ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน – ตอนที่ 74 น่าอับอาย

เพียงแค่คนสกุลหลินคิดว่าบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนที่แบกรับความหวังทั้งหมดของนางไว้ต้องไปใส่ชุดกระสอบเพื่ออุทิศให้แก่ผู้อื่น นางก็รู้สึกเหมือนถูกมีดปักเข้าที่กลางอก ใครจะพูดอย่างไรก็ฟังไม่เข้าหูทั้งสิ้น

นางตบมือลงข้างเตียง กรีดร้องใส่หลี่จวิ้นราวกับหญิงร้ายกาจที่ถูกหลอกเอาเงินไป “ข้าไม่ดื่ม เจ้าไปเรียกพี่ชายเจ้ากลับมาเดี๋ยวนี้! บอกไปว่าข้าป่วยใกล้ตายแล้ว ให้เขามาดูใจข้าเดี๋ยวนี้!”

จะทำเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า?

สกุลเผยเป็นผู้ตัดสิน บ้านสายตรงสกุลหลี่เป็นผู้รับปาก คนทั่วทั้งเมืองหลินอันกำลังจับตาดูอยู่ แล้วจะให้พี่ชายของเขาต้องผิดคำพูดได้อย่างไร!

หลี่จวิ้นคับข้องใจแต่พูดไม่ออก ได้แต่กล่อมมารดาเสียงอ่อนว่า “ท่านแม่ ท่านดื่มยาให้หมดก่อน พอท่านดื่มยาแล้ว ข้าไปตามท่านพี่มาให้ขอรับ!”

“เจ้าต้องไปตอนนี้เลย!” คนสกุลหลินเคยถูกหลอกมาก่อน นางไม่เชื่อใจหลี่จวิ้นอีก “เจ้าไปตามพี่ชายเจ้ากลับมาแล้วข้าค่อยดื่ม”

สองคนต่างยื้อยุดกันอยู่แบบนั้น

คนสกุลหลินด่าทอว่าหลี่จวิ้นอกตัญญู สั่งให้หลี่จวิ้นไปเปลี่ยนตัวกับหลี่ตวน

หลี่จวิ้นก้มหน้าต่ำ ทำเหมือนว่าไม่ได้ยิน

ที่เรือนหลักของสกุลหลี่ จะได้ยินเสียงเกรี้ยวกราดของคนสกุลหลินดังลอยมาเป็นระยะ

อวี้ถังยืนอยู่หน้าโต๊ะใหญ่ในห้องหนังสือ พิจารณาภาพวาด ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ ที่กางอยู่บนโต๊ะอย่างละเอียด

เดิมที นางคิดจะให้สกุลอวี้แยกตัวออกจากเรื่องนี้ ถึงได้เตรียมมอบภาพวาดให้สกุลหลี่ไป

ทว่าตอนนี้ นางไม่ยินยอมแล้ว

สกุลหลี่ฆ่าเว่ยเสี่ยวซาน แต่คิดจะรอดตัวไปง่ายๆ โดยไม่สูญเสียอะไร นั่นไม่มีทางเป็นไปได้หรอก

อวี้ถังแสยะยิ้ม

ความแค้นทั้งสองชาติล้วนผูกโยงจนมาถึงวินาทีนี้แล้ว

หากว่านางไม่อาจล้างแค้นคืนได้ ยังจะเป็นคนต่อได้อีกหรือ!

สกุลหลี่พยายามสุดกำลัง จ่ายค่าตอบแทนด้วยราคาที่สูงลิ่ว คิดหาหนทางไม่หยุดเพื่อเอาภาพผืนนี้กลับไปให้ได้ นางคิดจะแก้แค้นสกุลหลี่ แต่อย่างแรกต้องไม่ดึงสกุลอวี้เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย วิธีที่ดีที่สุดก็เหมือนก่อนหน้านี้คือ ‘มอบ’ ภาพผืนนี้ให้สกุลหลี่เสีย แต่เนื้อหาด้านในของภาพจะยังเหมือนเดิมหรือไม่ คงไม่มีใครกล้ารับประกัน

ทว่าตอนนี้มีจุดที่ยากเย็นอยู่

ตอนที่จะคืนภาพนี้สู่สภาพเดิม นางยังไม่ทันคิดเรื่องนี้ ตอนนี้หากต้องการแก้ไขเนื้อหาภายในภาพ ก็ต้องนำภาพไปเข้าม้วนใหม่อีกครั้ง จิตรกรที่มีฝีมือด้านนี้มีไม่มาก อีกอย่างเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความลับบางอย่าง อาจทำให้ผู้อื่นพลอยลำบากไปด้วย อาจารย์เฉียนก็ไปจากเมืองหังโจวแล้ว วิธีที่ง่ายดายที่สุดกลับเปลี่ยนเป็นยากเย็นที่สุดในทันที

นางต้องคิดหาทางอื่น!

อวี้ถังขังตัวเองในห้องหนังสืออยู่หลายวัน กระทั่งนายหญิงเว่ยมาเป็นแขกที่เรือนเพื่อกล่าวขอบคุณอวี้ถังเรื่องของเว่ยเสี่ยวซาน นางถึงได้วางเรื่องนี้ลงก่อนชั่วคราว แล้วไปสนทนาเป็นเพื่อนนายหญิงเว่ย

“เรื่องของเสี่ยวซาน ข้าได้ยินจากนายท่านเรือนข้าและเสี่ยวชวนแล้ว” นายหญิงเว่ยจับมืออวี้ถังไว้ไม่ยอมปล่อย สีหน้าเปี่ยมด้วยความซาบซึ้ง “ถ้าไม่ได้เจ้า เสี่ยวซานของพวกเราคงจากไปอย่างไม่กระจ่างเช่นนี้ ข้าให้กำเนิดบุตรชายออกมาทั้งหมด จึงอยากมีบุตรสาวเป็นที่สุด หากว่าเจ้าไม่รังเกีจ ก็นับข้าเป็นผู้อาวุโสในเรือนแวะเวียนไปเยี่ยมบ่อยๆ เวลาว่างก็ออกนอกเมืองไปหาข้าได้” พูดถึงตรงนี้ น้ำตาก็ร่วงลงมา

อวี้ถังเดิมก็รู้สึกผิดต่อเว่ยเสี่ยวซานอยู่แล้ว ได้ยินคำนี้ก็หันไปมองคนสกุลเฉินทันที

ทุกครั้งที่คนสกุลเฉินนึกถึงเรื่องนี้ก็มักคิดว่านี่เป็นชะตาที่สวรรค์กำหนด สองครอบครัวเดินสวนกันไปมา สักวันก็คงร่วมทางกันได้ บุตรสาวเหมือนกับสมบัติล้ำค่าในมือ นางไม่ยินดีให้บุตรสาวเรียกใครว่า ‘พ่อบุญธรรม’ หรือ ‘แม่บุญธรรม’ ทั้งนั้น แต่นางกลับต้านทานน้ำตาของนายหญิงเว่ยไม่ไหว ดวงตาจึงรื้นชื้น แล้วผงกศีรษะให้บุตรสาวเบาๆ “นายหญิงเว่ย คำนี้ข้าอยากจะพูดกับท่านนานแล้ว เพียงแต่หลายวันนี้งานล้นมือ จึงไม่มีเวลาได้สนใจ หากว่าท่านไม่รังเกียจ พวกเราก็กราบไหว้กันเป็นพี่น้องร่วมสาบาน ให้บุตรสาวของข้ารับท่านเป็นท่านน้า”

นายหญิงเว่ยเดิมก็ไม่คาดหวังจะให้อวี้ถังยอมรับตนเป็นญาติ พอคนสกุลเฉินพูดออกมาแบบนี้ นางมีหรือจะไม่ตอบตกลง

ผู้ใหญ่สองคนกราบไหว้กันเป็นพี่น้องบุญธรรมในทันที อวี้ถังเปลี่ยนคำเรียกนายหญิงเว่ยเป็น ‘ท่านน้า’ สองสกุลจัดงานเลี้ยงนับญาติกันอย่างเป็นทางการ นายหญิงเว่ยให้เงินอวี้ถังเป็นค่าแก้ชื่อเรียกใหม่ คนสกุลเฉินก็มอบเงินให้เด็กๆ สกุลเว่ยเป็นค่าแก้ชื่อเรียกใหม่เช่นกัน สองสกุลครึกครื้นอยู่หนึ่งวันเต็มๆ

มีเพียงนายท่านเว่ยที่แอบบ่นกับนายหญิงเว่ยเป็นส่วนตัวว่า “สาบานเป็นพี่น้องอะไรกัน? รออีกไม่กี่ปี ไม่แน่อาจให้อาถังแต่งเข้าเรือนเราก็เป็นได้!”

นายหญิงเว่ยร้อง ‘เหอะ’ ใส่นายท่านเว่ยเสียงหนึ่ง “ท่านคิดอะไรอยู่นึกว่าข้าไม่รู้อย่างนั้นสิ? เสี่ยวชวนอายุยังน้อย หากว่าสองคนไม่ชอบพอกันเล่า? เป็นญาติกันดีๆ ไม่ชอบกลัวจะเปลี่ยนเป็นคู่แค้นเสีย เรื่องนี้เจ้าเชื่อข้าเถอะไม่มีผิดแน่”

นายท่านเว่ยไม่พูดต่อ แต่ปรึกษานายหญิงเว่ยเรื่องที่หลี่จวิ้นไปขอโทษสกุลอวี้ว่า “บอกว่าพรุ่งนี้จะไปถึงหน้าประตูใหญ่ พวกเราต้องไปเป็นกำลังเสริมให้สกุลอวี้หรือไม่”

สกุลเขามีบุตรชายมากอยู่แล้ว

“ต้องไปแน่!” นายหญิงเว่ยตอบโดยไม่ต้องคิด “เหตุใดตอนแรกข้าถึงอยากนับญาติกับสกุลอวี้? ก็เพราะเห็นนายท่านอวี้เป็นคนซื่อตรง พวกเราไม่อาจเอาเปรียบพวกเขา หากสกุลหลี่ไปขอโทษสกุลอวี้ที่หน้าประตู แล้วเกิดพูดอะไรไม่น่าฟังขึ้นมา พวกเราก็ไปยืนกันเอาไว้ ผู้อยู่ในเหตุการณ์ย่อมเลี่ยงข่าวลือได้ อย่าให้อาถังต้องทำเรื่องดีๆ แต่กลายเป็นว่าเอาตัวเองเข้ามาพัวพันแทนเลย”

เพราะงานแต่งไม่สำเร็จจึงถูกลักพาตัว เรื่องนี้ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่น่าฟังทั้งนั้น นายหญิงเว่ยกลัวว่าถึงตอนนั้นสกุลหลี่จะเล่นลูกไม้ มิใช่ว่านางตีตนไปก่อนไข้คิดฟุ้งซ่านไปเอง

นายท่านเว่ยคิดว่านายหญิงเว่ยพูดจามีเหตุผล

วันถัดมานายท่านเว่ยก็พาเด็กๆ ทั้งบ้านไปที่เรือนสกุลอวี้

ตอนนี้หลี่ตวนได้ทำกุศลให้เว่ยเสี่ยวซานจบแล้ว ในเมืองหลินอันก็เล่าลือไปต่างๆ นานา แต่ที่พูดกันมากที่สุด ก็คือไม่เสียแรงที่หลี่ตวนเป็นบุตรชายที่โดดเด่นของสกุลหลี่ ไม่เพียงจิตใจกว้างขวาง ทั้งยังเรียบง่ายรู้จักแบกรับ แสดงความเคารพต่อลูกหลานสกุลเว่ยแทนบ่าวไพร่ของสกุลตนที่ทำความผิด เป็นวิญญูชนที่ใจกว้าง เป็นผู้ที่จะทำการใหญ่ในอนาคต

ชื่อเสียงของเขาไม่เสื่อมเสีย ทั้งกลับเพิ่มมากขึ้น

อวี้ถังได้ยินก็รู้ทันทีว่ามีคนของสกุลหลี่ชักนำข่าวลือนี้อยู่เบื้องหลัง

ก็เหมือนกับอุบายที่สกุลหลี่เคยใช้เมื่อชาติก่อน

รอจนหลี่จวิ้นมาขอโทษที่เรือนสกุลอวี้ อวี้ถังเตรียมการรับมือกับสกุลหลี่ โดยขอให้พี่น้องสกุลชวีเชิญสหายมาวนเวียนอยู่รอบๆ หากว่ามีคนพูดจาที่เป็นผลเสียต่อสกุลอวี้ออกมา จะได้แก้ต่างได้ทันท่วงที คาดไม่ถึงว่าพี่น้องสกุลเว่ยจะมาเยือนด้วยเช่นกัน แค่เด็กๆ ร่างสูงใหญ่มายืนอออยู่หน้าประตูสกุลอวี้ คนที่พูดจาพล่อยๆ ก็ลดน้อยลงทันตา มีเพียงหลี่จวิ้นที่โขกศีรษะสามครั้งอยู่ตรงหน้าประตูให้อวี้ถังด้วยสีหน้าแดงก่ำ นับว่าเป็นการขอขมาแล้ว

เดิมทีอวี้เหวินก็มีความรู้สึกที่ดีต่อหลี่จวิ้น บวกกับเรื่องพวกนี้ความจริงก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขา อวี้เหวินไม่อาจแข็งใจเมื่อต้องเห็นหลี่จวิ้นเป็นแพะรับบาปให้สกุลหลี่ รอจนเขาโขกศีรษะครบสามครั้งแล้ว ถึงได้พยุงเขาให้ยืนขึ้น สั่งสอนไม่กี่ประโยคไปว่า “ต่อไปกระทำการใดต้องตรึกตรองให้หนัก” จากนั้นก็เชิญหลี่จวิ้นเข้าไปดื่มชาในเรือน ไม่เพียงไม่สร้างความลำบากให้เขา ทั้งยังหาทางลงให้เขาด้วย

หลี่จวิ้นตื่นตะลึงแต่ก็ดีใจมาก เดินตามอวี้เหวินผ่านประตูไปอย่างงงๆ

คนในเมืองหลินอันจึงเล่าลือถึงสกุลอวี้ในทำนองว่าจิตใจดี มีคุณธรรม

อวี้เหวินไม่ได้รั้งหลี่จวิ้นไว้นาน พอดื่มชา กระทำตามมารยาทอย่างครบถ้วนแล้ว ก็มาส่งหลี่จวิ้นที่หน้าประตู

หลี่จวิ้นบอกลาอย่างเชื่อฟังว่าง่าย พอผ่านประตูไป กลับถูกอวี้ถังเรียกเอาไว้ก่อน

นางถามว่า “ช่วงนี้เจ้ายังขี่ม้าหรือไม่?”

หลี่จวิ้นมองดวงหน้าที่ยังคงงดงามไม่เปลี่ยนของนาง ในใจรู้สึกเจ็บแปลบ พลางตอบด้วยรอยยิ้มขื่นว่า “ช่วงนี้ยุ่ง ไม่มีเวลาไปขี่ม้าหรอก!”

เช่นนั้นก็ดี

เรื่องราวต้องแยกแยะออกจากกัน

อวี้ถังเอ่ยต่อว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ขัดเกลาจิตใจอยู่แต่ในจวน เกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้น ในจวนต้องวุ่นวายไปอีกระยะหนึ่งแน่”

หลี่จวิ้นพยักหน้ารับ แต่ในใจนั้นคิดว่า แทนที่เจ้าจะมาเป็นห่วงข้า สาดเกลือลงบนบาดแผล มิสู้มองข้าด้วยสายตาเคียดแค้นให้ข้าตัดใจได้เสียที

————————————

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ห้วงเวลาบุปผาผลิบานเปลวเพลิงสูงเสียดฟ้า เสียงแตก ‘เปรี๊ยะๆ’ ดังต่อเนื่อง แสงฉาบบนฟากฟ้าที่แดงก่ำไปครึ่งหนึ่ง คลื่นร้อนระอุลูกแล้วลูกเล่าแข่งกันโหมตัวสูง คนที่วิ่งผ่านไปมาล้วนร้องตะโกนว่า “ไฟไหม้! ไฟไหม้!” สองขาของอวี้ถังอ่อนยวบ หากไม่ใช่ซวงเถาประคองนางไว้ เกรงว่านางคงทรุดลงไปกองกับพื้นแล้ว “คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่!” เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ซวงเถาตกใจจนพูดติดขัด “เหตุใดเป็นเช่นนี้? มิใช่ว่าผู้คุมของสกุลเผยกับคนของศาลาว่าการจะมาเดินลาดตระเวนตรวจตราร้านค้าของพวกเขายามดึกหรือ นายท่านสามบอกว่าหน้าร้อนปีนี้จะร้อนหนัก อากาศแห้งแล้ง น่ากลัวจะเกิดไฟไหม้ หลายวันก่อนยังสั่งเป็นพิเศษให้คนวางโอ่งน้ำใหญ่สามสิบแปดใบไว้สองฝั่งของถนนฉางซิ่ง ทุกวันก็ให้เถ้าแก่แต่ละร้านคอยเติมน้ำให้เต็มโอ่ง ถนนฉางซิ่งจะไฟไหม้ได้อย่างไร? แล้วร้านค้าของสกุลเราจะเป็นเช่นไรล่ะเจ้าคะ?” จริงด้วย!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset