ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน – ตอนที่ 78 สอบถาม

หลังจากหลินเจวี๋ยได้รับภาพไป ย่อมหาวิธีนำแผนที่ออกมาแน่

ชาติก่อน คนที่พวกเขาไปหาคืออาจารย์เฉียน

ดังนั้นชาติก่อนบนภาพนั้นจึงมีการลงนาม ‘ชุนสุ่ยถัง’ ของอาจารย์เฉียน ชาตินี้อวี้ถังถึงสามารถมองกลอุบายของสกุลหลี่อย่างทะลุปรุโปร่ง

ยามนี้เพราะมีนางสอดมือ อาจารย์เฉียนเร้นกายห่างจากเมืองหลวง สกุลหลี่ไม่แน่ว่าจะหาเขาพบ

แม้ว่าจะสามารถหาเขาพบ ก็จำเป็นต้องใช้เวลาและกำลังวังชา

เช่นนั้นชาตินี้สกุลหลี่จะหาใครมาแกะภาพนี้กัน?

หรือจะเก็บไว้ในมือศึกษาตรวจดูนานเท่าใดกัน?

อวี้ถังพยายามลองสมมุติตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์นั้น ครุ่นคิดจากมุมมองของสกุลหลี่ อยากคาดเดาว่าก้าวต่อไป สกุลหลี่จะทำอย่างไร แต่ไม่ว่าสกุลหลี่จะจัดการอย่างไร ยามนี้สิ่งที่นางอยากรู้มากที่สุดกลับเป็นเรื่องเบื้องหลังของสกุลหลี่ ตกลงยังมีคนอื่นอีกหรือไม่? แล้วคนนั้นคือใคร?

ต้องรู้ว่า การค้าทางทะเลไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายขนาดนั้น

คนปกติก็ออกเงินร่วมหุ้นเท่านั้น นี่เป็นการหาเงินได้น้อยที่สุด การหาเงินก้อนโตที่แท้จริงกลับมาจากกลุ่มเรือ แต่การรวมกลุ่มเรือหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายขนาดนั้น นอกจากต้องมีเรือ มีคนเรือที่ชำนาญ มีคนขับเรือที่มากประสบการณ์แล้ว ยังต้องมีท่าเรือเป็นของตัวเอง มีคลังสินค้าเป็นของตัวเอง ลงบันทึกกับสำนักตรวจสอบการค้าทางทะเล…อย่างอื่นยังพอว่า มีเงินก็สามารถแก้ปัญหาได้ แต่มีสองสิ่งที่ยากที่สุดในนี้ หนึ่งคือ การลงบันทึกกับสำนักตรวจสอบการค้าทางทะเล นี่จำเป็นต้องมีเส้นสายของขุนนาง สองคือต้องมีคนขับเรือที่เชี่ยวชาญมากประสบการณ์ อย่างแรก จะขาดขุนนางที่สืบทอดหลายยุคหลายสมัยไม่ได้ อย่างหลัง จะขาดเบื้องลึกเบื้องหลังของสกุลไม่ได้

ขุนนางที่สืบต่อมาหลายสมัย สามารถรับประกันได้ ไม่ว่าใครจะเป็นคนคุมอำนาจของสำนักตรวจสอบการค้าทางทะเล กลุ่มเรือล้วนสามารถเข้าถึงบันทึกได้ ผ่านไปโดยไร้อุปสรรค ส่วนสกุลใหญ่ที่มีเบื้องลึกเบื้องหลัง ย่อมจะสามารถอบรมบ่มเพาะหรือมีคนขับเรือที่มากประสบการณ์ได้

ในเมื่อสกุลหลี่ไม่มีขุนนางที่สืบทอดมาหลายยุคสมัย ทั้งไม่มีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ใหญ่โต เมื่อได้ครอบครองแผนที่เดินเรือ พวกเขาจึงทำได้เพียงหาผู้ร่วมมือเท่านั้น ผู้ที่สามารถร่วมมือกับสกุลพวกเขา ก็ต้องเป็นสกุลใหญ่ที่เข้ากับเงื่อนไขสองข้อข้างบนนั้น

ชาติก่อน สกุลหลี่และสกุลหลินร่วมมือกัน ทำกิจการที่ฝูเจี้ยน

ผู้ร่วมมือของพวกเขา แปดถึงเก้าในสิบ ย่อมเป็นสกุลใหญ่ที่อยู่ทางฝูเจี้ยน

ยามนี้อวี้ถังเพียงโกรธตัวเองที่มีชาติกำเนิดธรรมดา สายตากว้างไกลไม่พอ ไร้ทางคาดเดาว่าชาติก่อนสกุลหลี่นั้นร่วมมือกับสกุลใด

นางคิดย้อนกลับไปกลับมา ในหัวก็ยังคงว่างเปล่า ทำได้เพียงไปถามเถ้าแก่ใหญ่ถง “ทางฝูเจี้ยนนั้น มีสกุลเช่นนี้บ้างหรือไม่?”

แม้ว่าเถ้าแก่ใหญ่ถงจะมีประสบการณ์ความรู้กว้างขวาง แต่หากให้เจาะจงไปที่พวกชาวบ้านขุนนางและสกุลใหญ่ทั้งหมด เขายังคงไม่มีความสามารถและความรู้ในด้านนี้มากพอ

เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เรื่องเช่นนี้เกรงว่าทั้งเมืองหลินอัน หรือกระทั่งหังโจวก็คงไม่มีใครตอบท่านได้สักคน ทางที่ดีที่สุดไปถามนายท่านทั้งสองของสกุลเผยเถิด!”

“นายท่านรองสกุลเผยและนายท่านสามสกุลเผยอย่างนั้นรึ?” อวี้ถังมีคำตอบในใจอย่างเลือนรางนานแล้ว เพียงแต่ไม่มั่นใจอยู่บ้าง จึงมาหาเถ้าแก่ใหญ่ถงด้วยหวังว่าจะโชคดี

เถ้าแก่ใหญ่ถงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นอกจากนายท่านสองคนแล้ว หรือคุณหนูอวี้ยังมีตัวเลือกอื่นอีกอย่างนั้นรึ? พวกสกุลกู้ สกุลเสิ่นก็คงรู้เช่นกัน เพียงแต่คุณหนูอวี้ไม่ใช่ญาติ ทั้งไม่คุ้นเคยกับพวกเขา เรื่องเช่นนี้ไม่ใช่ว่าเจอใครก็สามารถรู้ได้ แน่นอนว่านายท่านสกุลเผยทั้งสองย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีอันดับแรก”

อวี้ถังยิ้มขมขื่น

นายท่านรองสกุลเผย นางเพียงเคยเห็นไกลๆ ยามที่แห่ศพท่านผู้เฒ่าสกุลเผยเท่านั้น หากยืนอยู่ตรงหน้านางอีกครั้ง คาดว่านางก็คงไม่รู้จักแล้ว ส่วนนายท่านสามสกุลเผย นางกลับอยากไปหาเขา แต่เขาไม่แน่ว่าจะยอมพบนางน่ะสิ!

ยามนี้อวี้ถังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากใจ

เถ้าแก่ใหญ่ถงเสนอความคิดให้นาง “ไม่อย่างนั้น ให้บิดาท่านไปถามอาจารย์เสิ่นที่สำนักศึกษาประจำอำเภอ? ไม่แน่ว่าเขาอาจจะรู้ก็ได้”

อวี้ถังเบื้องหน้าสว่างวาบขึ้นมา แต่ก็กลัวว่าตัวเองสืบข่าวไปทั่ว ไม่ได้ข้อมูลต้องการ กลับจะพาให้คนอื่นล่วงรู้แผนของตัวเองเสีย

“ข้าขอคิดดูก่อน” นางเอ่ย ก่อนจะบอกลาเถ้าแก่ใหญ่ถง เตรียมจะกลับบ้าน เถ้าแก่น้อยถงก็เดินผ่านไหล่นางไปหาเถ้าแก่ใหญ่ถง “นายท่านสามกลับมาแล้ว เพิ่งถึงท่าเรือ ท่านจะไปทักทายเสียหน่อยหรือไม่!”

“ต้องไปสิ ต้องไปสิ” เถ้าแก่ใหญ่ถงเอ่ยอย่างรีบร้อน

ช่างบังเอิญเสียจริง

อวี้ถังตรึกตรองเล็กน้อย ก่อนจะตามเถ้าแก่ใหญ่ถงไปที่ท่าเรือด้วย “ข้าก็จะไปทักทายนายท่านสามเช่นกัน ไม่กี่วันก่อนหมอหลวงหยางเพิ่งเดินทางไปรักษาท่านแม่”

อาจเป็นเพราะได้รับการกำชับจากสกุลเผย นอกจากหมอหลวงหยางจะรักษาอย่างตั้งอกตกใจกว่าปกติแล้ว ยังเปลี่ยนเทียบยาให้คนสกุลเฉินด้วย หลังจากคนสกุลเฉินกิน ก็ออกปากว่ารู้สึกดีขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด

หากนึกถึงเรื่องนี้ อวี้ถังก็คิดว่าตนเองควรจะเป็นฝ่ายออกตัวขอบคุณเผยเยี่ยนเสียหน่อยจึงจะถูก

เถ้าแก่ใหญ่ถงยิ้มจนตาหยี พาอวี้ถังไปท่าเรือด้วยกัน

ท่าเรือยังคงคึกคักอย่างเช่นเคย ทุกคนเห็นนายท่านสามสกุลเผยก็คำนับให้เขาตั้งแต่ไกลๆ เขากลับเผยหน้าไร้อารมณ์ เย่อหยิ่งเป็นอย่างมาก

อวี้ถังเบะปาก เดินเข้าไปหาพร้อมเถ้าแก่ใหญ่ถง

เผยเยี่ยนเงยหน้าขึ้นก็เห็นอวี้ถัง

ผมสีดำขลับถูกเกล้าเหนือศีรษะ ม้วนเป็นมวยผม สวมชุดบ่าวรับใช้สีน้ำตาลกลางเก่ากลาใหม่ กลับขับผิวขาวของนางให้เนียนละเอียดเกลี้ยงเกลา ใบหน้าพริ้มเพรา ชุดคลุมตัวใหญ่ยิ่งทำให้ส่วนเว้าส่วนโค้งของนางดูเด่นชัดขึ้นไปอีก เดิมทีก็ไม่อาจปกปิดเรื่องที่นางแต่งเป็นผู้ชายแล้ว นางยังเดินลอยหน้าลอยตาไปทั่ว ทำตัวปกติราวกับไม่กลัวว่าคนอื่นจะมองออก

ไฉนนางจึงแต่งกายซี้ซั้วออกจากบ้านเช่นนี้?

ไม่ว่าอย่างไรอวี้เหวินก็ควรตักเตือนเสียหน่อย

เผยเยี่ยนขมวดคิ้ว ไม่รอให้อวี้ถังเดินเข้ามาใกล้ก็แสดงสีหน้าดำทะมึนแล้ว จนอวี้ถังก้าวเข้ามา เขาก็เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก “คุณหนูอวี้ ไฉนเจ้าจึงอยู่ที่นี่? มีเรื่องอะไรให้เถ้าแก่ใหญ่ถงช่วยอย่างนั้นรึ?”

ครั้งแรกที่เขาพบอวี้ถัง อวี้ถังก็ลอยหน้าลอยตาอยู่กับเถ้าแก่ใหญ่ถง

คุณหนูผู้นี้ หากไร้เรื่องร้อนใจก็คงไม่มา

นางย่อมไม่อาจมาหาเถ้าแก่ใหญ่ถงโดยไร้สาเหตุเป็นแน่

อวี้ถังฟังจบก็รู้สึกลิงโลดในใจ

นางกลัวว่าเผยเยี่ยนจะไม่สนใจนาง ขอเพียงแค่เขาทักทายนาง นางก็มีวิธีให้เผยเยี่ยนช่วยเหลือนางแล้ว

“นายท่านสาม” นางก้าวมาข้างหน้าคำนับให้เผยเยี่ยนอย่างกระตือรือร้น “หมอหลวงหยางมาตรวจดูอาการมารดาข้าแล้ว ทั้งยังเปลี่ยนการจ่ายยา สกุลพวกเรายังไม่ได้ขอบคุณท่านดีๆ เลย!”

ขอบคุณย่อมไม่จำเป็น

อย่าได้แอบอ้างสกุลของพวกเขาทำอะไรให้เสื่อมเสียชื่อเสียงสกุลเผยก็เพียงพอแล้ว

หากเป็นคนอื่น เผยเยี่ยนคงจะตักเตือนอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้หน้าแล้ว แต่ก่อนหน้านี้เขาเคยเข้าใจอวี้ถังผิดไป เขาคิดว่าตัวเองควรผ่อนปรนให้อวี้ถังสักหน่อย ถือเสียว่าเป็นการขอโทษ

ดังนั้นแม้ว่าในใจเขาจะไม่พอใจ แต่ก็ยังคงไม่กล่าวอันใด กลับมองพินิจอวี้ถังอย่างละเอียดขึ้นมา

ยามนี้เผยเยี่ยนจึงค่อยพบว่า ดวงตาของอวี้ถังงดงามเป็นอย่างมาก ไม่เพียงดำสนิทและกระจ่างพร่างพราว ยังสดใสแวววาว ราวกับสามารถบอกเล่าเรื่องราวได้

ก็เหมือนในยามนี้ แม้ใบหน้านางจะแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม ดูสุภาพเป็นมิตร แต่ดวงตากลับเผยความเจ้าเล่ห์ออกมาอยู่บ้าง ทำให้เขานึกถึงนางจิ้งจอกที่ชอบล่อลวงคนในหนังสือพวกนั้น…ถึงแม้เขาจะไม่เคยพบนางจิ้งจอกมาก่อนว่าหน้าตาเป็นอย่างไร แต่เขารู้สึกว่า หากมีนางจิ้งจอกอยู่จริง เวลานี้ก็คงจะเป็นลักษณะอย่างอวี้ถังไม่ผิดแน่

ปัญหาคือ แม้เขารู้ว่าอวี้ถังเป็นเหมือนนางจิ้งจอกที่คิดจะวางแผนกับเขา แต่เขาก็ได้ตัดสินใจจะผ่อนปรนให้นางแล้ว เขาคงไม่อาจเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจที่เพิ่งเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน จัดการกับอวี้ถังได้หรอกกระมัง?

เผยเยี่ยนถอยหลังไปเล็กน้อยอย่างเงียบเชียบ “คุณหนูอวี้ เจ้าจะทำอะไร?”

เขาดูแล้วไม่มีอะไรแตกต่างจากยามปกติ แต่อวี้ถังกลับจับสังเกตยามที่เขาลังเลและถอยหลีกในชั่วพริบตาได้อย่างกะทันหัน

อวี้ถังไม่รู้ว่าเหตุใดเผยเยี่ยนจึงเปลี่ยนไปเช่นนี้ แต่นางกลับสัมผัสได้อย่างฉับไว ตั้งแต่ครั้งก่อนที่เผยเยี่ยนช่วยเป็นคนกลางตัดสินความให้สกุลพวกนาง ครั้งนี้เมื่อเผยเยี่ยนพบนางอีกครั้ง กลับแสดงท่าทีอ่อนโยนต่อนางอย่างเห็นได้ชัด

หรือเพราะรู้ว่าก่อนหน้านี้ตัวเองเข้าใจนางผิดไป?

คิดกลับไปกลับมา อวี้ถังกลับไม่อยากเชื่อในโชคดีของตัวเองที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด

นางตัดสินใจคว้าโอกาสครั้งนี้ทันที หาวิธีหลอกล่อให้เผยเยี่ยนพูดสิ่งที่มีประโยชน์ออกมา

“นายท่านสาม ท่านนี่เก่งกาจจริงๆ!” บางทีอาจเพราะก่อนหน้านี้เผยเยี่ยนดูหยิ่งผยองเกินไป ไม่ก็ตำแหน่งของเผยเยี่ยนในเมืองหลินอันสูงเกินไป ทำให้อวี้ถังไร้ทางนำเขา หลี่จวิ้นและพวกเสิ่นฟางมาพูดเปรียบเทียบกัน นางประจบประแจงเผยเยี่ยนโดยไม่มีความกังวลอะไรแม้แต่น้อย อย่างไรสภาพที่เหลือทนที่สุดของนาง เขาก็ล้วนเห็นมาหมดแล้ว นางยังมีอะไรให้ต้องเสแสร้งอีก “หูตากว้างไกลของท่านนี้ มองพริบตาเดียวก็รู้แล้วว่าข้ามาหาท่านเพราะมีเรื่อง”

เผยเยี่ยนเห็นนางพูดตามตรงเช่นนี้ กลับโล่งใจ รู้สึกสบายใจขึ้นมา

สิ่งที่เขากลัวที่สุดคือคนอื่นมักจะอ้อมค้อมกับเรื่องเล็กน้อยพวกนี้กับเขา ไม่รู้ว่าเพราะคิดว่าเขาโง่เขลา หรือคิดจะแสดงความฉลาดต่อหน้าเขา แค่เรื่องเล็กน้อยไม่สลักสำคัญก็ต้องให้เขาเสียแรงเสียเวลาไปคาดเดา อย่างไรพริบตาเดียวก็ถูกเขามองทะลุปรุโปร่งแล้ว

“เจ้าว่ามา!” เผยเยี่ยนเอ่ย

อวี้ถังดีใจอย่างไม่คาดฝัน

นางนึกไม่ถึงว่าเผยเยี่ยนจะเป็นกันเองเช่นนี้

ไม่แน่ว่าเมื่อก่อนนางอาจจะใช้วิธีผิดไป

อวี้ถังครุ่นคิด กลับไม่พูดยืดเยื้อแม้แต่น้อย “ข้าสามารถพูดกับท่านเพียงลำพังสักสองสามคำได้หรือไม่?”

เผยเยี่ยนเห็นคนเดินกันขวักไขว่ที่ท่าเรือ ก็คิดว่าที่นี่ไม่เหมาะสมเช่นกัน แต่เขาเพียงเดินไปด้านข้างไม่กี่ก้าว ยืนหยุดอยู่ใต้ต้นไทรเก่าแก่ เอ่ยขึ้น “เจ้ามีเรื่องอะไรก็พูดมาตามตรงเถิด!”

ท่าทางประหนึ่งเรื่องของนางไม่มีค่าพอให้เขาหาสถานที่ใหม่เสียอย่างนั้น

จองหองลำพองตนเสียจริง!

อวี้ถังอดนินทาในใจไม่ได้ แต่อยู่ใต้ชายคาคนอื่น จำเป็นต้องก้มหัว[1]

นางมีเรื่องต้องขอร้องเขา เพราะนอกจากเขาแล้ว ก็ไม่มีตัวเลือกอื่นที่ดีกว่านี้

“เป็นเช่นนี้” อวี้ถังไม่กล้าบ่น นางกลัวว่าหากตัวเองบ่น โอกาสนี้ก็จะมลายหายไป รีบตามเขาไป เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ดังมาก ระยะไม่ใกล้ไม่ไกล “นายท่านอู๋อยากชวนพ่อของข้าทำการค้าทางทะเล ครั้งที่แล้วข้าไปเรือนท่าน เห็นบานประตูกระจกหลากสีของโถงบุบผาเรือนท่านงดงามจริงๆ…”

นางสังเกตสีหน้าของเผยเยี่ยน

เผยเยี่ยนเพียงฟังไปเฉยๆ ไม่มีท่าทีจะโอ้อวดแม้แต่น้อย

จะเห็นได้ว่า ผู้ที่คิดว่าบานประตูกระจกหลากสีเหล่านี้งดงามคงเป็นท่านผู้เฒ่าสกุลเผย

อวี้ถังก็ไม่มากความ ข้ามประเด็นนี้ไป เอ่ยต่อ “ข้าจึงคิดว่า ท่านอาจจะคุ้นเคยกับพ่อค้าขายสินค้าจากเรือพวกนั้น เลยอยากสอบถามกับท่านสักเรื่อง ทางฝูเจี้ยน มีสกุลขุนนางใดบ้างที่มีกลุ่มเรือเป็นของตัวเอง อยากรู้ว่ากลุ่มเรือของสกุลใดมีฝีมือมากที่สุด ทั้งดูว่าสกุลพวกเราควรจะทำการค้านี้กับนายท่านอู๋หรือไม่”

นางพูดจาซี้ซั้ว เผยเยี่ยนกลับไม่สงสัยแม้แต่น้อย

อวี้เหวินพึ่งพาไม่ได้ ยามที่อวี้เหวินตกหลุมพราง กลับเป็นลูกสาวที่ไปเอาเงินขายภาพวาดคืน เขาก็มีภาพจำตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ร่วมหุ้นการค้าทางทะเล เมืองหลินอันพบไม่มาก แต่ในหังโจว กลับมีคุณหนูมากมายที่ชอบร่วมหุ้นกับกลุ่มเรือเพื่อหาเงินซื้อเครื่องแป้งเครื่องประทินโฉมให้กับตัวเอง คุณหนูใหญ่สกุลอวี้ผู้นี้เป็นคนไม่สงบเสงี่ยม รู้เรื่องนี้ ทั้งเกิดความคิดเช่นนี้ออกมา คงวางแผนเป็นขั้นเป็นตอนแล้วแน่ๆ

ส่วนที่ว่าเรื่องนี้เป็นความคิดของนาง หรือนางอ้างชื่อนายท่านอู๋และอวี้เหวินมา อย่างไรเขาก็ตัดสินใจจะขอโทษนางแล้ว ขอเพียงประโยชน์อยู่ในมือของนางก็เพียงพอ เรื่องเล็กน้อยพวกนี้เขาไม่มีใจอยากจะรู้

“ไฉนเจ้าไม่ร่วมหุ้นกับกลุ่มเรือทางหนิงปัว? กลุ่มเรือทางหนิงปัวส่วนมากทำเกี่ยวกับเครื่องลายครามและผ้าไหม ฝูเจี้ยนและกว่างโจวส่วนมากกลับทำพวกเครื่องลายครามและเครื่องหอม ผ้าไหมและเครื่องลายครามทำง่ายกว่าเครื่องหอมมาก” เผยเยี่ยนเอ่ยออกไปอย่างไม่ใส่ใจนัก จากนั้นก็บอกเรื่องที่อวี้ถังอยากรู้ “ทางฝูเจี้ยน กลุ่มเรือที่ใหญ่ที่สุดเป็นของสกุลเผิงแห่งฝูอัน สกุลพวกเขาคุมอำนาจอยู่ในสำนักตรวจสอบการค้าทางทะเลมาเป็นเวลานานแล้ว มีประสบการณ์เดินเรือกว่ายี่สิบสามสิบปี จนถึงทุกวันนี้ ยังคงเคยเกิดปัญหาเพียงครั้งเดียวเมื่อห้าปีก่อนเท่านั้น แต่ปัญหาครั้งนั้นเกิดขึ้นกับกลุ่มเรือที่ออกทะเลเหมือนกันทั้งหมด ไม่ได้มีเพียงสกุลเผิง หากพวกเจ้าอยากจะร่วมลงทุนกับกลุ่มเรือทางฝูเจี้ยน สกุลเผิงย่อมเป็นตัวเลือกอันดับแรก”

—————————-

[1]อยู่ใต้ชายคาคนอื่น จำเป็นต้องก้มหัว อุปมาว่า ไร้ซึ่งอำนาจ ทำได้เพียงปฏิบัติตาม

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ห้วงเวลาบุปผาผลิบานเปลวเพลิงสูงเสียดฟ้า เสียงแตก ‘เปรี๊ยะๆ’ ดังต่อเนื่อง แสงฉาบบนฟากฟ้าที่แดงก่ำไปครึ่งหนึ่ง คลื่นร้อนระอุลูกแล้วลูกเล่าแข่งกันโหมตัวสูง คนที่วิ่งผ่านไปมาล้วนร้องตะโกนว่า “ไฟไหม้! ไฟไหม้!” สองขาของอวี้ถังอ่อนยวบ หากไม่ใช่ซวงเถาประคองนางไว้ เกรงว่านางคงทรุดลงไปกองกับพื้นแล้ว “คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่!” เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ซวงเถาตกใจจนพูดติดขัด “เหตุใดเป็นเช่นนี้? มิใช่ว่าผู้คุมของสกุลเผยกับคนของศาลาว่าการจะมาเดินลาดตระเวนตรวจตราร้านค้าของพวกเขายามดึกหรือ นายท่านสามบอกว่าหน้าร้อนปีนี้จะร้อนหนัก อากาศแห้งแล้ง น่ากลัวจะเกิดไฟไหม้ หลายวันก่อนยังสั่งเป็นพิเศษให้คนวางโอ่งน้ำใหญ่สามสิบแปดใบไว้สองฝั่งของถนนฉางซิ่ง ทุกวันก็ให้เถ้าแก่แต่ละร้านคอยเติมน้ำให้เต็มโอ่ง ถนนฉางซิ่งจะไฟไหม้ได้อย่างไร? แล้วร้านค้าของสกุลเราจะเป็นเช่นไรล่ะเจ้าคะ?” จริงด้วย!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset