อัจฉริยะสมองเพชร – ตอนที่ 1909 นักปราชญ์โบราณ! ผมจะเป็นครูบาอาจารย์ของโลก! (3)

“นี่คือ…”

จ้าวหย่าอึ้งไปด้วยความตกใจ

นั่นเพราะเธอรู้ทันทีว่าแม้ด้วยระดับวรยุทธที่มี ก็ยังไม่อาจมองเห็นอาณาบริเวณทั้งหมดของหมู่เมฆดำนั้นได้!

จากการพากเพียรฝึกฝนอย่างหนักตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา จ้าวหย่าสำเร็จวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดโลกจารึกแล้ว แม้จะยังห่างไกลจากการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติแต่ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความแข็งแกร่งของเธอมากเกินพอที่จะทำให้เธอขึ้นเป็นสุดยอดของโลกใบนี้

แต่ถึงอย่างนั้น จ้าวหย่าก็ยังมองไม่เห็นอาณาเขตปลายสุดของหมู่เมฆ…

นั่นหมายความว่าหมู่เมฆกลุ่มนี้มีความยาวหลายแสนลี้?

“มันอะไรกัน? ทำไมถึงมีเมฆดำขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้นที่นี่?” จ้าวเฟิงกับภรรยาของเขารู้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ ทั้งคู่ต่างพรั่นพรึงกับสิ่งที่เห็น

“ดูเหมือนจะเป็นการทดสอบวรยุทธ…ท่านอาจารย์! ใช่แล้วล่ะท่านอาจารย์ของฉันกลับมาแล้วแน่ๆ!” จ้าวหย่าตาโตด้วยความตื่นเต้น

เธอไม่มีอารมณ์จะฝึกฝนวรยุทธต่อ จ้าวหย่ารีบพุ่งไปยังทิศทางที่หมู่เมฆดำก่อตัว

นอกเสียจากท่านอาจารย์ของเธอ ไม่มีใครอีกแล้วในโลกใบนี้ที่เรียกหมู่เมฆดำขนาดใหญ่แบบนั้นมาได้ เขาคือหนึ่งเดียวในโลก!

…..

“ครูบาอาจารย์คือผู้มีหน้าที่ถ่ายทอดความรู้และไขข้อสงสัยของลูกศิษย์ แม้สภายอดขุนพลของเราจะไม่มีความสามารถในการถ่ายทอดภูมิปัญญา แต่เราก็คลี่คลายเทคนิคและทักษะการต่อสู้ต่างๆให้กระจ่างได้ สิ่งนี้เชื่อมโยงกับหน้าที่ความรับผิดชอบของครูบาอาจารย์ และนั่นคือเหตุผลที่พวกเราเป็นส่วนหนึ่งของสภาปรมาจารย์ แทนที่จะแยกตัวออกไปเป็นองค์กรอิสระ”

เจิ้งหยางยืนอยู่ตรงหน้ากองทัพที่มีจำนวนนับหมื่น เขามองยอดขุนพลที่ได้รับการบรรจุใหม่อย่างเคร่งขรึมขณะพูดคำนั้น

ตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา สภายอดขุนพลแข็งแกร่งขึ้นมาก โดยเฉพาะหลังจากที่เจิ้งหยางได้ถ่ายทอดความรู้ที่เขารับมาจากจางเซวียน

เหล่าสมาชิกของสภายอดขุนพลต่างแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อน แต่ละคนมีพละกำลังมากพอจะรับมือกับนักรบได้หลายร้อยคนในคราวเดียว

“พวกเราเข้าใจ!”

ฝูงชนพยักหน้าอย่างตื่นเต้น

ทุกคนรับรู้วีรกรรมอันน่าทึ่งของหัวหน้ายอดขุนพลและท่านอาจารย์ของเขา ต่างคนต่างเฝ้ารอที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งของตำนานที่พวกเขาสร้างขึ้น ถือเป็นความปรารถนาสูงสุดที่จะได้ติดตามชายหนุ่มผู้ทรงเกียรติคนนี้ และตอนนี้ความปรารถนาของทุกคนก็กลายเป็นจริง!

เห็นทุกคนมีกำลังใจฮึกเหิม เจิ้งหยางหยุดการปราศรัย “เอาล่ะเริ่มการฝึกของวันนี้ได้!”

เขากำลังจะสั่งการครูฝึกให้เริ่มกระบวนการ ก็พอดีกับที่เงยหน้าขึ้นและเห็นความมืดมิดครอบคลุมมาแต่ไกล

“เมฆดำพวกนี้…การทดสอบวรยุทธใช่ไหม?” เจิ้งหยางอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะพลันนึกได้ “ท่านอาจารย์! เขากำลังจะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณแล้ว!”

เจิ้งหยางกระทืบเท้าเบาๆ จากนั้นก็หายวับไป

…..

ที่เมืองหลวงของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น หลิวหยางนั่งอยู่บนบัลลังก์สูงใหญ่ กำลังจับจ้องบริวารของเขาขณะสั่งการด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นทรงอำนาจ “ผมบอกหลายครั้งหลายหนแล้วนะ น่าเบื่อเหลือเกินที่ต้องพูดซ้ำอีก เผ่าพันธุ์ปีศาจทุกตัวจะต้องรักษาความสัมพันธ์อันดีกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ไว้ การปะทะทุกรูปแบบถือเป็นข้อห้าม ใครก็ตามที่กล้าฝ่าฝืนจะถูกสังหารทันที! ผมยังต้องสอนพวกคุณอีกไหมว่าควรทำอย่างไร?”

บรรดาเผ่าพันธุ์ปีศาจรีบทรุดตัวลงคุกเข่าด้วยความหวาดกลัว“ขอรับ ฝ่าบาท พวกเราจะทำตาม คำสั่ง!”

หลังจากเสร็จสิ้นพิธีสถาปนาได้ไม่นาน อำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ก็ปรับเปลี่ยนทุกอย่างไปโดยสิ้นเชิง ด้วยความพยายามของเขา เผ่าพันธุ์ปีศาจเริ่มยอมรับการอยู่ร่วมกันกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ ความตึงเครียดที่มีมาตั้งแต่แรกระหว่างสองเผ่าพันธุ์เริ่มคลี่คลายแน่นอนว่าข้อขัดแย้งที่มีมา ตลอดหลายหมื่นปีไม่อาจถูกระงับไปโดยง่าย แต่อย่างน้อยที่สุด ตอนนี้ก็ปราศจากการสู้รบต่างๆอย่างสิ้นเชิง

ในท้ายที่สุด เวลาจะชำระล้างความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างสองเผ่าพันธุ์ไปเอง นำมาซึ่งยุคสมัยแห่งความมั่นคงและกลมเกลียว

แน่นอนว่าความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์กับเผ่าพันธุ์ปีศาจอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ เผ่าพันธุ์ปีศาจสามารถเข้าถึงทรัพยากรล้ำค่าที่ซื้อขายแลกเปลี่ยนกันในทวีปแห่งปรมาจารย์พวกมันสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมต่างๆได้โดยนำเทคโนโลยีของเผ่าพันธุ์มนุษย์มาประยุกต์ใช้

เมื่อมีผลประโยชน์ ก็เกิดกลุ่มก๊วนจำนวนหนึ่งในหมู่เผ่าพันธุ์ปีศาจที่เริ่มสนับสนุนนโยบายของอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่อย่างเปิดเผย

ที่สำคัญกว่านั้น อำมาตย์เฉินหย่งยังนำเทคนิควรยุทธชุดใหม่มาใช้ ที่ทำให้เผ่าพันธุ์ปีศาจสามารถฝึกฝนได้อย่างรวดเร็วแม้จะไม่ได้กินเลือดเนื้อและจิตวิญญาณของปรมาจารย์และมวลมนุษย์

เมื่อสองฝ่ายมีผลประโยชน์ร่วมกัน ความตึงเครียดระหว่างสองเผ่าพันธุ์ก็ลดน้อยลงมาก

“เอาล่ะ จบการประชุมเพียงเท่านี้ พวกคุณไปได้!”

หลิวหยางโบกมือ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินจากไป เพื่อเป็นการแสดงความเคารพ เหล่าบริวารจะออกไปได้ก็ต่อเมื่อฮ่องเต้ออกจากท้องพระโรงไปแล้วเท่านั้น

แต่ในตอนนั้น หมู่เมฆดำก็ปรากฏขึ้นจากระยะไกล ครอบคลุมทั่วทั้งท้องฟ้าในชั่วพริบตา

“ท่านอาจารย์…” หลิวหยางนัยน์ตาแดงก่ำด้วยความตื่นเต้นเมื่อเห็นภาพนั้น เขาสะบัดข้อมือและเปิดทางเดินแห่งมิติโดยไม่ลังเลจากนั้นก็ก้าวเข้าสู่ทางเดินและและหายวับไปจากสายตาอึ้งทึ่งของเหล่าบริวาร

หลังจากเหนื่อยยากมาตลอดครึ่งปี ในที่สุดสถานการณ์ในหมู่เผ่าพันธุ์ปีศาจก็มั่นคง เขาสามารถตามหาท่านอาจารย์ได้อีกครั้ง

…..

สถานการณ์แบบเดียวกันเกิดขึ้นที่ร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ในอาณาจักรคุณฉื่อ

ขงซือเหยาจ้องมองท้องฟ้ามืดครึ้มขณะตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น

หลังจากที่หายไปเนิ่นนาน ในที่สุดท่านอาจารย์ของเธอก็ปรากฏตัวอีกครั้งแล้วใช่ไหม?

“ระหว่างนี้ฉันจะฝากอาณาจักรคุนฉื่อให้คุณดูแลนะ ขอออกไปข้างนอกสักหน่อย!”

ขงซือเหยาไม่รอคำตอบจากอีกฝ่าย เธอมุ่งหน้าเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ทันที

…..

หลังจากทำตัวลึกลับอยู่ 6 เดือน ในที่สุดจางเซวียนก็สร้างความอึกทึกครึกโครมครั้งใหญ่ขึ้นในโลกด้วยการฝ่าด่านวรยุทธของเขา

“นั่นเขาแหละ…ใช่เขาจริงๆ!”

“ไม่ต้องสงสัย นอกจากปรมาจารย์จาง ก็ไม่มีใครแล้วที่ทำแบบนี้ได้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเราจำเขาไม่ได้ ทั้งๆที่เขาอยู่ต่อหน้าต่อตาเรานี่เอง แถมเรายังพยายามจะจับตัวเขาด้วย…”

“พระเจ้า ผมมีโอกาสได้เห็นปรมาจารย์จางตัวเป็นๆแล้ว ตอนนี้ก็ตายตาหลับแล้วล่ะ!”

…..

ขณะที่ความจริงถูกเปิดเผยในเมืองเล็กๆแห่งนั้น ผู้คนมากมายที่อยู่รอบเวทีพากันตัวแข็งด้วยความตกตะลึง

ก่อนหน้านี้ ตอนที่เสิ่นปี้หรูพูดว่าเธอคือเพื่อนร่วมงานของปรมาจารย์จาง ไม่มีสักคนที่เชื่อเธอ และเมื่อเธอบอกว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาคือปรมาจารย์จางตัวจริง ทุกคนก็พากันเหยียดหยาม มองเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ

แต่กลับกลายเป็นว่าทุกอย่างคือเรื่องจริง!

ชายหนุ่มผู้น่าทึ่งที่ได้รับความเคารพชื่นชมจากคนทั้งโลกกำลังยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว!

“เขาไม่เปลี่ยนเลย โดดเด่นที่สุดในหมู่ฝูงชนเสมอ” เสิ่นปี้หรูตั้งข้อสังเกตพร้อมกับยิ้มอย่างจนปัญญา

เท่าที่เธอรู้จักชายหนุ่มคนนี้มา เขาเป็นที่เตะตาของใครๆเสมอ เธอเคยคิดว่าเขาคงลดความโดดเด่นลงบ้างหลังจากมาได้ไกลขนาดนี้แต่อีกฝ่ายกลับไม่ต่างจากเดิมสักนิด ราวกับเขาไม่รู้จักความคิดเรื่องการนอบน้อมและถ่อมเนื้อถ่อมตัวเลย

…..

จางเซวียนไม่รับรู้ความตื่นเต้นของฝูงชน

เขาใคร่ครวญการหยั่งรู้ครั้งใหม่ของตัวเองอย่างถี่ถ้วน รู้สึกราวกับลำแสงของอรุณรุ่งได้ทะลุเข้าสู่ความมืดมิดในหัวใจของเขาเผยให้เห็นเส้นทางใหม่

ความรู้สึกนี้หนักหน่วงถึงขนาดสัมผัสได้ในส่วนลึกของจิตวิญญาณ

“เพราะฉะนั้น นี่ก็คือสิ่งที่เราตามหามาตลอด” จางเซวียนพึมพำพร้อมกับยิ้มน้อยๆขณะมองหมู่เมฆดำที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขตกับสายฟ้าที่อยู่รอบตัว

เห็นได้ชัดว่าการทดสอบวรยุทธที่เขาต้องเผชิญคราวนี้มีพละกำลังทำลายล้างสูงมาก มันแข็งแกร่งกว่าที่เขาเจอมาในครั้งไหนๆ

สายฟ้าและเปลวเพลิงสวรรค์รวมตัวเข้าด้วยกัน ก่อเกิดเป็นอาวุธขนาดใหญ่มากมายนับไม่ถ้วน แต่ละชิ้นพุ่งตรงเข้าใส่จางเซวียน

ด้วยความแรงของมัน ดูเหมือนว่าต่อให้นักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติก็ไม่น่ารับมือกับพละกำลังน่าสะพรึงขนาดนี้ได้

อันที่จริง ดูเหมือนมันเหนือชั้นกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกใบนี้

มันคือพละกำลังอันเป็นอมตะที่พร้อมทำลายล้างเป้าหมายของมันต่อให้จางเซวียนที่เพิ่งผ่านการหยั่งรู้ครั้งใหม่มาหมาดๆก็ไม่น่ารับมือไหว

แต่…

ในเมื่อเขาไม่มีโอกาสเอาชนะมัน ทำไมถึงยังคิดจะสู้กับมันอีก?

สีหน้าของจางเซวียนไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย เขาพึมพำ

“สลายตัว”

เสียงนั้นพุ่งทะลุความว่างเปล่า ดังกึกก้องขึ้นสู่สวรรค์

ฟึ่บ!

ราวกับได้พบศัตรูตัวฉกาจ บรรดาอาวุธที่ทำจากสายฟ้าและเปลวเพลิงสวรรค์ต่างสลายตัวเป็นอากาศธาตุอย่างรวดเร็ว

ในเวลาเดียวกัน ภายใต้คำสั่งของเขา หมู่เมฆดำก็ค่อยๆกระจายตัว เผยให้เห็นท้องฟ้าใสกระจ่างอีกครั้ง

ถ้าเป็นเมื่อก่อน จางเซวียนต้องใช้ยุทธวิธีและเทคนิคมากมายเพื่อเอาชนะการทดสอบวรยุทธ แต่ด้วยความสามารถที่มีอยู่ในตอนนี้เขาสลายมันได้ด้วยคำพูดคำเดียว

ราวกับว่าสวรรค์ของทวีปแห่งปรมาจารย์ยอมจำนนให้เขาแล้ว เขากลายเป็นผู้บงการโลก ทุกคำสั่งของเขาจะชี้ชะตาอนาคตของโลกใบนี้

นี่คืออานุภาพของวาจาสิทธิ์!

การฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณหมายถึงการเข้าถึงกฎเกณฑ์บางอย่างที่เหนือชั้นกว่าโลก แต่จางเซวียนในตอนนี้ไปไกลกว่านั้น การดำรงอยู่ของเขาข้ามพ้นขีดจำกัดของโลกแล้ว ทำให้เป็นผู้อยู่เหนือสวรรค์

ขณะที่การทดสอบนักปราชญ์โบราณสลายตัวไป พลังงานมหาศาลก็พวยพุ่งออกจากร่างของเขาและพุ่งตรงขึ้นสู่สวรรค์ กดข่มทุกสิ่งที่อยู่ในพื้นที่นั้น

บึ้มมมม!

เมื่อไม่อาจระงับพลังปราณไว้ได้อีกต่อไป รังสีของจางเซวียนเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ในชั่วพริบตา จากวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกเขาก็สำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณ

นักปราชญ์โบราณขั้น 1 การสืบทอดสายเลือด!

นักปราชญ์โบราณขั้น 2 บรมครูนักปราชญ์!

นักปราชญ์โบราณขั้น 3 การฟื้นคืนชีพของสายเลือด!

ทุกอย่างที่จางเซวียนได้สั่งสมมาเพื่อการฝึกฝนวรยุทธกำลังสำแดงอานุภาพของมัน

ภายในไม่ถึง 10 อึดใจ เขาก็ฝ่าด่านวรยุทธไปได้ถึง 3 ขั้น จนถึงวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดโลกจารึก!

ความสำเร็จของเขาน่าสะพรึงกว่าขงซือเหยา อันที่จริง แม้แต่การฝ่าด่านวรยุทธของปรมาจารย์ขงก็ยังไม่รวดเร็วขนาดนี้!

เมื่อรู้สึกได้ถึงพลังงานที่พลุ่งพล่านทั่วร่าง จางเซวียนยิ้มออกขณะลดสายตาลงมองพื้นโลกประหนึ่งตัวเขาเป็นเทพเจ้าจากสวรรค์ ในตอนนั้น เขาดูทรงพลังอย่างที่ไม่อาจมีใครทำลายล้างได้

ความเงียบงันอบอวลไปทั่วขณะท้องฟ้ากระจ่างใสอีกครั้ง จากนั้นเสียงทรงพลังงามสง่าก็ดังกึกก้อง

“นับจากวันนี้ไป ผมคือครูบาอาจารย์ของโลก!”

Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร

Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร

LOHP, Thiên Đạo Đồ Thư Quán, Tian Dao Tu Shu Guan, 天道图书馆
Score 7.4
Status: Completed Type: Author: , Released: 2016 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชรจางเซวียนข้ามไปอีกโลกหนึ่งโดยบังเอิญ ตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองกลายเป็นครูไปเสียแล้ว ซ้ำยังเป็นครูที่ไม่เก่งและกำลังจะถูกไล่ออกอีกด้วย ทว่าจางเซวียนกลับพบความลับอันยิ่งใหญ่ของร่างใหม่ร่างนี้ นั่นก็คือ… เขามีสมองเพชร! ในสมองของครูหนุ่มคนนี้แอบซ่อน ‘หอสมุด’ ขนาดใหญ่ไว้ด้านใน ไม่ว่าอะไรก็ตามที่จางเซวียนเห็น ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสิ่งของ ล้วนถูกเก็บสู่คลังหนังสือในรูปแบบของสมุดเล่มหนึ่ง ก็ถ้าในเมื่อมีไอเท็มสุดยอดนี้อยู่กับตัวแล้ว ใครยังจะกล้าเรียกเขาว่าครูกระจอกอีก?!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset