในที่สุดใบหน้าของนายท่านเว่ยก็ปรากฏความอ่อนโยนขึ้นมา พูดคุยกับอวี้ถังอย่างมีเมตตาไม่กี่คำ อวี้ถังก็ขอตัวออกไป

อวี้หย่วนได้ยินว่านายท่านเว่ยมาก็รีบตามเข้ามาคารวะทักทาย

นายท่านเว่ยพอใจกับงานแต่งครั้งนี้ไม่น้อย ยามที่พูดคุยกับอวี้หย่วนก็เผยรอยยิ้มมากขึ้น

อวี้เหวินรู้สึกว่าในใจดีขึ้นมาบ้างแล้ว รั้งตัวนายท่านเว่ยให้กินข้าวในเรือน ทั้งกล่าวกับนายท่านเว่ยอย่างแฝงความเสียดาย “พี่ใหญ่ไปหนานชัง อยากเชิญอาจารย์ทำเครื่องลงรักจำนวนหนึ่งจากที่นั่นเข้ามา วันนี้จึงไม่อาจดื่มเป็นเพื่อนท่านได้ ข้าให้อาหย่วนดื่มอวยพรแทนพ่อของเขาให้กับท่านแล้วกัน”

นายท่านเว่ยกล่าวอย่างแปลกใจ “อาจารย์คนเก่าไม่ทำแล้วรึ?”

โดยปกติหากช่างฝีมือและนายจ้างไม่เกิดขัดแย้งอะไรที่รุนแรงย่อมไม่อาจลาออกจากนายจ้างง่ายๆ เพราะยามที่ไปหานายจ้างใหม่อีกครั้ง คนอื่นมักจะสอบถามว่าเหตุใดจึงออกจากนายจ้างเดิม เป็นปัญหาที่คนหรือว่าฝีมือ เป็นต้น

บางครั้งคำพูดของนายจ้างเดิมเพียงคำเดียว ก็สามารถทำให้ช่างฝีมือหางานใหม่ไม่ได้อีกเลย

อวี้เหวินกล่าว “อาจารย์คนเก่าทำที่ร้านของพวกเรามาชั่วชีวิตแล้ว เดิมทีก็ไม่อยากทำ หลังจากร้านค้าไฟไหม้ เขาก็ฉวยโอกาสขอลาออกกลับบ้านเกิด ทั้งอาจารย์อายุน้อยไม่กี่คนก็ไม่ค่อยอยากรั้งตัวอยู่ที่หลินอันเพราะเรื่องนี้ อยู่ต่อก็ไม่สามารถรับผิดชอบงานเพียงคนเดียวได้ จึงทำได้เพียงหาอาจารย์ที่สามารถรับผิดชอบงานนี้ได้เข้ามาใหม่เท่านั้น”

นายท่านเว่ยครุ่นคิดเล็กน้อย “ไม่อย่างนั้น หลังจากอาหย่วนแต่งงานเหตุใดไม่ไปเปิดกิจการข้างนอก อย่างไรพ่อสามีก็ยังอายุไม่มาก เรื่องในบ้านทั้งหมดก็สามารถมอบให้พ่อสามีได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ อาหย่วนก็สามารถพิสูจน์ความสามารถของตัวเองได้ พ่อสามีก็ไม่ต้องรับภาระหนัก เชิญอาจารย์เข้ามาให้มากมายแล้ว”

อวี้เหวินเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง นึกไม่ถึงว่าสกุลเว่ยจะยินดีให้อวี้หย่วนใช้สินเดิมของคุณหนูเซียงหลังจากแต่งงาน

เขารู้ว่านี่เป็นความปรารถนาดีของสกุลเว่ย ทั้งคุณหนูเซียงก็ใช้ชีวิตที่สกุลเว่ยตั้งแต่เด็กจนโต นายท่านเว่ยเป็นคนที่จัดการเรื่องราวอย่างเป็นระบบระเบียบ กล้าพูดเช่นนี้ คาดว่าคุณหนูเซียงคงเห็นด้วยเช่นกัน

แต่นี่เป็นเรื่องของอวี้หย่วน เขาเป็นเพียงอาคนหนึ่งไม่อาจสอดมือไปจัดการได้

“หลังจากแต่งงานก็ให้พวกเขาทั้งสองปรึกษากันเอาเองเถิด” อวี้เหวินกล่าว

คอของอวี้หย่วนแดงเถือกไปหมด

ผู้ติดตามของนายท่านอู๋มาเข้าพบอวี้เหวิน “นายท่านพวกเรากล่าวว่า เรื่องที่ท่านให้ทำเรียบร้อยหมดแล้วขอรับ เช้าตรู่วันมะรืนยามเหม่า[1]ไปพบกันใต้ต้นการบูรเก่าแก่ปากทางเข้าตรอกเสี่ยวเหมย ไปเข้าพบสกุลเผยด้วยกัน เรื่องนี้เดิมทีนายท่านพวกเราควรมาคุยกับท่านด้วยตัวเอง แต่นายท่านพวกเราถูกนายท่านตู้รั้งตัวดื่มสุราอยู่ที่บ้าน กลัวว่าท่านจะร้อนใจรอจดหมายตอบกลับ จึงตั้งใจส่งข้าน้อยล่วงหน้ามาบอกกล่าวกับนายท่านอวี้เสียก่อน รอนายท่านพวกเรากลับมา จะคุยกับท่านอย่างละเอียดอีกครั้งขอรับ”

นายท่านตู้ เป็นคหบดีชนบทคนหนึ่งที่พวกเขาเชิญมาเป็นพยานครั้งนี้เช่นกัน

อวี้เหวินขอบคุณผู้ติดตามคนนั้น ควักเงินให้เป็นรางวัลก่อนจะให้อาเสาไปดื่มชาเป็นเพื่อนเขา ด้านตัวเองก็พูดคุยกับนายท่านเว่ยต่อ “เวลานี้ท่านก็สามารถวางใจได้ชั่วคราวแล้ว สกุลหลี่ตอบรับจะไปตัดสินความกับพวกเราที่สกุลเผยแล้ว”

หาคนกลางมาตัดสินความ สิ่งที่กลัวที่สุดก็คืออีกฝ่ายไม่มา

ดังนั้นผู้ที่เป็นคนกลางย่อมต้องเป็นคนที่มีน้ำหนัก ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าไม่อาจล่วงเกินได้

นายท่านเว่ยถอนหายใจ “ครั้งนี้ต้องขอบคุณนายท่านสามสกุลเผยแล้วจริงๆ ในบ้านของข้ายังมีโสมอายุร้อยปีเก็บไว้อยู่ ถึงเวลานั้นก็นำไปขอบคุณนายท่านสามเถิด!”

อวี้เหวินอยากพูดว่าบางทีนายท่านสามไม่แน่ว่าจะรับไว้หรอก แต่คิดดูแล้วนี่เป็นความตั้งใจของสกุลเว่ย จึงกลืนคำพูดกลับไป ทั้งสองคนปรึกษากันอย่างละเอียดว่ายามที่ไปพบเผยเยี่ยน พบคนของสกุลหลี่ควรจะพูดเรื่องอะไรบ้าง

ด้านอวี้ถังหลังจากรอพ่อลูกสกุลเว่ยกล่าวอำลา ก็ไปพบบิดา

“ท่านพ่อ” นางขอร้องอวี้เหวิน “ถึงเวลานั้นท่านก็พาข้าไปด้วยเถิดนะเจ้าคะ!”

นางอยากรู้ว่าวันนั้นสกุลหลี่จะพูดอย่างไรบ้าง

ชาตินี้และชาติก่อนมีความแตกต่างเป็นอย่างมาก เวลานี้สกุลหลี่ก็เปิดเผยด้านที่โหดร้ายออกมาแล้ว จะตกต่ำกลางคันเช่นนี้เลยหรือไม่?

นางอยากรู้เป็นอย่างมาก อยากเห็นด้วยตาของตัวเอง

อวี้เหวินคิดว่าสถานการณ์เช่นนี้ยากที่จะพบเจอ อวี้ถังตามไปเปิดหูเปิดตาก็ดีเหมือนกัน

เขากล่าวทั้งใคร่ครวญ “ไปได้ แต่เจ้าห้ามพูด ทั้งไม่อาจทำอะไรส่งเดชได้”

อวี้ถังยังคิดว่าตัวเองต้องร่ายยาวหว่านล้อมบิดาเสียอีก ฟังจบก็อดดีใจไม่ได้ ละล่ำละลักเอ่ย “ท่านวางใจเถิด ข้าจะตามหลังท่านพี่อย่างสงบเสงี่ยม ไม่ให้เป็นที่สนใจของใคร”

อวี้เหวินพยักหน้า

อวี้ถังถามอวี้เหวิน “เช่นนั้นคนลี้ภัยสองคนนั้นจะทำอย่างไร? ถึงเวลานั้นให้พี่น้องสกุลชวีคุมตัวไปหรือเจ้าคะ?”

หากเป็นเช่นนี้ พี่น้องสกุลชวีก็ต้องเปิดเผยตัว พี่น้องสกุลชวีไม่แน่ว่าจะยอมล่วงเกินสกุลหลี่

ต้องถามความต้องการของพวกเขา

อวี้เหวินเอ่ย “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสนใจ ข้าได้พูดกับเถ้าแก่ใหญ่ถงแล้ว ถึงเวลานั้นเถ้าแก่ใหญ่ถงจะส่งคนไปนำตัวคนลี้ภัยทั้งสองไปไว้ที่สกุลเผยล่วงหน้า ไม่อาจให้สกุลหลี่มีโอกาสเล่นเล่ห์เหลี่ยมอะไรได้”

อวี้ถังค่อยวางใจ เมื่อถึงวันที่นัดกัน ก็แต่งตัวเป็นบ่าวรับใช้ของอวี้หย่วน ก้มหน้าก้มตาเดินตามหลังอวี้เหวินและอวี้หย่วนไปตรอกเสี่ยวเหมยพร้อมนายท่านอู๋

เพราะพวกเขาเป็นคนเชิญคนอื่นจึงไปค่อนข้างเร็ว กระนั้นนายท่านเว่ยและเว่ยเสี่ยวหยวนกลับยังถึงเร็วกว่าพวกเขา

อวี้เหวินรีบแนะนำนายท่านเว่ยให้นายท่านอู๋รู้จัก

ด้านนายท่านเว่ยก็ขอบคุณนายท่านอู๋อย่างซาบซึ้งใจ

นายท่านอู๋เป็นคนใจกว้าง รีบคว้าตัวนายท่านเว่ยที่จะค้อมคำนับให้เขา ตบไหล่นายท่านเว่ยอย่างเป็นกันเอง “ไม่ต้องมากพิธีขนาดนั้น นายท่านอวี้และข้าเป็นเพื่อนบ้านมาหลายปีแล้ว นิสัยของข้าเขาก็รู้ดี ชอบการคบหาสหายเป็นที่สุด พวกเราสามารถรู้จักกันเช่นนี้ได้ นับว่าเป็นวาสนาแล้ว ภายหลังก็ไปมาหาสู่กันให้มากหน่อย”

นายท่านเว่ยย่อมตอบรับ เชิญนายท่านอู๋ให้เป็นไปแขกที่สกุลเว่ยในยามที่ว่าง

นายท่านอู๋รับปากอย่างมีไมตรี เอ่ยถามเรื่องผลผลิตในปีนี้ของนายท่านเว่ย

พวกเขาไม่กี่คนพากันพูดคุยขึ้นมา ก่อนพวกคหบดีที่ถูกเชิญมาจะทยอยกันมาอย่างไม่ขาดสาย

ทุกคนต่างทักทายซึ่งกันและกัน

ไม่มีใครสนใจอวี้ถัง

อวี้ถังที่รู้สึกวางใจ ก็ฉวยโอกาสเริ่มสำรวจผู้คน…คนพวกนี้ล้วนเป็นคนมีหน้ามีตาในเมืองหลินอัน ใครจะรู้ว่าภายหลังจะพบเจอเรื่องอะไรให้ช่วยเหลือหรือไม่

ยามที่ใกล้ถึงเวลานัดพบ คนของสกุลหลี่ก็มา

เพราะหลี่อี้รับราชการอยู่ข้างนอก ผู้ที่มาจึงเป็นหลี่ตวนและหลี่จวิ้น

นายท่านอู๋เห็นก็ขมวดคิ้ว เอ่ยถามอวี้เหวินเสียงเบา “เจ้าไม่ได้เชิญบ้านสายตรงของสกุลหลี่หรอกรึ?”

“เชิญแล้ว!” อวี้เหวินเห็นก็ไม่พอใจอยู่บ้าง “ข้าเป็นคนไปเชิญด้วยตัวเอง”

นายท่านอู๋เห็นเช่นนั้นก็ไม่สบอารมณ์เล็กน้อยเช่นกัน “นี่พวกเขาหมายความว่าอย่างไร? ไม่อยากนับตัวเองเป็นคนสกุลหลี่แล้ว?”

ตามหลักแล้ว เกิดเรื่องเช่นนี้ ควรเป็นบ้านสายตรงสกุลหลี่ที่ออกหน้า แต่หลี่ตวนและหลี่จวิ้นมาเช่นนี้ หากไม่ใช่ว่าบ้านสายตรงสกุลหลี่ไม่ให้ความสำคัญเรื่องนี้ ก็คงเป็นเพราะบ้านของหลี่ตวนไม่ให้ความเคารพบ้านสายตรงสกุลหลี่

เพียงแต่ยังไม่ทันที่สองพี่น้องจะเข้ามาใกล้ หลี่เหอก็พยุงบิดามา ซึ่งก็คือคนบ้านสายตรงของสกุลหลี่ ปู่สิบสองของบ้านสายตรงสกุลหลี่สาวเท้าเร็วปรากฏตัวอยู่ที่ตรอกเสี่ยวเหมย

“หลี่ตวน เจ้าคอยพวกเราก่อน!” หลี่เหอตะโกนเสียงดังอย่างกระหืดกระหอบใส่สองพี่น้องหลี่ตวน

หลี่ตวนหันกลับไป สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าใด แต่ยังคงหยุดฝีเท้าไว้

คนที่มาต่างก็เป็นคนผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก แค่เห็นเช่นนี้ก็รู้แล้วว่าบ้านหลี่ตวนไม่ให้ความเคารพบ้านสายตรงแต่อย่างใด

เวลานั้นคหบดีไม่กี่คนก็ซุบซิบกันขึ้นมา “มีเพียงขุนนางขั้นสี่คนเดียวก็เริ่มวางตัวเหิมเกริมเสียแล้ว ดูคนสกุลเผยสิ บ้านไหนบ้างที่ไม่ได้เป็นขุนนาง แต่มีบ้านไหนบ้างกันที่กล้าไม่เคารพบ้านสายตรง!”

“ไม่อย่างนั้นสกุลเผยจะยืนตระหง่านดั่งขุนเขาไม่ล้มมาหลายรุ่นได้อย่างไร!”

อวี้ถังรับฟัง สายตากลับวางอยู่ที่ร่างของหลี่จวิ้น

เพียงเวลาไม่กี่สิบวัน หลี่จวิ้นกลับคล้ายเปลี่ยนไปราวคนละคน ใบหน้าซีดเซียว ท่าทีหม่นหมอง ราวกับต้นไม้ที่ถูกตัดน้ำหล่อเลี้ยง จู่ๆ ก็แก่ขึ้นมากว่าสิบปี อย่างไรก็ไม่อาจกลับมามีชีวิตชีวาเหมือนเมื่อก่อนได้แล้ว

————————-

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ห้วงเวลาบุปผาผลิบานเปลวเพลิงสูงเสียดฟ้า เสียงแตก ‘เปรี๊ยะๆ’ ดังต่อเนื่อง แสงฉาบบนฟากฟ้าที่แดงก่ำไปครึ่งหนึ่ง คลื่นร้อนระอุลูกแล้วลูกเล่าแข่งกันโหมตัวสูง คนที่วิ่งผ่านไปมาล้วนร้องตะโกนว่า “ไฟไหม้! ไฟไหม้!” สองขาของอวี้ถังอ่อนยวบ หากไม่ใช่ซวงเถาประคองนางไว้ เกรงว่านางคงทรุดลงไปกองกับพื้นแล้ว “คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่!” เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ซวงเถาตกใจจนพูดติดขัด “เหตุใดเป็นเช่นนี้? มิใช่ว่าผู้คุมของสกุลเผยกับคนของศาลาว่าการจะมาเดินลาดตระเวนตรวจตราร้านค้าของพวกเขายามดึกหรือ นายท่านสามบอกว่าหน้าร้อนปีนี้จะร้อนหนัก อากาศแห้งแล้ง น่ากลัวจะเกิดไฟไหม้ หลายวันก่อนยังสั่งเป็นพิเศษให้คนวางโอ่งน้ำใหญ่สามสิบแปดใบไว้สองฝั่งของถนนฉางซิ่ง ทุกวันก็ให้เถ้าแก่แต่ละร้านคอยเติมน้ำให้เต็มโอ่ง ถนนฉางซิ่งจะไฟไหม้ได้อย่างไร? แล้วร้านค้าของสกุลเราจะเป็นเช่นไรล่ะเจ้าคะ?” จริงด้วย!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset