องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ – ตอนที่ 2 เข้าพระราชวังเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิอวี้ตี้

ฉีเฟยอวิ๋นลืมตาขึ้นช้าๆ มองบุคคลที่อยู่ตรงหน้า

เขาไม่เหมือนกับทหารธรรมดาทั่วไป ฉีจือซานมีรูปร่างที่ได้สัดส่วน สูงยาวเข่าดี หน้าตาหล่อเหลา ถึงแม้ว่าเกินกว่าครึ่งร้อยปีแล้ว แต่รูปลักษณ์ภายนอกของเขามีความสง่างาม ท่าทางที่เขาทะนุถนอมฉีเฟยอวิ๋นนั้น เหมือนพ่อแม่ทั่วไปที่เป็นห่วงลูก

ฉีเฟยอวิ๋นไม่พูดไม่ได้เลยว่า ท่านพ่อของเจ้าของร่างเดิมนี้ นอกจากจะร้องไห้คร่ำครวญ อย่างอื่นไม่มีอะไรจะพูดจริงๆ เขาเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ วีรบุรุษเก่งกล้า และเป็นบุคคลที่มิได้แต่งงานรอบที่สอง โชคชะตาของเจ้าของร่างเดิม ก็ไม่มีใครแล้ว!

ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น มีท่านพ่อที่ร้องไห้คร่ำครวญเช่นนี้ เจ้าของร่างเดิมจะดีไปที่ไหนได้? ฉีเฟยอวิ๋นเข้าใจแจ่มแจ้งอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นที่เจ้าของร่างเดิมก่อเรื่องฉาวโฉ่ ทั้งหมดมาจากที่ท่านพ่อคนนี้รักเอ็นดูทะนุถนอมมาก

แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ฉีเฟยอวิ๋นนึกถึงตอนที่ฉีจือซานรักเอ็นดูทะนุถนอมเจ้าของร่างเดิม ก้นบึ้งหัวใจยิ่งรู้สึกอ่อนไหว

ตัวเป็นทหาร เดิมก็ไม่ได้ประณีตละเอียดอ่อน บวกกับทั้งวันที่ต่อสู้ฆ่าฟัน จะมีเวลาที่ไหนเล่าที่จะมาอบรมเจ้าของร่างเดิม สำหรับการชดเชยนั้นแล้ว พอเจ้าของร่างเดิมขอร้องก็ยิ่งรับปากทันทีเลย นี่ถึงเป็นสาเหตุทำให้เจ้าของร่างเดิมเสื่อมเสียชื่อเสียง

ในหัวของฉีเฟยอวิ๋นเสียงดังกระหึ่ม ได้ยินเสียงร้องไห้ของฉีจือซานดังจนทนไม่ไหว เลยดึงฉีจือซานแล้วกล่าวว่า “ท่านพ่อ ข้ามิได้เป็นอันใดเลย ข้าเพียงแค่กลับมาถามเจ้าค่ะ”

ท่านแม่ทัพฉีชะงักงัน กล่าวว่า “ถามอะไรกันหรือ?”

ชั่วพริบตาเดียวน้ำตาของฉีจือซานได้เหือดแห้งไปจนหมด อีกนิดหนึ่งฉีเฟยอวิ๋นจะหลุดหัวเราะออกมาแล้ว เป็นท่านพ่อที่ไม่เลวเลย สิ่งที่ต้องการท่านก็ให้ คำพูดคำเดียวของเธอก็สามารถทำให้เขาหยุดร้องไห้ทันที ท่านพ่อแบบนี้ เห็นพบเจอได้น้อยในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด

ฉีเฟยอวิ๋นจงใจทำเป็นงงงวย กล่าวว่า “ท่านอ๋องเย่ถอดตำแหน่งพระชายาของข้าแล้ว ลดให้เป็นนางสนม ท่านพ่อ นางสนมคืออะไรหรือเจ้าคะ”

“เจ้าว่าอย่างไรนะ?”

ดวงตาของท่านแม่ทัพฉีจ้องเขม็งด้วยความเดือดดาล กล่าวว่า “ทำได้ดีท่านอ๋องเย่ ตัวข้าดีกับท่านไม่น้อย คาดไม่ถึงว่าจะทำเช่นนี้กับข้าได้ ข้าต้องการเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิอวี้ตี้!”

“ท่านพ่อ ! ช้าก่อนเจ้าค่ะ!”ฉีเฟยอวิ๋นดึงฉีจือซานไว้

ความโหดเหี้ยมของหนานกงเย่ เธอเคยได้พบเห็นแล้ว และท่านพ่อผู้นี้ก็ดูไม่ค่อยจะฉลาด อย่าใจร้อนให้ของแข็งไปชนกันเลย ถึงเวลานั้นคนที่เสียเปรียบคือคนของตนเอง

แต่ทว่าฉีจือซานคิดว่าฉีเฟยอวิ๋นยังเหมือนเมื่อก่อนที่ยังรักหลงใหลหนานกงเย่อยู่ สงสารเห็นใจพระสวามีตนเอง เลยรีบกล่าวปลอบใจว่า “เจ้าวางใจ ข้าเพียงแค่พูด ไม่มีทางให้องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ตัดหัวท่านอ๋องเย่หรอกนะ”

“ท่านพ่อ ข้าไม่ได้หมายความว่าเช่นนั้น วันนี้ข้าเป็นเช่นนี้ เกรงว่าจะกลายเป็นเรื่องตลกขบขัน แทนที่ข้าจะถูกท่านอ๋องเย่ทอดทิ้ง มิสู้กับทางฝ่ายเรายกเลิกงานอภิเษกสมรสเองนะเจ้าคะ อย่างนี้ยังจะสามารถรักษาเกียรติครั้งสุดท้ายของข้าไว้ได้”ฉีเฟยอวิ๋นจงใจกล่าวอย่างเหนื่อยล้าอ่อนแรง อย่างน่าสงสารและบริเวณหางตามีน้ำตาหยดย้อยลงมาด้วย

ท่านแม่ทัพฉีเจ็บปวดใจ คิดถึงเวลาที่ปกติไม่มีพิษภัย ลูกสาวของตนเป็นผู้ที่ไม่กลัวฟ้ากลัวดิน ไม่นึกเลยว่าเพื่อชายคนหนึ่งแล้วจะเป็นเช่นนี้

เลยรีบกล่าวให้คำมั่นสัญญาว่า “ข้าจะไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ ให้ยกเลิกงานอภิเษกสมรส ส่วนบุคคลที่ทำผิดเลวทรามนั้น รอยกเลิกงานอภิเษกสมรสเสร็จแล้วเรียบร้อย ข้าจะไปตัดทิ้งให้พิการ ทำให้ชาตินี้เป็นบุคคลพิกลพิการ”

ท่านแม่ทัพฉีแค้นเคืองไม่หยุด เมื่อมองเห็นลูกสาวของตนถูกกระทำเลวทราม!

“ท่านพ่อ ข้าเข้าใจแล้ว การทำอะไรโดยฝืนใจอีกฝ่ายย่อมได้รับผลลัพธ์ที่ไม่ดี ตอนนี้ข้าเพียงแค่ต้องการอยู่ที่จวนกับท่านพ่อ ไม่เอ่ยถึงเรื่องการอภิเษกสมรสชั่วคราวนะเจ้าคะ แต่ว่าองค์จักรพรรดิอวี้ตี้เพิ่งรับสั่งให้ข้าอภิเษกสมรส เวลานี้ก็ต้องการยกเลิกเกรงว่าจะทำได้ไม่ง่าย ท่านพ่อตอนที่ท่านไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ต้องสังเกตสีหน้าและการพูดด้วยนะเจ้าคะ หากว่าหนานกงเย่ไม่เอ่ยถึงข้า ท่านก็ไม่ต้องเอ่ยนะเจ้าคะ แต่ทุกวันที่ท่านเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ ต้องแสดงออกด้วยท่าทีที่โศกเศร้า อาลัยอาวรณ์นะเจ้าคะ เช่นนี้ องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ถึงจะเข้าใจว่าท่านพ่อโศกเศร้ามาก ตอนที่ยกเลิกงานอภิเษกสมรสถึงจะง่ายดายเจ้าค่ะ”

ฉีจือซานรู้สึกว่าวันนี้ลูกสาวมีบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิม แต่ก็พูดออกมาไม่ได้ว่าไม่เหมือนตรงจุดไหน เขามองสายตาของฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกมีความแปลกประหลาดเล็กน้อย

ฉีเฟยอวิ๋นสัมผัสได้ว่าไม่ชอบมาพากล เลยกล่าวขึ้นทันทีว่า”ท่านพ่อ หนานกงเย่ปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้ ข้าไม่อาลัยอาวรณ์อีกแล้ว พวกเราเป็นจวนแม่ทัพที่สง่าฮึกเหิม ไม่สามารถที่จะให้คนมากลั่นแกล้งรังแกได้นะเจ้าคะ ไม่เพียงแค่เรื่องของข้านะเจ้าคะ ยังทำลายความน่าเกรงขามของท่านพ่อด้วย”

พอท่านแม่ทัพฉีฟัง น้ำตาไหลรินลงมา กล่าวว่า “ลูกรักของข้า ไม่ร้องไห้นะ”

“ท่านพ่อก็อย่าร้องไห้ ท่านพ่อ ท่านเก็บเรื่องนี้ไว้ก่อนนะเจ้าคะ ข้ากลัวว่าจะถูกคนกล่าวติฉินนินทาเจ้าค่ะ”

ฉีจือซานพยักหน้า”ข้ารู้แล้ว อย่างนั้นเจ้าก็นอนพักผ่อนเถิดนะ ข้าจะเก็บเรื่องนี้ไว้”

หลังจากที่ฉีจือซานออกไปแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นมองตามหลังเขาด้วยความเหม่อลอย

ท่านพ่อที่อ่อนโยนไร้เดียงสาเช่นนี้ เป็นตำแหน่งท่านแม่ทัพได้อย่างไรกันนะ? หรือว่าเพียงแค่อาศัยความกล้าหาญกับจิตใจซื่อสัตย์?

นึกว่าจวนท่านแม่ทัพจะมีบุคคลที่สามารถพึ่งพาอาศัยได้ ตอนนี้ดูเหมือนว่าต้องคิดหาหนทางด้วยตัวเองแล้ว กลุ้มใจ!

หลังจากนั้นครึ่งเดือน

ภายในพระราชวังมีการจัดงานเลี้ยง และได้รับสั่งให้คุณชายคุณหนูของแต่ละตระกูลเข้าวังมาเพื่อเข้าเฝ้าองค์จักรรพรรดิอวี้ตี้ ในนั้นรวมถึงฉีเฟยอวิ๋นด้วย

ท่านแม่ทัพฉีกลับถึงจวนท่านแม่ทัพ ก็ได้บอกกล่าวเรื่องนี้กับฉีเฟยอวิ๋นว่า “วันนี้ข้าเจอชายสารเลวนั่นแล้ว อาศัยว่าเป็นพระอนุชาขององค์จักรพรรดิอวี้ตี้ ไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา น่าโมโหเสียจริงๆ!”

“ท่านพ่อ ข้างดงามเช่นนี้ ท่านยังกังวลว่าจะหาคู่ครองไม่ได้หรือเจ้าคะ?”

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่าเป็นเช่นนี้ดีแล้ว

“แต่ว่า………”ท่านแม่ทัพฉีกำลังจะกล่าวพูดแล้วหยุดชะงัก ฉีเฟยอวิ๋นเข้าใจ รีบกล่าวทันทีว่า “ท่านพ่อ วางใจเถอะเจ้าค่ะ อาศัยบารมีของท่านพ่อ เพียงแค่ข้าออกมาได้ ก็จักต้องมีคนที่มาสู่ขอข้า”

ท่านแม่ทัพฉีมิได้มีความรู้สึกยินดีเลย เขาพยายามยิ้มให้กับฉีเฟยอวิ๋น

วันต่อมา ทั้งสองพ่อลูกได้เดินทางเข้าพระราชวังเพื่อร่วมงานเลี้ยง

รถม้ามาถึงประตูวัง มีคนเริ่มพูดวิจารณ์กัน ไม่รู้ว่าผู้ใดกันที่พูดปล่อยข่าวลือออกไป ว่าวันงานอภิเษกสมรสในวันนั้นฉีเฟยอวิ๋นถูกส่งกลับจวนท่านแม่ทัพ คนทั้งเมืองหลวงต่างรู้กันไปทั่ว

“ได้ยินมาว่าวันนั้นท่านอ๋องเย่ส่งนางกลับไป”

“ก็นั่นนะสิ คนในจวนท่านอ๋องเย่พูดว่าฉีเฟยอวิ๋นทำเพื่อที่จะให้ท่านอ๋องหลงรักเอ็นดู เพื่อที่จะได้ครอบครองท่านอ๋องเย่เลยต้องใช้ยาเชียวนะ”

ท่านแม่ทัพฉีโกรธจนต้องการเข้าไปโต้เถียง กลับถูกฉีเฟยอวิ๋นดึงรั้งไว้ แล้วกล่าวว่า “ท่านพ่อ วันนี้พวกเรามาทำอะไรกันที่นี่เจ้าคะ ท่านจำไม่ได้แล้วหรือ?”

ท่านแม่ทัพฉีมองลูกสาวที่เป็นเหมือนชีวิต เลยพยักหน้าตอบรับและควบคุมอารมณ์โทสะของตนเอง

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่า เขาผู้นี้ช่างไร้เดียงสาเหลือเกิน

ท่านแม่ทัพอายุสามสิบกว่าปีถึงได้แต่งงานมีฮูหยิน ผลสรุปเมื่อฮูหยินคลอดลูกสาวแล้วก็ได้จากไป ตั้งแต่นั้นมาท่านแม่ทัพได้กลายเป็นบุคคลที่รักทะนุถนอมลูกสาวเป็นอย่างมาก รักทะนุถนอมมากเป็นพิเศษ

เพิ่งเข้ามาในพระราชวัง ฉีเฟยอวิ๋นก็ถูกสองคนที่อยู่บริเวณไม่ไกลดึงดูดความสนใจไป

หนึ่งในนั้น กลายเป็นขี้เถ้าเธอก็รู้จัก ไม่ใช่ท่านอ๋องหนานกงเย่แล้วจะยังมีใครหรือ?

ส่วนอีกคนที่แต่งชุดสวยเรียบนั้น สวมใส่ชุดจีนโบราณสีชมพู ก็น่าจะเป็นเฉินอวิ๋นเอ๋อร์หญิงงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง นางเป็นลูกสาวของอัครเสนาบดีที่เกิดจากภรรยาเอก

เวลานี้ทั้งสองคนกำลังพูดคุยหัวเราะกันอยู่ใต้ต้นไม้ มองทั้งสองคนเช่นนั้นแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็เข้าใจแจ่มแจ้งว่าเจ้าของร่างเดิมโชคร้ายเพียงใด

เพิ่งจะอภิเษกสมรสก็โดนสวมเขาเสียแล้ว!

“องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ขอเชิญใต้เท้า คุณชาย คุณหนูเข้าร่วมงานเลี้ยงแล้วขอรับ”

ขันทีกงกงประกาศออกมา แล้วทุกคนต่างหันไปมองตามเสียง บังเอิญกับที่หนานกงเย่เหลือบตามา ประจวบเหมาะกันกับฉีเฟยอวิ๋น

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ
Status: Ongoing
อ่านนิยายองค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ ในช่วงเหมันตฤดูหิมะโปรยปราย ลมหนาวเหน็บเข้ากระดูก ณ เมืองต้าเหลียง ภายในจวนของท่านอ๋องยุ่งวุ่นวายกันไม่ได้พักเลย เพราะงานอภิเษกสมรสครั้งใหญ่ของท่านอ๋องเย่นั้น พระชายาเย่ของท่านอ๋องเย่ได้สิ้นพระชนม์ลงอย่างกะทันหัน จนถึงวันนี้ยังไม่ฟื้นคืนชีพขึ้นมา "ท่านอ๋อง พระชายาสิ้นพระชนม์แล้วพ่ะย่ะค่ะ "หมอหลวงภายในจวนพิสูจน์ครั้งแล้วครั้งเล่าแล้ว จึงได้กราบทูลต่อท่านอ๋องเย่หรือหนานกงเย่ ตรงบริเวณลูกกรงหน้าต่าง หนานกงเย่มีสีหน้าเย็นชา สวมใส่ชุดจีนโบราณสีแดงสด ศีรษะสวมใส่มงกุฎทองคำ และยืนเอามือไขว้หลังอยู่เป็นเวลานาน เมื่อได้ยินคำกราบทูลนั้น เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่คละเคล้าไปด้วยความสิ้นหวังว่า "ในเมื่อยังไม่ทันได้เริ่มใช้ชีวิตร่วมกันก็เป็นเยี่ยงนี้แล้ว เช่นนั้นก็ส่งกลับไปเสียเถิด ดูเหมือนว่าข้าจะไม่มีวาสนาที่จะได้มีความสุขแล้วล่ะ!" ฉีเฟยอวิ๋นถูกชายหนุ่มที่มีน้ำเสียงนุ่มนวลไพเราะทำให้ตื่น เลยพลิกตัวแล้วเปล่งเสียงออกมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset