อัจฉริยะสมองเพชร – ตอนที่ 1888 พบนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงอีกครั้ง

“หรือว่าปรมาจารย์ขงไม่ได้เป็นผู้สร้างอาณาจักรคุนฉื่อ?” จางเซวียนครุ่นคิด

เขารู้ตั้งแต่ก่อนจะมาถึงที่นี่แล้วว่าร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์แยกตัวจากทวีปแห่งปรมาจารย์เข้ามาพำนักในโลกใบย่อมที่ปรมาจารย์ขงสร้างขึ้น นี่คือเหตุผลที่เขาไม่ประหลาดใจนักเมื่อได้เห็นอาณาจักรคุนฉื่อหลังจากทำลายฉนวนได้สำเร็จ แต่แผ่นหินที่อยู่ตรงหน้ากำลังบอกเขาว่าเรื่องราวไม่ได้เป็นแบบนั้น

โลกขนาดย่อมใบนี้ดูจะมีอยู่ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ ไม่ใช่การรังสรรค์ของปรมาจารย์ขง

เรื่องราวของปรมาจารย์ขงหยุดอยู่เท่านี้ เป็นไปได้ไหมว่าอาณาจักรคุนฉื่อจะมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับมิติเบื้องบน?

จางเซวียนขมวดคิ้วและเดินหน้าต่อไป

ที่ปลายสุดทางเดินคือห้องโอ่อ่าหรูหราที่เต็มไปด้วยจิตรกรรมฝาผนัง ภาพวาดเหล่านั้นแสดงถึงคุณงามความดีมากมายที่ผู้เชี่ยวชาญหลายรุ่นของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ได้สร้างไว้หลังจากเข้าสู่ โลกขนาดย่อมใบนี้

เป็นอย่างที่จางเซวียนคาดเดาไว้ ข้าวสาลีแตกยอดถูกบ่มเพาะโดยนักปราชญ์โบราณคนหนึ่ง แต่ไม่ใช่นักปราชญ์โบราณจื้อฉื่ออย่างที่จางเซวียนเคยคิด กลับเป็นทายาทคนหนึ่งของเขา ต้องใช้เวลาถึงหลายหมื่นปีกว่าจะปรับปรุงดัดแปลงมันจนกลายเป็นพืชมหัศจรรย์ขนาดนี้ พืชที่ทำให้ แม้แต่คนธรรมดาสามัญมีวรยุทธขั้นจงซรือได้เมื่อมีอายุมากพอ

แน่นอนว่าอานุภาพของมันไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านั้น ด้วยการยกระดับสภาวะร่างกายของพวกเขา มันยังทำให้นักรบสามารถพัฒนาวรยุทธได้เร็วกว่าปกติด้วย

หลังจากกวาดสายตาไปทั่วจิตรกรรมฝาผนังที่ติดตั้งอยู่ จางเซวียนยิ่งงุนงงสับสนมากขึ้น

ในภาพเหล่านั้นไม่มีข้อมูลอะไรที่เกี่ยวข้องกับปรมาจารย์ขงเลย ดูราวกับว่าปรมาจารย์ขงหายตัวไปจากโลกนี้แล้วอย่างสิ้นเชิงจนไม่หลงเหลือรายละเอียดอะไรเกี่ยวกับเขาอีกแล้ว

จางเซวียนเดินไปจนสุดทางและเดินวนไปมาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ไม่มีอะไรให้เห็น

เขาอดถอนหายใจอย่างจนปัญญาไม่ได้

ดูเหมือนการสืบเสาะของเขาจะมาถึงทางตันเสียแล้ว

จางเซวียนส่ายหน้าและกำลังจะออกจากหอบรรพบุรุษนักปราชญ์เพื่อไปสำรวจพื้นที่อื่นๆของสำนักแห่งขงจื๊อ ก็พอดีกับที่รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงรีบหลบเข้าไปที่มุมห้อง พร้อมกันนั้นก็สร้างฉนวนขึ้นมา 12 อันเพื่อปกป้องตัวเอง ทำให้ร่องรอยทั้งหมดของเขาหายไป

ฟึ่บ!

เพียงวินาทีเดียวหลังจากอำพรางตัวสำเร็จ เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นกลางอากาศ ผู้คนมากมายกำลังมุ่งหน้ามายังหอบรรพบุรุษนักปราชญ์

จางเซวียนแอบมองจากจุดที่เขาซ่อนตัวอยู่ ผู้ที่เดินนำหน้ากลุ่มนั้นมีใบหน้าคุ้นตาอย่างน่าประหลาด…นักปราชญ์โบราณเหยียนชิง!

ทั้งกลุ่มที่ตามหลังอีกฝ่ายมาล้วนแต่อยู่ในความทรงจำของเขา ทุกคนมีส่วนร่วมในการเข้าตีวงล้อมอำมาตย์เฉินหย่งเมื่อครั้งอยู่ที่วิหารแห่งขงจื๊อ

ด้วยความแข็งแกร่งของจางเซวียนในตอนนี้ บวกกับความเข้าใจเรื่องกฎเกณฑ์แห่งมิติของเขา ตราบใดที่เขาไม่ปลดปล่อยรังสีออกมาหรือตั้งใจสื่อสารกับใคร ก็สามารถอำพรางตัวได้แม้แต่จากสายตาของเหล่านักปราชญ์โบราณ

พวกเขาดูหน้าตาไม่ค่อยดีเลย…

ครั้งแรกที่จางเซวียนได้พบคนเหล่านี้ที่วิหารแห่งขงจื๊อ ทุกคนแผ่รังสีแผดกล้าของนักปราชญ์โบราณออกมา เป็นรังสีที่บีบบังคับให้ใครต่อใครต้องก้มหัวให้กับอำนาจของพวกเขา แต่ตอนนี้ แต่ละคนดูราวกับต้นไม้ใหญ่ที่กำลังเหี่ยวแห้ง ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์หน้าตาหรือรังสีที่แผ่ออกมา ก็ดูเหมือนว่าทั้งกำลังวังชาและความสดชื่นมีชีวิตชีวาถูกดูดออกจากร่างไปจนหมดเกลี้ยง

นี่คือบางอย่างที่เขาเคยรู้สึกได้จากจางหงเทียนเมื่อครั้งที่อายุขัยของอีกฝ่ายสิ้นสุด

สงสัยเหลือเกินว่ามีอะไรผิดพลาด…จางเซวียนจ้องมองและครุ่นคิด

จริงอยู่ว่าการต่อสู้กับอำมาตย์เฉินหย่งในครั้งนั้นดุเดือดมาก และหลายๆคนในกลุ่มนี้ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่อาการบาดเจ็บของพวกเขาก็ไม่ได้รุนแรงเหมือนจางหงเทียน น่าจะเยียวยาตัวเองจนกลับมาแข็งแกร่งดังเดิมได้หากมีเวลามากพอ

ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมทุกคนถึงยังอยู่ในสภาพนี้ทั้งที่เวลาผ่านไปก็หลายเดือนแล้ว?

โดยเฉพาะกับนักปราชญ์โบราณเหยียนชิง สีหน้าของเขาบ่งบอกความอ่อนล้า แววตาที่เคยมีชีวิตชีวากลับหมองไป การเคลื่อนไหวก็ออกจะติดขัด ดูราวกับใกล้จบชีวิตเต็มที

“แค่ก! แค่ก!”

ขณะที่จางเซวียนกำลังพยายามขบคิดว่าเกิดอะไรขึ้น เสียงไอก็ดังขึ้นกลางอากาศ จากนั้นเลือดสุดๆก็ไหลซึมออกจากมุมปากของนักปราชญ์โบราณเหยียนชิง

“เหยียนชิง…” นักปราชญ์โบราณคนหนึ่งที่อยู่ข้างหลังมองเขาอย่างเป็นห่วง

“ผมยังไหว…” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงยกมือขึ้นและตอบอย่างอ่อนระโหย เขารวบรวมพละกำลังเฮือกสุดท้ายแล้วหันกลับมาพูด “หลังจากคารวะแล้ว พวกเราก็เริ่มกันเถอะ”

“คุณแน่ใจนะว่าอยากทำแบบนี้?”

“ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนี่ นี่คือภารกิจที่ร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ได้รับมอบหมาย พวกเราจะละทิ้งความรับผิดชอบของเราไม่ได้” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตอบด้วยสีหน้าที่อ่านได้ยากว่าเขาคิดอะไรอยู่

เขาส่ายหัว จากนั้นก็เดินเข้าหารูปปั้นปรมาจารย์ขงและทรุดตัวลงคุกเข่า นักปราชญ์โบราณคนอื่นๆรีบทำตาม

“เรียนท่านครูบาอาจารย์ของโลกผู้เก่งกาจ ผมคือทายาทรุ่นที่ 73 ของนักปราชญ์โบราณจื่อหยวน, เหยียนชิง ผมได้ทำตามคำสอนของคุณและรักษาภาระหน้าที่มาตลอดระยะเวลาหลายปี ไม่มีสักวันที่ผมจะละเลย ด้วยการปรากฏขึ้นของวิหารแห่งขงจื๊อ ผมรู้ดีว่าพวกเรามาถึงจุดแตกหักที่เหล่าบรรพบุรุษเคยเตือนเอาไว้ และถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะทำหน้าที่ในส่วนของเราที่มีต่อโลกใบนี้ เราเต็มใจที่จะสละชีวิตของเราให้กับโลก เพราะฉะนั้น ถ้าคุณได้ยินเสียงอ้อนวอนของพวกเราจากเบื้องบน ผมขอวิงวอนให้คุณดูแลตระกูลของพวกเราด้วย หลังจากที่เราจากโลกนี้ไปแล้ว!”

คำพูดของนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงแสนจะเคร่งเครียด ราวกับเขาพร้อมใจรับจุดจบของชีวิต

รูปปั้นปรมาจารย์ขงยืนนิ่งอยู่กับที่ ความเงียบงันอบอวลไปทั่ว

หลังจากอ้อนวอนแล้ว ทั้งกลุ่มก็ลุกขึ้นยืน แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงดูจะอ่อนระโหยกว่าเดิมขณะพูดว่า “ไปกันเถอะ”

“ได้”

ความสิ้นหวังปรากฏในแววตาของเหล่านักปราชญ์โบราณผู้สูงส่งและทรงพลังเหล่านั้น แต่พวกเขาก็ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ทุกคนตามหลังนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงไปอย่างเงียบๆ

จุดแตกหัก? สละชีวิตของพวกเขา?

ไม่นานหลังจากบรรดานักปราชญ์ของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์จากไป จางเซวียนก็ปลดฉนวนที่อยู่รอบตัวออกขณะก้มหน้าลงครุ่นคิด

ภายใต้สถานการณ์ปกติ นักปราชญ์โบราณเหล่านี้ควรจะกลับสู่ภาวะจำศีลแล้ว ทำไมจู่ๆถึงมาเยี่ยมเยียนหอบรรพบุรุษนักปราชญ์และพูดอะไรแบบนั้นออกมา แล้วยังอาการบาดเจ็บของพวกเขาอีกล่ะ?

เรื่องสุดท้ายที่จางเซวียนได้ข่าวมาก็คือพวกเขากำลังวุ่นวายอยู่กับการซ่อมแซมวิหารแห่งขงจื๊อ หรือว่าจะมีอันตรายบางอย่างในการซ่อมแซมวิหารแห่งขงจื๊อ?

จางเซวียนเก็บงำความสงสัยไว้ จากนั้นก็รีบตามทั้งกลุ่มไป

“หอกสวรรค์กระดูกมังกร ช่วยปกปิดรังสีของผมให้หน่อย”

หอกสวรรค์กระดูกมังกรรีบแปรสภาพเป็นเข็มขัดที่รัดรอบเอวของจางเซวียน ในชั่วพริบตา ก็ดูเหมือนร่างของจางเซวียนจะหดลงเล็กน้อย ไม่มีร่องรอยของรังสีแผ่ออกจากตัวเขา ถึงขนาดที่ต่อให้นักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดก็ไม่อาจรับรู้การปรากฏตัวของเขาได้

แม้ประสิทธิภาพการต่อสู้ในปัจจุบันของจางเซวียนจะทัดเทียมกับนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ได้ก้าวข้ามขั้นสุดท้ายเพื่อฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณ ดังนั้นการควบคุมพละกำลังของเขาจึงยังคงอ่อนด้อยอยู่ หากปราศจากปราการหลายต่อหลายชั้น ก็ไม่มั่นใจว่าจะเก็บงำรังสีไว้ได้ดีพอที่จะสะกดรอยตามเหล่าผู้เชี่ยวชาญไปได้โดยไม่ทำให้พวกเขารู้ตัว

แต่หอกสวรรค์กระดูกมังกรได้ดื่มเลือดมังกรและอยู่ห่างอีกเพียงก้าวเดียวจากการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติ ในแง่ของประสิทธิภาพการต่อสู้ มันแข็งแกร่งยิ่งกว่านักปราชญ์โบราณเหยียนชิงเสียอีก ด้วยการช่วยเหลือของมัน เป็นไปได้ว่านักปราชญ์โบราณเหล่านั้นคงไม่สามารถรับรู้การปรากฏตัวของเขา

เมื่อออกจากหอบรรพบุรุษนักปราชญ์ จางเซวียนเห็นนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงโผขึ้นสู่กลางอากาศและฉีกกระชากมิติออกเพื่อเดินทางไปที่อื่น เขารีบตามไปติดๆ

ครู่ต่อมา พวกเขาก็มาถึงแท่นบูชาที่อยู่กลางสันเขาห่างไกล ท้องฟ้าเบื้องบนว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่หมู่เมฆหรือสีฟ้าให้เห็น มันคือความว่างเปล่าอย่างสิ้นเชิง

กระแสของมิติที่นี่ช่างรวดเร็วเหลือเกิน จางเซวียนตั้งข้อสังเกต

หากมองด้วยสายตาของผู้ที่ไม่ได้ผ่านการฝึกฝนมา สถานที่แห่งนี้ดูจะสงบสุขมาก แต่ในฐานะใครคนหนึ่งที่เข้าถึงแก่นสารของมิติแล้ว จางเซวียนรับรู้ได้ว่ากระแสของมิติในพื้นที่นี้ไหลไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในทุกๆวินาที ดูราวกับว่าทั่วทั้งบริเวณนี้อาจพังทลายได้ในไม่ช้า

แต่นั่นยังไม่หมด

เหนือความว่างเปล่าขึ้นไปมีความรู้สึกกระหายเลือดที่ดูเหมือนจะพุ่งตรงเข้าเล่นงานจิตวิญญาณของทุกคน

“เริ่มกันเถอะ!” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงเร่งหลังจากเข้าประจำตำแหน่ง

นักปราชญ์โบราณทั้งกลุ่มที่เหลือพยักหน้ารับและเริ่มขับเคลื่อนพลังปราณของพวกเขา แต่แล้วก็ถูกขัดจังหวะโดยพายุที่ก่อตัวขึ้นอย่างกะทันหัน สองร่างพุ่งตรงเข้าหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว

เมื่อรับรู้ได้ถึงแขกไม่ได้รับเชิญทั้งสองคน เหล่านักปราชญ์โบราณรีบยับยั้งการกระทำของพวกเขาและหันไปมอง แน่นอนว่าจางเซวียนก็ทำแบบเดียวกัน

ฟึ่บ!

แขกทั้งสองร่อนลงกับพื้น

คนแรกคือสาวน้อยที่ดูจะมีอายุราว 20 ต้นๆ เธอมีเรือนร่างบอบบางอ้อนแอ้นและผมดำสนิทที่ยาวสยายจนถึงเอว ให้ความรู้สึกละเอียดอ่อนน่าหลงใหล นัยน์ตาของเธอฉายแววกังวลใจล้ำลึกที่บ่งบอกถึงความร้อนรนต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

อีกคนหนึ่งคือชายหนุ่มอายุราว 20 ต้นๆที่สวมเสื้อคลุมสีเขียว เขายืนอยู่ด้านหลัง จางเซวียนเคยเห็นชายผู้นี้มาก่อน เขาเป็นหนึ่งในทายาทของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ที่เคยต่อสู้แย่งชิงเครื่องรางลำดับแรกกับจางเซวียนที่อาณาจักรโบร่ำโบราณของนักปราชญ์โบราณหรันชิว, เหยียนเฉว่!

“คุณสองคนมาทำอะไรที่นี่?” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตั้งคำถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

สาวน้อยก้าวออกมาและตอบว่า “ในฐานะทายาทของปรมาจารย์ขง ฉันจะนิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไรในเมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแล้ว?”

ทายาทของปรมาจารย์ขง? จางเซวียนตาโต หรือว่าเธอคือขงซือเหยา?

Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร

Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร

LOHP, Thiên Đạo Đồ Thư Quán, Tian Dao Tu Shu Guan, 天道图书馆
Score 7.4
Status: Completed Type: Author: , Released: 2016 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชรจางเซวียนข้ามไปอีกโลกหนึ่งโดยบังเอิญ ตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองกลายเป็นครูไปเสียแล้ว ซ้ำยังเป็นครูที่ไม่เก่งและกำลังจะถูกไล่ออกอีกด้วย ทว่าจางเซวียนกลับพบความลับอันยิ่งใหญ่ของร่างใหม่ร่างนี้ นั่นก็คือ… เขามีสมองเพชร! ในสมองของครูหนุ่มคนนี้แอบซ่อน ‘หอสมุด’ ขนาดใหญ่ไว้ด้านใน ไม่ว่าอะไรก็ตามที่จางเซวียนเห็น ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสิ่งของ ล้วนถูกเก็บสู่คลังหนังสือในรูปแบบของสมุดเล่มหนึ่ง ก็ถ้าในเมื่อมีไอเท็มสุดยอดนี้อยู่กับตัวแล้ว ใครยังจะกล้าเรียกเขาว่าครูกระจอกอีก?!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset