เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล – ตอนที่ 23.1

บทที่ 23

 

 

“เอาละ นั่นแหละ ย่อเข่าตรงนั้น…”

 

พอพยายามย่อเข่าลงตามคำสั่งของชานาเนสจากท่วงท่าหลังยืดตรง ขาของฟีเรนเทียก็สั่นระริก

 

“อีกหน่อย”

 

ทว่าชานาเนสกลับพูดอย่างเคร่งครัด ไม่คิดจะยอมผ่อนปรนให้เลยแม้แต่น้อย

 

“ใช่แล้ว ทำได้ดีมาก แบบนั้นแหละ”

 

“ฮู่ว! ลำบากสุดๆ เลยค่ะ!”

 

ที่จริงแล้วเธอรู้สึกตกใจจริงๆ ไม่นึกเลยว่าการทำความเคารพตามแบบฉบับชาววังด้วยร่างกายของเด็กเล็ก มันจะลำบากขนาดนี้

 

ถึงแม้ช่วงนี้เธอจะกินเยอะโดยไม่เลือกกินแล้วก็ตาม แต่ร่างกายของเธอที่ยังเป็นแค่เด็กก็ยังเล็กและอ่อนแอกว่าเด็กคนอื่นๆ ในวัยเดียวกันมากอยู่ดี

 

จะว่าไปอาจจะเป็นเพราะไม่ค่อยมีกล้ามเนื้อก็ได้ ขนาดท่าง่ายๆ ร่างกายยังเอาแต่โงนเงนทรงตัวไม่ได้อยู่เรื่อย

 

“ยิ่งทำช้าอย่างตอนนี้ยิ่งเหนื่อย ไหนลองทำตามที่ข้าแสดงให้ดูในครั้งเดียวเลยหน่อยซิ เทีย”

 

ชานาเนสลุกขึ้นจากที่นั่งมาหยุดยืนตรงหน้าเธอ

 

พับแขนข้างขวา แตะมือลงบนหน้าอก ข้างซ้ายจับกระโปรงยกขึ้นเล็กน้อย โค้งศีรษะพร้อมกับก้าวขาขวาไปข้างหลัง ก่อนจะย่อเข่าทั้งสองข้างลง

 

นี่คือวิธีการทักทายตามแบบฉบับมารยาทชาววัง ที่เหล่าชนชั้นสูงใช้เวลาพบปะเชื้อพระวงศ์เป็นมารยาทพื้นฐานดั้งเดิมของอาณาจักร แต่สมัยนี้เรื่องขนบธรรมเนียมมารยาทก็หย่อนคลายลงไปมากแล้ว จึงไม่ใช่ว่าเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์จะรับการทักทายเช่นนี้

 

มีแต่ระดับองค์จักรพรรดิกับองค์จักรพรรดินี เจ้าชายรัชทายาทหรือองค์หญิงรัชทายาทเท่านั้น ที่จะมีสิทธิ์รับการถวายบังคมอย่างเป็นทางการ

 

“สง่าและงามมากเลยค่ะ”

 

เธอมองชานาเนสที่ถวายบังคมเสร็จแล้วกลับมายืนตัวตรงได้ในทันทีพลางปรบมือ

 

ชานาเนสถวายบังคมตามระเบียบของชาววังได้โดยไม่ต้องเสริมแรงแม้แต่น้อย ช่างเหมือนหงส์สง่างามเหลือเกิน

 

ตั้งแต่ลำคอเพรียวระหงที่ก้มเล็กน้อยยามหลุบสายตามองต่ำ กระทั่งปลายนิ้วที่ยกชายชุดเดรสโค้งเว้า ทั้งหมดนั่นงดงามราวกับหงส์สยายปีก

 

“ทำแบบนั้นได้ยังไงเหรอคะ”

 

อยากรู้จริงๆ

 

เคล็ดลับความสง่าจนทำให้คนคลั่งได้ของชานาเนส

 

ชานาเนสดีดปลายจมูกของเธอที่ยืนเบิกตากว้างเป็นประกาย ก่อนจะหัวเราะน้อยๆ พลางเอ่ยพูด

 

“ฝึกซ้อม”

 

“เห”

 

แบบนี้จะต่างอะไรกับบอกว่าเข้ามหาวิทยาลัยโซลได้เพราะมุ่งมั่นอ่านหนังสือกันล่ะ

 

เธอทำปากยื่นอย่างแง่งอน

 

“ไม่ได้ล้อเล่นนะ ไม่มีวิธีอื่นนอกจากการฝึกซ้อมแล้วจริงๆ เทีย โดยเฉพาะร่างกายผอมบางไร้เรี่ยวแรงอย่างเจ้า ยิ่งต้องฝึกจนร่างกายชินกับมัน”

 

“ค่ะ…”

 

ที่ชานาเนสพูดนั้นถูกต้องแล้ว

 

คงจะเหมือนท่านพ่อที่ร่างกายผอมบางละมั้ง ขนาดเธอพยายามใส่ใจ กินเยอะ นอนเยอะ แต่ร่างกายก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรให้เห็นอยู่ดี

 

“ยังอีกนานเหรอครับ”

 

“พวกเราอยากเล่นกับเทียครับ ท่านแม่”

 

สองแฝดร้องคร่ำครวญกลิ้งไปมาบนโซฟา

 

พวกเขารักษาสัญญาที่บอกว่าจะคอยเฝ้าดูอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ข้างๆ ในระหว่างที่เธอเรียนมารยาทฉบับชาววังจากชานาเนสกันได้ค่อนข้างดีทีเดียว

 

“ตอนนี้ก็พอจะรู้วิธีการถวายบังคมบ้างแล้วใช่มั้ย เทีย”

 

“ค่ะ จะพยายามฝึกซ้อมให้หนัก พรุ่งนี้รบกวนช่วยดูให้อีกครั้งนะคะ”

 

ยังไงหากไม่อยากกลายเป็นตัวตลกต่อหน้าองค์จักรพรรดิและจักรพรรดินี อย่างน้อยก็ต้องเรียนรู้วิธีการถวายบังคมให้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

 

โดยเฉพาะเจ้าชายลำดับที่หนึ่งนั่น ต่อให้ตายเธอก็ไม่อาจทนมองหมอนั่นหัวเราะเยาะเธอได้

 

ชานาเนสลูบศีรษะเธอที่กำหมัดทั้งสองข้างแน่นด้วยความอ่อนโยน

 

“ข้าน่าจะมีลูกสาวอย่างเจ้าบ้าง”

 

เหมือนจะไม่ได้พูดเฉยๆ น้ำเสียงของชานาเนสเปี่ยมไปด้วยความเสียดาย

 

“ทำไมถึงได้กลายเป็นแม่ของแฝดซุกซนแบบนี้ไปได้”

 

ชานาเนสยิ้มจนจมูกย่นในขณะที่หยิกแก้มยุ้ยของเมโลนกับคิลลีวูเบาๆ

 

“ยังไม่สายไปเสียหน่อยนี่คะ”

 

ภาพของชานาเนสที่ดูเหมือนจะอยากได้ลูกสาวจริงๆ ทำให้เธอเผลอหลุดพูดออกไปโดยไม่รู้ตัว

 

“…หืม”

 

อา คำพูดเมื่อครู่นี้ มันไม่ใช่คำพูดที่ควรจะหลุดออกมาจากปากของเด็กอายุแปดขวบ ที่ยังไม่ได้เรียนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงและยังไม่รู้เรื่องราวอะไร

 

จะแก้ตัวให้มันดูคลุมเครือยังไงดี เธอหัวเราะออกไปก่อนก็แล้วกัน

 

“แหะๆ”

 

สุดท้ายฟีเรนเทียจึงเบี่ยงลูกศรไปทางสองแฝดแทน

 

“ทั้งสองคนเองก็อยากมีน้องสาวใช่มั้ย”

 

นึกว่าถามออกไปแบบนี้ แล้วจะตอบกลับมาในทันทีว่า ‘อื้อ’ เสียอีก

 

เด็กสองคนนี่ดูเบื่อหน่ายอยู่ตลอดเวลา เธอเลยคิดว่าพวกเขาเองก็คงจะคิดว่าหากมีน้องก็คงจะได้มาเล่นด้วยกันแต่ปฏิกิริยาของคิลลีวูกับเมโลนกลับเฉยชามาก

 

“หืม ไม่ค่อยนะ”

 

“ข้าก็ไม่ค่อยอยาก”

 

“ทำไมล่ะ”

 

คิลลีวูกลอกนัยน์ตากลมโตไปมาอยู่รอบหนึ่ง ก่อนจะตอบคำถามของเธอ

 

“พวกเราชอบเล่นกับเทียละมั้ง”

 

“อื้อ เล่นด้วยกันแค่สามคนแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว”

 

“ไม่ชอบให้เด็กคนอื่นเข้ามาแทรก”

 

เด็กพวกนี้ทำราวกับมันเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ เลยนะ

 

“แต่นอกจากทั้งสองคน ข้าก็มีเพื่อนให้เล่นตั้งเยอะนะ”

 

ต่อไปก็น่าจะมากสุดๆ เลยละมั้ง

 

“โกหก! เทียน่ะ ถ้าพวกเราไม่เล่นด้วย ทุกวันก็เอาแต่อ่านหนังสืออยู่คนเดียวไม่ใช่เหรอ”

 

“ตะ…ตอนนี้อาจจะเป็นอย่างนั้นก็จริงแต่ว่า”

 

พูดจาทิ่มแทงตรงจุดเหมือนกันนะยะ

 

เธอหลบสายตาสองแฝด

 

ทันใดนั้นสองแฝดก็แสยะยิ้ม คล้องแขนเธอคนละข้าง เริ่มร้องเอาแต่ใจ

 

“เล่นกัน! ไปเล่นกัน!”

 

“ไปเล่นซ่อนแอบกันอีกเถอะ! ”

 

สุดท้ายเหล่าลูกหมาบีเกิ้ลที่ถูกขังไว้ก็หลบหนีออกมาจนได้

 

“เข้าใจแล้ว งั้นก่อนอื่น…”

 

ปล่อยก่อนแล้วค่อยพูดกันดีๆ เถอะ พูดกันด้วยคำพูดน่ะ

 

เธอกำลังแกะมือของทั้งคู่ที่จับเธอไว้แน่นออกด้วยความยากลำบาก แต่ประตูห้องบ้านพักของชานาเนสกลับเปิดออก พร้อมกับใครบางคนเดินเข้ามา

 

“ท่านพ่อ!”

 

คู่แฝดที่เขย่าแขนเธอไม่ยอมปล่อยทั้งๆ ที่ขนาดตัวก็ใหญ่กว่าเธอ ต่างก็ผละออกไปในพริบตา ก่อนจะวิ่งกรูกันเข้าไปหาชายหน้าตาดีที่เดินเข้ามาข้างใน

 

“วันนี้ทำไมกลับมาเร็วแบบนี้ล่ะครับ”

 

“งั้นตอนนี้ก็เล่นกับพวกเราจนถึงเวลานอนได้แล้วใช่มั้ยครับ”

 

ชายกลางคนอายุประมาณสามสิบกว่าร่างสูงใหญ่เจ้าของเรือนผมสีบลอนด์เข้มที่ถูกหวีเป็นทรงคนนี้คือเวสติน ชูลส์ สามีของชานาเนส หรือบิดาของสองแฝดนั่นเอง

 

เขาเข้ามาอาศัยอยู่ในฐานะบุตรเขยที่แต่งเข้าตระกูล แต่ก็ยังคงรักษานามสกุลของตระกูลเดิมก่อนแต่งงาน ไม่เปลี่ยนมาใช้นามสกุลลอมบาร์เดีย

 

“โอ้ เจ้าเด็กพวกนี้!”

 

เวสตินยิ้มหัวเราะ อุ้มสองแฝดไว้บนแขนคนละข้าง

 

“มาแล้วหรือคะ”

 

ชานาเนสลุกขึ้นทักทายเวสติน

 

“วันนี้งานไม่ค่อยมีอะไรนัก ก็เลยกลับมาเร็วน่ะครับ อยู่กับพวกเด็กๆ เรียบร้อยกันดีมั้ยครับ ชานาเนส”

 

เวสตินยิ้มอ่อนโยน จุมพิตลงข้างแก้มของชานาเนส

 

คำทักทายที่เปี่ยมไปด้วยความรักนั่น ทำให้เธอได้แต่เงยหน้าเหม่อมองคู่สามีภรรยาที่ดูมีความสุขกันดี

 

คำว่าคู่สร้างคู่สม คือคู่แบบนี้หรือเปล่านะ

 

แววตาที่มองสบประสานกันนั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่น

 

“โอ้ ฟีเรนเทียมาหรอกหรือ สบายดีหรือเปล่าเรา”

 

ในตระกูลของพวกเรามีคนทักทายเธออย่างปกติตามแบบที่เธอต้องการด้วยหรือเนี่ย!

 

พอเวสตินผู้มีหน้าตาหล่อเหลา ทั้งยังสูงยาวเข่าดี ยิ้มใจดีออกมา บรรยากาศรอบตัวก็ดูเหมือนจะพลันสดใสขึ้นมาเลย

 

“สวัสดีค่ะ”

 

เธอประสานมือ โค้งศีรษะทักทายด้วยความนอบน้อม

 

“ขอโทษด้วยนะ ที่ครั้งก่อนไปร่วมงานปาร์ตี้วันเกิดของเจ้าไม่ได้ วันนั้นงานยุ่งมากเลยน่ะ”

 

ถึงแม้เวสตินจะไม่ใช่คนของตระกูลลอมบาร์เดีย แต่เขาก็รับผิดชอบกิจการเล็กๆ ของตระกูลหลายอย่าง เพราะเป็นคนมีความสามารถรอบด้าน

 

กิจการที่ช่วงนี้กำลังร้อนแรงมากที่สุดก็คือกิจการขนส่งแร่ที่ขุดได้จากเหมืองทางเหนือที่ทางลอมบาร์เดียเป็นเจ้าของ และขนส่งเข้ามาขายในภาคกลางแต่แร่ที่ค้นพบเมื่อหลายปีก่อนถูกขุดหมดแล้ว เลยนึกว่าจะว่างไปจนกว่าจะถึงช่วงขุดหาแร่ใหม่ในปีหน้าเสียอีก ไม่ใช่หรอกเหรอ

 

ถึงยังไงกิจการที่เวสตินรับผิดชอบดูแลไม่ได้มีแค่ธุรกิจเหมืองแร่อยู่แล้ว เธอจึงไม่คิดอะไรมาก

 

“ชานาเนส พวกเราเองก็ลองพยายามมีลูกสาวน่ารักๆ แบบฟีเรนเทียกันบ้างดีมั้ยครับ แน่นอนว่าเด็กผู้ชายเองก็น่ารัก แต่ว่า…”

 

เวสตินหันมามองเธอด้วยความเสียดาย พลางเอ่ยพูด

 

“…พวกเด็กๆ ฟังอยู่นะคะ อย่าพูดแบบนั้นสิ”

 

ชานาเนสหน้าแดงก่ำ ผลักหน้าอกของเวสตินที่กอดเอวนางอยู่ ในขณะที่เอ่ยพูดไปด้วย

 

ว้ายๆ ดูสิ สองคนนี้เคมีเข้ากันได้ดีจริงๆ

 

เธอตั้งใจขยับตัวเอื้อมไปหยิบคุกกี้ที่วางอยู่ตรงหน้ามาหลายชิ้น แบ่งให้สองแฝด แล้วเอ่ยพูดกับพวกเขา

 

“พวกเราออกไปเล่นกันดีมั้ย”

 

โล่งอกที่สองแฝดพยักหน้าตอบว่าไปในทันที พวกเราจึงเดินออกมาข้างนอก

 

พอเล่นซ่อนแอบกันทีไร เธอก็เป็นคนหาทุกที เธอจึงยืนมองคิลลีวูกับเมโลนที่ส่งเสียงหัวเราะคิกคักวิ่งหนีไปไกล แต่แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา

 

คู่สามีภรรยาที่มีความสัมพันธ์กันดีขนาดนั้น ทำไมอีกสามปีให้หลังถึงได้หย่าร้างกันเสียล่ะ

 

แถมสองแฝดนี่ก็โดนพ่อพาตัวไป ส่วนชานาเนสก็เดินทางลงไปยังบ้านพักตากอากาศของลอมบาร์เดียที่อยู่แถบชานเมืองของอาณาจักร

 

หลังจากนั้นกว่าชานาเนสจะกลับมายังคฤหาสน์ลอมบาร์เดียอีกครั้ง ก็มีเพียงแค่งานศพของท่านปู่เท่านั้น

 

เธอนึกถึงคู่สามีภรรยาที่จับมือมองหน้ากันและกัน แล้วก็ได้แต่เอียงคอด้วยความงุนงง

 

Related

Related

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล

Status: Ongoing Native Language: Korean
อ่านเรื่อง เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูลเมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ฟีเรนเทียพบว่าเธอได้ย้อนกลับมายังอดีตในสมัยที่เธอเพิ่งจะอายุได้แค่ 7 ขวบ เพื่อช่วยตระกูลลอมบาร์เดียและชีวิตของพ่อ เธอจึงตั้งใจว่าจะขึ้นเป็นเจ้าตระกูลคนถัดไปให้ได้

Comment

Options

not work with dark mode
Reset