อาชีพสุดแกร่งตรวจจับไม่ได้ 《รูลเบรกเกอร์》 – ตอนที่ 87

ตอนที่ 87 การประชุมนักเรียน(เริ่มการประชุม)

            “ขอบคุณทุกคนมากที่มารวมตัวกันในวันนี้ ก่อนเริ่มการประชุมมีหนึ่งเรื่องที่อยากแจ้งให้ทราบ เรื่องนั้นคือไม่จำเป็นต้องให้เรียกแบบให้เกียรติ พวกเราเป็นนักเรียนเหมือนกัน—-อ้อมีอาจารย์อยู่ด้วยคนหนึ่ง แต่กับนักเรียนด้วยกันไม่อยากให้มีการแบ่งระดับชั้นครับ แน่นอนว่าอยากให้พูดกันอย่างสุภาพครับ”

            ทั้ง 7 คนนั่งล้อมโต๊ะหันหน้าเข้าหากันอยู่

            คนที่นั่งตำแหน่งประธานคือรีก พอเขาพูดออกมาอย่างนั้น

            “โอ้ว! ถ้าเป็นอย่างนั้นจะดีมาก ฉันไม่ค่อยถนัดอะไรอย่างนั้นด้วย”

            คนที่เห็นด้วยคนแรกคืออีวาน จาราซัก นักเรียนดาบใหญ่

            เพิ่งรู้เรื่องที่เขาเป็นลูกชายของนักดาบมีชื่อภายในจาราซักตอนชวนเข้าร่วมประชุม

            อีวานไม่มีข้อเสนอแนะอื่นๆ รีกเลยพยักหน้าแล้วพูดต่อ

            “เนื่องจากเวลามีจำกัด จะขอเข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน—-”

            รีกพูดต่อ

            7 ประเทศของสหพันธรัฐฟอเรสเทียต่างเคลื่อนไหวกันอย่างกระจัดกระจาย

            รัฐบาลผสมที่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพซึ่งอยู่นานถึง 10 ปี

            โดยระหว่างนั้นพวกแผนการป้องกันอุทกภัยที่ใช้เวลานาน กลับไม่ค่อยเป็นรูปเป็นร่างสักเท่าไร

            “คิดว่าทุกคนคงทราบถึงปัญหาตรงจุดนี้ดีอยู่แล้วครับ”

            มีแค่อีวานคนเดียวเท่านั้นที่เอียงคอสงสัย ส่วนสมาชิกคนอื่นทำหน้าเห็นด้วย

            ระหว่างที่พูดลาเวียก็เสิร์ฟน้ำชาไปเรื่อยๆ ส่วนฮิคารุก็แจกขนม

            เดิมทีไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้ แต่ไหนๆก็ตามน้ำมาถึงขนาดนี้แล้ว

            “คิดว่าทุกคนคงคิดเหมือนกัน ‘ถ้ารัฐบาลผสมไม่เตรียมการ ก็จัดเตรียมภายในประเทศของตัวเอง’ อยู่” 

            ทั้ง 7 ประเทศต่างเคลื่อนไหว, เก็บภาษี, เตรียมกองกำลัง, พัฒนาเทคโนโลยีอย่างอิสระ

            ไม่มีการเก็บภาษีระหว่างสหพันธรัฐ ยิ่งการเดินทางไปมาค่อนข้างง่าย ทำให้รัฐบาลผสมเป็นแค่ไม้ประดับ

            “ถ้าอย่างนั้นสหพันธรัฐฟอเรสเทีย จะมีไว้เพื่ออะไรกัน?” 

            “เอาไว้ต้านศัตรูจากภายนอกไง”

            เอคาเทรินาที่เงียบมาจนถึงเมื่อครู่ เอ่ยปากออกมาเป็นครั้งแรก

            “100 ปีก่อนราชอาณาจักรพอนโซเนียเริ่มมีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เหล่าประเทศเล็กๆที่หวาดกลัวมารวมตัวกันในชื่อของสหพันธรัฐ หลังจากนั้นจักรวรรดิควินแบรนด์เองก็เริ่มเจริญเติบโตจนแทบจะเทียบเท่าพอนโซเนีย ถ้าหากสองประเทศนี้สู้รบกันแล้วละก็ คงจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับยูราบะของพวกฉัน และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ชื่อของสหพันธรัฐอีกต่อไป”

            “ถูกต้องตามนั้น แต่ว่าบัลซาร์ด ‘จักรพรรดิชั่วช้า’ ของควินแบรนด์โดนลอบสังหาร ทำให้ตอนนี้พอนโซเนียเตรียมสู้รบกับควินแบรนด์อยู่”

            ซิลเวสเตอร์พูดเห็นพ้องออกมา ซึ่งรีกเองก็รับฟัง

            “ฉันคิดว่าวิกฤตเมื่อ 100 ปีก่อนกำลังใกล้เข้ามาอยู่ครับ”

            “……จะบอกว่าตอนนี้พอนโซเนียทรงพลังมากขึ้นงั้นเหรอ?”

            “ครับ กลุ่มอัศวินที่นำโดยเคนเซย์ลอวเรนซ์สามารถทะลวงแนวป้องกันของควินแบรนด์ได้อย่างง่ายดาย ถ้าไม่มีเขาผลคงต่างไปจากนี้อยู่หรอก……”

            ฮิคารุเกือบทำกาต้มน้ำหล่น

            “?”

            รีกชำเลืองมองมาทางนี้ แต่ฮิคาระส่ายหน้าไปมาราวกับจะบอกว่าไม่มีอะไร

            (ลอวเรนซ์ก็สุดยอดจริงนั่นแหละ ดาบของเขาจะแสดงศักยภาพออกมาได้สูงสุดตอนปะทะกับคนหมู่มาก)

            ในระหว่างที่คิดอย่างนั้น

            “แต่ฉันได้ยินมาว่า พอนโซเนียถอนกองกำลังไปแล้ว แสดงว่าต้องเกิดอะไรบางอย่างภายในประเทศแน่นอน”

            “รู้ดีนะเนี่ย แต่ยังไม่รู้ว่า ‘อะไรบางอย่าง’ ที่ว่าคืออะไร ตราบเท่าที่พอนโซเนียยังคงมีลอวเรนซ์อยู่ ความเป็นต่อพอนโซเนียก็ยังไม่สั่นคลอนหรอก”

            ฮิคารุพยักหน้าเห็นด้วย

            ดูเหมือนกราฟาสตี้จะเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว

            ลาเวียจ้องมองมาทางนี้

            (อะไรเหรอ?)

            ฮิคารุถามออกไปเบาๆ 

            (จะไม่บอกเรื่องของกราฟาสตี้เหรอ?)

            (ไม่ได้ไม่อยากบอกหรอก แต่คิดว่าไม่ควรพูดตอนนี้ สำหรับรีกแล้วคงอยากแสดงให้เห็นว่า “มีศัตรูภายนอกร่วมกัน” เพื่อ “รวมกันเป็นหนึ่งเดียว” ไง)

            แล้วรีกก็พูดต่อ

            “ลองคิดดูสิครับว่าถ้าทั้ง 7 ประเทศร่วมมือกันอย่างจริงจังผลที่ออกมาจะเป็นอย่างไร? ถ้าประเทศอื่นรู้ความลับด้านพลังของจาราซักอาจจะเตรียมกองกำลังที่แข็งแกร่งกว่านี้ก็เป็นได้ ถ้าโคโทบี้ได้ทำการวิเคราะห์โบราณวัตถุของซูบร้าอาจจะมีอาวุธใหม่ๆแล้วก็ได้ ถ้าหากคิรีฮาลกับลูดันช่ามีความสัมพันธ์ที่ดีกว่านี้แล้วละก็การขนส่งต่างๆก็น่าจะสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น”

            คิรีฮาลกับลูดันช่าความคุมเส้นทางของหัวเมืองหลังภายในสหพันธรัฐอยู่ อย่างไรก็ตามด้วยการตั้งด่านตรวจที่เข้มงวดมีแต่จะเป็นอุปสรรคต่อการขนส่งสินค้า

            “ตอนนี้ ไม่จำเป็นต้องกลัวการเคลื่อนของพอนโซเนียแล้วก็เป็นได้”

            รีกหันไปมองผู้เข้าร่วม

            ซิลเวสเตอร์พยักหน้าตอบกลับมา

            คลอร์ดกับลูกะจ้องมองกันและกัน

            ส่วนอีวานทำหน้าตาแบบไม่เข้าใจว่าพูดเรื่องอะไร แต่พึมพำคนเดียวว่า “ถ้าทำให้แข็งแกร่งขึ้นได้ก็พอแล้ว”

            เอคาเทรินาไม่ได้ปฏิเสธรีก แต่เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่

            “กล่าวคือ รีกอยากให้ทั้ง 7 ประเทศร่วมมือกันอย่างจริงจังไม่ใช่แค่ในนามสินะ?”

            เคธี่พูดออกมา

            “ครับ”

            “แล้วจะทำอย่างไรในเรื่องที่ขนาด 100 ปียังทำไม่ได้ล่ะ? จริงอยู่ที่นักเรียนตรงนี้หากกลับประเทศไปก็พอจะมีอำนาจอยู่ แต่มันก็แค่นั้น พวกเธอเป็นแค่นักเรียน ไม่มีใครยอมรับว่าเป็นผู้ใหญ่พอหรอก”

            “เพราะอย่างนั้นไงครับ พวกผมยังเป็นนักเรียน ถ้าให้พูดในทางกลับกันคือยังมีเวลาอีกมาก อยากพิจารณาร่วมกับสมาชิกในกลุ่มว่า อะไรคืออุปสรรคอะไรที่คอยขัดขวางการรวมตัวของ 7 ประเทศ ต้องทำอย่างไรถึงจะรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันได้ครับ”

            “อืม……อย่างนี้นี่เอง ตั้งใจจะผูกสัมพันธ์กับนักเรียนด้วยกันก่อนจะเข้าสู่การเมืองจริงสินะ เป็นความคิดที่ไม่เลว”

            สำหรับฮิคารุแล้วเห็นด้วยกับเคธี่เหนือความคาดหมาย

            (คิดว่าคนคนนี้จะไม่สนใจเรื่องอื่นนอกจากการวิจัยซะอีก)

            ช่างเป็นความคิดที่เสียมารยาทจริงๆ

            “ตอนที่ฉันเป็นนักเรียนแทบจะไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับประเทศ เอาแต่จับกลุ่มกับทีมวิจัยไง แต่หลังจากจบการศึกษาก็โดนกดดันอย่างหนักว่า ‘จงวิจัยเพื่อโคโทบี้’—- ทำให้ฉันกลับมาที่โรงเรียน”

            “อาจารย์เคธี่เองก็จะให้ความช่วยเหลือเหรอครับ?”

            “……ถ้าให้ข้อควรระวังก็พอได้อยู่ แต่แทบจะไม่มีหนทางดีๆเลย”

            “พอจะช่วยบอกเหตุผลให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ?”

            “อย่างที่พูดไปเมื่อกี้ ถ้าพวกเธอจบการศึกษาแล้วกลับประเทศไปก็จะรู้เอง ที่โน้นไม่ใช่โรงเรียนอีกแล้ว รอบๆตัวรีกก็จะมีแต่คนของลูมาเนีย พวกเขาคิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเองเป็นที่สุด คิดว่าถ้าโดนคนพวกนั้นห้อมล้อมจะคงตัวของตัวเองไปได้แค่ไหน ถ้าเป็นคนธรรมดาคงทนได้ไม่ถึง 1 ปี นั่นก็เพราะว่าพวกพ้องที่คอยสนับสนุนกันมาก็เจอความลำบากแบบเดียวกันที่ประเทศของตัวเองไง”

            “อย่างนี้นี่เอง……ถ้าเป็นคำพูดของอาจารย์ที่เคยเจอมาแล้วถือว่ามีน้ำหนักอยู่ครับ”

            รีกรับคำพูดของเคธี่อย่างตรงไปตรงมา ส่วนคลอร์ดกับลูกะรู้สึกท้อใจขึ้นมา

            “แต่อย่างนั้นก็ดีแล้วครับ”

            ทว่ารีกกลับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

            “……หมายความว่ายังไงกัน?”

            “ผมเองไม่คิดว่าจะเปลี่ยนสหพันธรัฐได้ง่ายๆหรอกครับ แต่ก็สามารถก่อตั้ง “สหพันธ์นักเรียน” ขึ้นมาได้ สิ่งนี้จะเชื่อมต่อไปยังยุคสมัยถัดไปครับ แค่ทีละน้อยก็ยังดี อยากจะก่อสร้างความสัมพันธ์ที่ก้าวข้ามพรมแดนภายในสหพันธรัฐ ค่อยๆสร้างขึ้นมาเหมือนอย่างทีมวิจัยของอาจารย์ครับ ผมคิดว่าโรงเรียนไม่จำเป็นต้องเป็นสถาบันวิจัยอย่างเดียวเท่านั้น แต่อยากให้เป็นสถานที่ชุบเลี้ยงหนุ่มสาวในยุคถัดๆไปด้วยครับ”

            “เรื่องนั้น……เป็นภาพฝันที่ยิ่งใหญ่ดีนะ”

            “หน้าที่ของผมคือการตั้งสหพันธ์นักเรียนขึ้นมา และสืบทอดต่อเนื่องไปหลายๆรุ่น ถึงสักวันผมจะต้องกลับไปที่ลูมาเนียแต่ไม่ลืมความตั้งใจนี้หรอกครับ อยากให้สหพันธ์นักเรียนคงอยู่ต่อไปเพื่อมีอิทธิพลต่อโรงเรียน ถ้าหากสหพันธ์นักเรียนยังคงอยู่ต่อไปเรื่อยๆ จะให้มันเคลื่อนไหวต่อไปเรื่อยๆจนกว่าผมจะตายจากไปเลยครับ สิ่งที่จะส่งอิทธิพลต่อสหพันธรัฐมากที่สุดอันนี้ถือเป็นหน้าที่ของผมที่อยู่ในตระกูลชั้นนำของลูมาเนียครับ”

            รีกพูดออกมาเบาๆว่า “จนกว่าจะตายจากไป”

            คงอยากจะบอกว่า อยากจะให้คงอยู่ไปอย่างน้อยก็ 30 ปี อย่างมากก็ 50 ปี

            เคธี่พอได้ยินการตัดสินใจของรีกถึงกับพูดอะไรไม่ออก คงไม่นึกว่าการประชุมนี้มีความหมายถึงขนาดนั้น

            “รีก ทำไมถึงคิดจะทำคนเดียวล่ะ”

            คนที่ทำลายความเงียบคือซิลเวสเตอร์

            “จริงอยู่ที่ฉันมาจากซูบร้า ถึงจะไม่ค่อยมีอิทธิพลมากสักเท่าไร แต่การประชุมในรัฐบาลผสมก็มีสิทธิ์ออกได้ 1 เสียงอยู่ ซึ่งคนที่มีสิทธิ์เลือกตัวแทนคนถัดไปก็คือฉันใช่ไหมล่ะ? แล้วถ้าตามลำดับ อีก 3 สมัยฉันก็จะได้เป็นผู้นำของสหพันธรัฐแล้วด้วยไง  ถ้าตอนนั้นรีกยังมีความตั้งใจอยู่ละก็ ฉันเองน่าจะมีอำนาจพอควรแล้ว!”

            “……คุณซิลเวสเตอร์”

            คำพูดของซิลเวสเตอร์ทำให้ผู้คนรู้สึกโล่งใจ

            ฮิคารุคิดว่านี่คือคาริสม่าของ “มกุฎราชกุมาร”

            บรรยากาศของการประชุมเปลี่ยนไป โดยเฉพาะคลอร์ดกับลูกะที่ดูดีใจ อาจจะเพราะว่าเกี่ยวกับชีวิตของพวกเขาโดยตรงเลยก็ได้

            “……แล้วจะเอายังไงกับกฎเหรอ?”

            คำพูดของคนที่ทำลายบรรยากาศนั้นคือเอคาเทรินา

            “กฎของสหพันธรัฐฟอเรสเทียไง กฎระบุไว้ชัดเจนเลยว่า ‘การสถาปนาจะต้องไม่ลดผลประโยชน์ของทั้ง 7 ประเทศ’ หรือ ‘การแก้ไขอำนาจของรัฐบาสลผสมจำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากทั้ง 7 ประเทศ’ ด้วย แถม ‘รัฐบาลผสมจะไม่มีอำนาจใดๆ’ เขียนเอาไว้อยู่ ทำให้แต่ละประเทศพยายามหาผลประโยชน์ให้กับตัวเองให้ได้มากที่สุด”

            “ข้อเสนอของผม คิดว่าไม่ทำให้แต่ละประเทศได้ผลประโยชน์ลดลงหรอก”

            “แต่มันขัดต่อความรู้สึกของผู้คนไง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคิรีฮาลกับลูดันชา คงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแน่ๆ อุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการคงสหพันธ์นักเรียนให้คงอยู่ต่อไปน่าจะเป็น 2 ประเทศนี้”

            พอเอคาเทรินาชี้ประเด็นทำให้คลอร์ดกับลูกะถึงกับประหลาดใจ

            (สิ่งที่เธอพูดเป็นอะไรที่สมเหตุสมผล ถ้าพูดกันด้วยอารมณ์ทฤษฎีก็จะตายไป แต่ไม่นึกเลยว่าอุปสรรคใหญ่สุดที่จะรวมสหพันธรัฐให้เป็นหนึ่งเดียวคือความสัมพันธ์ที่ไม่ดีระหว่างคิรีฮาลกับลูดันช่า)

            ตอนที่ฮิคารุคิดเช่นนั้น

            “ประเด็นของคุณเอคาเทริน่ามันก็ถูกต้อง ความรู้สึกของผู้คนนั้นแทบจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ถ้าคิรีฮาลเลิกส่งอาจารย์และนักเรียนมา สหพัน์นักเรียนคงถึงคราวจบสิ้น”

            เคธี่พูดเสริมในมุมมองของอาจารย์

            แต่ดูเหมือนรีกจะคิดถึงตรงนั้นไว้แล้ว เลยเหมือนถูกจี้ใจดำ

            “อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิรีก”

            เคธี่พูดออกมาต่อด้วยสีหน้าที่เยือกเย็น

            “อารมณ์ของผู้คน สามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยการกระทำเพียงครั้งเดียว มีไม่ใช่เหรอ เพื่อนบ้านที่เกลียดขี้หน้ากัน แต่พอเห็นเขาแบกคนแปลกหน้าไปหาหมอเท่านั้น—-ความเกลียดชังที่เคยมีมาก็บรรเทาลง คิรีฮาลกับลูดันช่าเองก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”

            “เรื่องนั้น—-มันก็ใช่อยู่หรอกครับ ผมเองก็คิดว่าจำเป็นต้องมี ‘การกระทำ’ กับ ‘ขั้นตอน’ นอกเหนือจากสหพันธ์นักเรียนเพื่อเปลี่ยนแปลง 2 ประเทศนี้ ไม่ทราบว่าอาจารย์มีความคิดอะไรบ้างไหมครับ?”

            “ฉันไม่มีหรอก เพราะฉันเน้นด้านการวิจัยไง ดังนั้นทุกคนมาคิดร่วมกันไม่ดีกว่าเหรอ เพราะอย่างนั้นเลยรวบรวมเหล่านักเรียนมาใช่ไหมล่ะ—-เนอะ ฮิคารุ?” 

            จู่ๆเคธี่ก็หันมาพูดกับฮิคารุ

อาชีพสุดแกร่งตรวจจับไม่ได้ 《รูลเบรกเกอร์》

อาชีพสุดแกร่งตรวจจับไม่ได้ 《รูลเบรกเกอร์》

Status: Ongoing
อ่านนิยาย อาชีพสุดแกร่งตรวจจับไม่ได้ 《รูลเบรกเกอร์》ฮิคารุ เด็หนุ่มผู้โชคร้ายที่ประสบอุบัติเหตุ แต่เขาได้รับโอกาสให้ไปเกิดใหม่ในต่างโลก โดยแลกกับการแก้แค้น ——————————– อันนี้เป็นงานสานต่อ ดังนั้นพวกชื่อต่างๆ อาจจะมีแตกต่างกับช่วงแรกไปบ้าง ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

Comment

Options

not work with dark mode
Reset