อัจฉริยะสมองเพชร – ตอนที่ 2211 สถานการณ์ก็พลิกผัน

ทำไมเขาถึงตกต่ำถึงขนาดถูกนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำตบหน้า?

ฟึ่บ!

ขณะที่หลินชีพยายามขบคิด ร่างหนึ่งก็ผงาดเงื้อมเหนือร่างของเขา เมื่อเงยหน้ามอง หลินชีเห็นหัวหน้าตระกูลจ้าวยืนจังก้าด้วยสีหน้าบึ้งตึง

“ผมก็นิ่งเฉยไม่ได้หรอกเมื่อคุณพูดถึงท่านอาจารย์ของผมในแง่ร้าย”

จากนั้น หัวหน้าตระกูลจ้าวก็เตะท้องน้อยของหลินชีโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

หลินชีพยายามหลบ แต่พบว่าแรงเตะนั้นติดตามเขาไปทุกแห่ง ไม่ว่าจะหลบไปทางไหนก็ไม่มีโอกาสหนีพ้น

ฟิ้วววว!

ร่างของหลินชีลอยโด่งขึ้นไปกลางอากาศและกระเด็นไปกว่า 10 เมตร

“เป็นแบบนี้ได้อย่างไร…”

หลินชีคิดไม่ถึงว่าเขาจะสู้ไม่ได้แม้แต่กับจ้าวเหมิงซึ่งมีวรยุทธอ่อนด้อยที่สุดในกลุ่ม

หมอนั่นเตะเขากระเด็นได้อย่างง่ายดาย…

ถึงตอนนี้ หลินชีเสียสติเอาจริงๆ

ตระกูลหลินยอมเสียอะไรมากมายเพื่อยกระดับวรยุทธของเรา แต่ทำไมถึงดูเหมือนใครๆก็พัฒนาได้รวดเร็วกว่าเราไปหมด?

เราเป็นนักรบที่ไม่ได้เรื่องจริงๆหรือ?

“เทียนเฟย จ้าวเหมิง คุณสองคนจะเกินไปแล้วนะ!”

หัวหน้าตระกูลหลินคิดไม่ถึงว่าอัจฉริยะหมายเลข 1 ของตระกูลของเขาจะถูกทั้งคู่เล่นงาน เขาโมโหเดือดขึ้นทันที

เพียะ! เพียะ! เพียะ!

แต่ก็เหมือนกับหลินชี หลังจากถูกตบไป 2-3 ครั้ง หัวหน้าตระกูลหลินก็ถูกทิ้งให้นั่งงงอยู่กับพื้น

เขาเคยได้รับความเคารพในฐานะหัวหน้าตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุด แม้จะยังเทียบชั้นกับหลินชีไม่ได้ แต่ก็รับมือกับคนอย่างเทียนเฟยและจ้าวเหมิงได้สบาย แล้วพวกนั้นไร้เทียมทานกว่าเขาตั้งแต่เมื่อไหร่?

ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง สองคนนั้นดูเหมือนจะมองเห็นทุกกระบวนท่าของเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง ไม่ว่าเขาจะพยายามทำอะไร อีกฝ่ายก็ปัดป้องและตอบโต้ได้อย่างไร้ที่ติ

“ท้าทายทายาทตระกูลหลินทุกคน จัดการให้พวกนั้นมาคุกเข่าให้ได้!” เทียนเฟยสั่งการ

เมื่อพูดจบ ชายหนุ่มพิการคนหนึ่งก็เดินกะเผลกออกมาจากด้านหลัง

หัวหน้าตระกูลหลินจำชายหนุ่มพิการคนนี้ได้ เขาคือบุคคลที่รู้กันว่าไร้ค่าในตระกูลเทียน หลังจาก ประสบอุบัติเหตุที่ทำให้ขาพิการ ก็ถูกปฏิเสธและกลายเป็นนักรบที่อ่อนด้อยที่สุดในบรรดานักรบรุ่นเดียวกัน

ชายหนุ่มพิการรี่เข้าหาเหล่าทายาทตระกูลหลิน ด้วยดาบเล่มหนึ่งในมือ เขาไล่ล่าทุกคนราวกับหมาป่าที่อยู่กลางฝูงแกะ

เพียงไม่ถึง 10 นาที ทายาทตระกูลหลินหลายสิบคนก็นอนแผ่ระเกะระกะอยู่กับพื้น

ทุกคนยอมจำนน

หัวหน้าตระกูลหลินแทบเสียสติ

เจ้าขยะคนนี้กลายเป็นนักรบทรงพลังตั้งแต่เมื่อไหร่?

เกิดอะไรขึ้นกับตระกูลเทียน?

1 ชั่วโมงต่อมา ผู้เชี่ยวชาญทุกคนของตระกูลหลินถูกตระกูลเทียนกับตระกูลจ้าวท้าทาย ซึ่งก็ลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ยับเยิน ราวกับโลกกำลังส่งสัญญาณบอกพวกเขาว่าถึงเวลาที่ตระกูลหลินจะต้องก้าวลงจากตำแหน่งตระกูลชั้นนำเสียที

เมื่อตระกูลเทียนกับตระกูลจ้าวจากไป หัวหน้าตระกูลหลินหันมาตวาดพ่อบ้านด้วยความร้อนใจ “เร็วเข้า! รีบไปตรวจสอบซิ จู่ๆพวกนั้นไร้เทียมทานขนาดนี้ได้อย่างไร?”

ในฐานะคู่แข่ง สามตระกูลใหญ่แห่งเมืองแสงสนธยาปะทะกันอยู่เสมอ ทั้งโดยเปิดเผยและที่อยู่ในเงามืด ซึ่งโดยปกติ ตระกูลหลินจะอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบเพราะมีพละกำลังเหนือกว่า ทำให้อีกสองตระกูลไม่กล้ามีสิทธิ์มีเสียง

แต่ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง สถานการณ์ก็พลิกผัน

หัวหน้าตระกูลหลินรับไม่ได้ สองตระกูลนั้นออมมือมาตลอดเพื่อหลอกให้เขาตายใจหรือเปล่า?

“ขอรับ!”

พ่อบ้านรีบออกจากคฤหาสน์ ไม่ช้าก็กลับมาด้วยใบหน้าฟกช้ำบวมเป่ง

“เกิดอะไรขึ้น พวกนั้นซุ่มรออยู่ข้างนอกเพื่อเล่นงานเราหรือ?” หัวหน้าตระกูลหลินกัดฟันถาม

มันเรื่องอะไรถึงต้องทำขนาดนี้? พวกเขาแค่ตั้งข้อสังเกตนิดหน่อยเกี่ยวกับเจ้าเมืองคนใหม่ ก็แค่นั้นเอง! ไม่เห็นจำเป็นต้องทำขนาดนี้เลย ใช่ไหม?

“อ๋อ ไม่ใช่สองตระกูลนั้นหรอก วณิพกสองคนหาเรื่องผมตอนที่ผมกำลังเดินไปตามถนน ผมคิดว่าคงเล่นงานพวกเขาได้สบายด้วยพละกำลังที่มีอยู่ แต่ดูเหมือนทั้งคู่จะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญขึ้นมาอย่างกะทันหัน สุดท้ายผมก็ถูกพวกนั้นซ้อม…”

นัยน์ตาของพ่อบ้านเปี่ยมด้วยความแค้น น้ำตาปริ่มๆจะไหล

“วณิพก?” หัวหน้าตระกูลหลินถึงกับพูดไม่ออก

ไม่น่าเชื่อว่าพ่อบ้านผู้ทรงเกียรติของตระกูลหลินจะถูกวณิพกเล่นงาน!

“จากที่ผู้คนตามท้องถนนร่ำลือกัน ดูเหมือนทุกคนจะกลายเป็นนักรบผู้ทรงพลังขึ้นมาทันทีหลังจากได้ฟังการบรรยายของท่านเจ้าเมือง คำบรรยายนั้นสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อทักษะการต่อสู้และวรยุทธของพวกเขา” พ่อบ้านพูด

“เพราะการบรรยายของเจ้าเมือง? แล้วคุณได้บันทึกการบรรยายมาหรือเปล่า?” หลินชีถามอย่างร้อนใจ

“ผมต้องเหนื่อยยากมากมายและจ่ายเงินสูงลิ่วเพื่อจะได้สำเนาของมันมา” พ่อบ้านตอบขณะยื่นผลึกบันทึกอันหนึ่งให้

หลินชีรีบรับผลึกบันทึกมาและถ่ายทอดพลังงานสวรรค์ของเขาเข้าไป ผิวหน้าของผลึกบันทึกสั่นสะท้านเล็กน้อยก่อนจะเผยให้เห็นภาพของชายหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนอนุสาวรีย์ อีกฝ่ายกำลังพูดด้วยน้ำเสียงสุขุมทว่าทรงพลัง

ฟังไปได้แค่เสี้ยวเดียว หลินชีกับหัวหน้าตระกูลหลินก็ตัวแข็งทื่อ

ทั้งคู่เพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่าเพราะอะไรตระกูลเทียนกับตระกูลจ้าวถึงทรงพลังขึ้นมาอย่างปุบปับจนถึงขนาดที่พวกเขาสู้ไม่ได้ เป็นเพราะคนเหล่านั้นได้ฟังคำบรรยายของเจ้าเมืองคนใหม่นี่เอง!

“แค่ฟังคำบรรยายที่อัดไว้น่ะไม่อาจทำให้ได้รับอานุภาพของการบรรยายหรอก สิ่งที่เราได้ย่อมลดน้อยลงมาก ดูเหมือนคราวนี้ตระกูลหลินจะทำผิดพลาดครั้งใหญ่ พวกเรากำลังล้าหลังใครต่อใคร อีกไม่นานก็คงถูกเตะโด่งออกจากตำแหน่งสามตระกูลใหญ่และร่วงลงไปเป็นกลุ่มอำนาจขั้น 2 แน่” หัวหน้าตระกูลหลินพูดอย่างขมขื่น

เป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดการรู้แจ้งเหมือนนักรบเหล่านั้นเพียงเพราะได้ดูหรือได้ฟังผลึกบันทึก เพราะการบรรยายมีบรรยากาศของการสั่งสมความรู้ที่นำมาซึ่งภูมิปัญญาและแรงบันดาลใจ ซึ่งพวกเขาพลาดโอกาสทองแล้ว

ด้วยสิ่งที่เกิดขึ้น ความถดถอยของตระกูลหลินเป็นอันรับประกันได้

“ถ้าผมรู้ว่าท่านเจ้าเมืองคนใหม่จะเก่งกาจไร้เทียมทานขนาดนี้ คงยอมฟังที่หมิงไล่เชียงบอก” หลินชีโพล่งออกมาขณะน้ำตาไหลอาบแก้ม

ไม่น่าแปลกใจแล้วที่แม้แต่หมิงไล่เชียงผู้โหดเหี้ยมยังเลือกศิโรราบให้เจ้าเมืองคนใหม่และช่วยเสริมรากฐานอำนาจให้เขา มันคือเกียรติยศและโอกาสเพียงครั้งเดียวในชีวิตที่จะได้รับใช้เจ้านายผู้เก่งกาจทรงพลังขนาดนั้น

ถ้าพวกเขายอมละทิ้งศักดิ์ศรีของตัวเองและเข้าฟังการบรรยายของเจ้าเมืองคนใหม่ ก็คงยังรักษาสถานภาพตระกูลผู้ทรงเกียรติหมายเลข 1 ของเมืองแสงสนธยาไว้ได้ น่าเสียดายที่ไม่มีทางหวนกลับไปแก้ไขเหตุการณ์ต่างๆได้อีกแล้ว

ผู้อาวุโสทั้ง 8 ต้องเสียวรยุทธไปเพียงเพื่อให้เขามาพ่ายแพ้เทียนเฟยกับคนอื่นๆ

หากข่าวนี้แพร่สะพัดออกไปเมื่อไหร่ หลินชีและตระกูลหลินทั้งตระกูลจะกลายเป็นตัวตลกที่น่าหัวเราะเยาะที่สุดของเมืองแสงสนธยา!

…..

ฉีหลิงเอ๋อไม่รู้เรื่องความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเมืองแสงสนธยาที่เป็นผลจากการบรรยายของจางเซวียน เธอมองกลุ่มคนคลาคล่ำตรงหน้าและอธิบาย “นี่คือหัวใจของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน, เมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน!”

ทั้งกลุ่มกำลังยืนอยู่บนค่ายกลทะลุมิติขนาดมหึมา พวกเขาเพิ่งถูกส่งทะลุมิติมาถึงเมืองหลวง และคลื่นความสั่นสะเทือนของมิติที่อยู่โดยรอบก็เบาลงจนอยู่ในระดับที่รับได้

เมื่อคืนก่อน ระหว่างช่วงเวลา 4 ชั่วโมงที่จางเซวียนเปิดการบรรยาย นักรบระดับเทพเจ้าขั้นต่ำจำนวนมากกลายเป็นนักรบระดับเทพเจ้าขั้นกลาง และนักรบระดับเทพเจ้าขั้นกลางจำนวนมากก็กลายเป็นนักรบระดับเทพเจ้าขั้นสูง เพียงชั่วข้ามคืน ประสิทธิภาพการต่อสู้โดยรวมของทั้งเมืองแสงสนธยาก็พัฒนาขึ้นมากกว่าที่เคยมีมาตลอด 30 ปี

สิ่งนี้ทำให้เกิดสุญญากาศของพลังจิตวิญญาณเป็นการชั่วคราวบริเวณเหนือเมืองแสงสนธยา

ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ อสูรสวรรค์ หรือแม้แต่ของล้ำค่า ทุกชีวิตที่ได้ฟังการบรรยายของจางเซวียนล้วนเกิดแรงบันดาลใจล้ำลึกจากคำพูดของเขา และต่างก็พัฒนาไปไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

ด้วยเหตุนี้ ชื่อเสียงของจางเซวียนจึงพุ่งขึ้นถึงขีดสุด ทำให้เขาได้รับความจงรักภักดีอย่างจริงใจ

แต่แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ไม่มีความหมายอะไรกับจางเซวียน เพราะเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งจนเขาคร้านจะใส่ใจ

เมื่อคลื่นความสั่นสะเทือนของมิติจางหายไป ทั้งกลุ่มก็ออกจากค่ายกลทะลุมิติและกวาดสายตาไปรอบๆเมืองหลวง

มองแวบแรก ก็เห็นได้ชัดว่าเมืองหลวงมีขนาดใหญ่โตกว่าเมืองแสงสนธยาหลายเท่า ตึกรามบ้านช่องที่อยู่โดยรอบก็โอ่อ่าหรูหรากว่ากันมาก ถนนหนทางคลาคล่ำไปด้วยผู้คน แต่ไม่แออัดเหมือนเมืองแสงสนธยา

บริเวณโดยทั่วไปถือว่าสะอาดสะอ้าน การจัดวางผังเมืองก็ทำได้ดี บ่งบอกว่าเมืองนี้มีการบริหารจัดการที่สมบูรณ์แบบ

เมื่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ก็มีอสูรสวรรค์ทุกชนิดบินไปมา และสิ่งที่น่าสนใจกว่าคือภูเขาขนาดใหญ่ที่สูงเสียดเมฆ ราวกับได้ก้าวออกจากโลกของความเป็นจริงเข้าสู่โลกของเทพนิยาย

“ผู้ที่พำนักอยู่บนภูเขาสวรรค์เหนือเมืองหลวงได้นั้น ส่วนใหญ่มาจากตระกูลและกลุ่มอำนาจใหญ่ ตระกูลและกลุ่มอำนาจเหล่านี้มีผู้นำเป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงหรือเหนือกว่า” ฉีหลิงเอ๋ออธิบาย

“เทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง…สมกับที่เป็นเมืองหลวง ช่างน่าทึ่งและน่าสะพรึงจริงๆ” จางเจี้ยพึมพำ

แม้เมื่อครั้งที่มันยังเป็นแค่นักรบระดับเทพเจ้าขั้นสูง ก็สามารถทำอะไรได้ตามใจในเมืองตะวันรอนโดยไม่แยแสแม้แต่เจ้าเมือง แต่เมืองหลวงแห่งนี้มีผู้เชี่ยวชาญอยู่มากมายจนมันต้องเจียมเนื้อเจียมตัวไว้หากอยากเอาชีวิตรอด

ลำพังแค่มองรอบตัว ก็เห็นอสูรสวรรค์ที่ทรงพลังกว่ามันถึง 5 ตัวแล้ว

จางเจี้ยเก็บความโอหังไว้และเงียบกริบ

นี่คือลักษณะเดียวกันกับเศรษฐีใหม่ที่ก้าวเข้าสู่สังคมชั้นสูงเป็นครั้งแรก เมื่อได้เห็นว่าคนรวยตัวจริงนั้นเป็นอย่างไร ก็รู้ทันทีว่าตัวเองไม่ได้สลักสำคัญอะไรเลย

“มีอะไรให้ต้องกลัว? พี่ซุนก็อยู่ด้วยทั้งคน! ไม่ช้าพวกเราก็จะครองเมืองหลวงของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน!” ซุนฉางพูดพร้อมกับยิ้มอย่างมั่นใจขณะกอดคอจางเจี้ย

คำพูดนั้นทำให้จางเซวียนขมวดคิ้ว

ทุกครั้งที่ซุนฉางพูดอะไรทำนองนี้ เขาจะสังหรณ์ใจทันทีว่าปัญหากำลังจะตามมาในไม่ช้า

จางเจี้ยผลักแขนของซุนฉางออกไปก่อนจะหันไปพูดกับไก่น้อยที่นั่งอยู่บนไหล่ของจางเซวียน มันยิ้มอย่างประจบประแจง “พี่ใหญ่ ผมจะทำอะไรให้คุณได้บ้าง?”

ไก่น้อยไม่แม้แต่จะมองหน้าจางเจี้ย มันตอบหน้าตาเฉย “ผมอยากตาย คุณจะไปตายกับผมไหม?”

จางเซวียยยกมือปิดหน้าด้วยความอับอาย

Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร

Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร

LOHP, Thiên Đạo Đồ Thư Quán, Tian Dao Tu Shu Guan, 天道图书馆
Score 7.4
Status: Completed Type: Author: , Released: 2016 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชรจางเซวียนข้ามไปอีกโลกหนึ่งโดยบังเอิญ ตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองกลายเป็นครูไปเสียแล้ว ซ้ำยังเป็นครูที่ไม่เก่งและกำลังจะถูกไล่ออกอีกด้วย ทว่าจางเซวียนกลับพบความลับอันยิ่งใหญ่ของร่างใหม่ร่างนี้ นั่นก็คือ… เขามีสมองเพชร! ในสมองของครูหนุ่มคนนี้แอบซ่อน ‘หอสมุด’ ขนาดใหญ่ไว้ด้านใน ไม่ว่าอะไรก็ตามที่จางเซวียนเห็น ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสิ่งของ ล้วนถูกเก็บสู่คลังหนังสือในรูปแบบของสมุดเล่มหนึ่ง ก็ถ้าในเมื่อมีไอเท็มสุดยอดนี้อยู่กับตัวแล้ว ใครยังจะกล้าเรียกเขาว่าครูกระจอกอีก?!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset