เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล – ตอนที่ 20.2

“สวัสดี เอสทีร่า! ”  

 

“เชิญค่ะ คุณหนู”  

 

ทันทีที่เปิดประตูโรงแพทย์เข้าไป เอสทีร่าก็ต้อนรับเธอด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร  

 

ฟีเรนเทียรู้สึกกระอักกระอ่วนนิดหน่อยที่พูดจาไร้หางเสียงกับเอสทีร่าที่เป็นผู้ใหญ่ แต่ในเมื่อมันเป็นวิธีการปฏิบัติต่อเหล่าลูกจ้าง เธอจึงไม่อาจเลี่ยงได้  

 

แน่นอนว่าเครย์ลีบันซึ่งเป็นอาจารย์ หรือดอกเตอร์โอมัลลี่ที่อายุมากแล้ว และบรรณารักษ์โบรชูล ถือเป็นข้อยกเว้น  

 

ระหว่างที่เอสทีร่าช่วยรักษาแผลที่ข้อมือของเธอให้แทนดอกเตอร์โอมัลลี่ พวกเราก็เริ่มสนิทกันมากขึ้นพอสมควร  

 

“วันนี้เอาเค้กผลไม้มาด้วยละ! ”  

 

ไม่สิ ต้องบอกว่าเธอพยายามเพื่อที่จะสนิทกับเอสทีร่าให้มากขึ้นจะถูกต้องมากกว่า  

 

ผิดคาดที่เอสทีร่าซึ่งมองภายนอกแล้วน่าจะชอบพวกชารสชมมากกว่าของหวานคนนี้ กลับเป็นพวกคลั่งไคล้ของหวานเป็นอย่างมากแต่ด้วยเงินเดือนเพียงน้อยนิดของเอสทีร่าแล้ว นางไม่อาจทานของหวานชั้นเลิศราคาแพงได้อย่างที่ใจอยาก ฟีเรนเทียจึงฉวยโอกาสใช้จุดนั้นแทรกซึมเข้าไปทีละนิด  

 

“ขอบคุณค่ะ คุณหนู”  

 

พอเห็นเธอหยิบเค้กออกมาจากกระเป๋าปิกนิก รอยยิ้มก็เบ่งบานบนใบหน้าคมได้รูปของเอสทีร่า  

 

“เอามาหมดทั้งปอนด์เลย เพราะฉะนั้นเอากลับไปกินที่หอพักด้วยก็ได้นะ!”  

 

เวลาแบบนี้ เรื่องที่เธอคือหลานสาวตระกูลลอมบาร์เดีย ซึ่งใกล้เคียงกับการมีทรัพย์สินไม่อั้นแล้ว ช่างเป็นเรื่องที่ทำให้ชีวิตสบายขึ้นจริงๆ  

 

ถ้าหากเอสทีร่าอยากจะซื้อเค้กหนึ่งปอนด์แบบนี้แล้วละก็ นางจะต้องไปที่ร้านขนมหวาน หลับตาแน่นกลั้นใจซื้อมัน แต่เธอแค่คว้าตัวคนงานที่เดินผ่านไปผ่านมาสักคน ขอให้ไปเอาเค้กสักปอนด์ที่จะใส่ลงในกระเป๋าปิกนิกขนาดพอให้เธอถือได้ก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว  

 

“ถ้ามีเวลา คุณหนูเองก็อยู่ทานชาสักแก้วกับเค้กด้วยกันสิคะ”  

 

ช่างเป็นเสียงน่ายินดีในบรรดาเรื่องที่ได้ยินจริงๆ เพราะยังไงเธอก็จำเป็นต้องหาข้ออ้างเพื่ออยู่สนทนากับเอสทีร่าอยู่แล้ว  

 

เธอพยักหน้าแข็งขัน เอสทีร่าจึงหยิบกาน้ำชาตั้งบนเตา  

 

“ถ้างั้นระหว่างรอน้ำเดือด มาดูข้อมือกันหน่อยดีมั้ยคะ”  

 

“อื้อ นี่”  

 

เอสทีร่าสำรวจข้อมือของเธอที่ตอนนี้มองภายนอกดูไม่เป็นอะไรแล้วอย่างระมัดระวัง ราวกับกำลังลูบใบไม้ร่วงที่แห้งแตกได้ง่าย  

 

“นี่ก็ดูเหมือนจะหายดีแล้วนะคะเนี่ย”  

 

“ข้าบอกตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วไม่ใช่หรือไง ว่าตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้วน่ะ”  

 

“ถ้าประมาท ต่อไปอาจจะเจ็บหนักกว่านี้ก็ได้ ไม่ได้หรอกค่ะ”  

 

เพราะอย่างนั้นเธอเลยสามารถสนิทสนมกับเอสทีร่าได้มากขึ้น สำหรับเธอก็ถือว่าดีแล้วแหละ  

 

หลังจากที่ได้รับการประเมินว่าหายดีสมบูรณ์แล้ว ก็ได้เวลาตัดเค้กแบ่งออกมาหนึ่งชิ้น ดื่มด่ำกับเวลาน้ำชาอันแสนผ่อนคลาย  

 

เวลาผ่านไปได้สักพัก ในตอนที่คิดว่าเอสทีร่าคงจะเอร็ดอร่อยกับรสชาติของเค้กไปได้ในระดับหนึ่งแล้ว เธอก็เอ่ยถามโดยแสร้งทำราวกับว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร  

 

“ความฝันของเอสทีร่าคืออะไรเหรอ”  

 

คำว่า ‘ความฝัน’ อาจจะฟังดูเหมือนคำถามเด็กๆ ของเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่ง แต่เอสทีร่ากลับไม่มีสีหน้าแบบนั้น  

 

นางครุ่นคิดอย่างจริงจัง ก่อนจะตอบออกมาในทันที  

 

“เป้าหมายของข้าคือ การได้เข้าร่วมอะคาเดมี เพื่อวิจัยค้นคว้าทางด้านสมุนไพรค่ะ”  

 

“อา สมุนไพรศาสตร์”  

 

เป็นไปตามที่คิดไว้จริงๆ ที่แท้เอสทีร่าก็มีแผนชีวิตแบบนั้นตั้งแต่สมัยนี้แล้วนี่เอง  

 

เธอแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ เอียงคอด้วยความงุนงง พลางเอ่ยพูด  

 

“แต่อะคาเดมีมันแพงไม่ใช่เหรอ”  

 

อะคาเดมีที่ปฐมกษัตริย์แลมบลูจัดตั้งขึ้นโดยได้รับการบริจาคจากตระกูลลอมบาร์เดียนั้นไม่ว่าใครก็ตามที่สอบผ่านก็สามารถเข้าศึกษาได้โดยไม่มีการแบ่งแยกฐานะ แต่ก็ยังคงมีชื่อเสียงด้านลบเรื่องค่าเทอมที่แพงหูฉี่อยู่ดี  

 

อีกอย่างพวกสามัญชนส่วนใหญ่ก็เป็นคนไม่รู้หนังสือ ดังนั้นหากจะมองว่าอะคาเดมีนั้นเป็นสถานที่ให้ความรู้สำหรับพวกชนชั้นสูงก็ไม่ผิดนัก  

 

“ค่ะ ใช่แล้วล่ะค่ะ เพราะฉะนั้นถึงได้พยายามรวบรวมเงินอยู่น่ะค่ะ ตั้งใจว่าถ้าหาเงินค่าเทอมได้สักประมาณหนึ่งปี หลังจากนั้นก็น่าจะลองขอทุนการศึกษาได้ค่ะ”  

 

“ตอนนี้รวบรวมได้เท่าไหร่แล้วล่ะ”  

 

“ประมาณครึ่งหนึ่ง…”  

 

ปลายหางเสียงประโยคของเอสทีร่าสั่นไหว  

 

ฝุ่นผงไม่ว่าจะรวบรวมอย่างไรก็ได้เพียงแค่เศษฝุ่น  

 

แต่ถึงยังไงที่รวบรวมได้กว่าครึ่งหนึ่งก็ถือว่าเก่งมากจริง ๆ  

 

“แล้วหลังจากนั้นล่ะ วิจัยด้านสมุนไพรศาสตร์ในสถาบันศึกษาแล้วอยากจะทำอะไรต่อ”  

 

คำถามนี้มันผิดคาดไปหน่อยหรือไงนะ  

 

เอสทีร่ามองเธอด้วยนัยน์ตาแปลกใจพิกล  

 

“ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่าคุณหนูอายุแค่เจ็ดขวบจริงๆ”  

 

“อีกไม่กี่วันก็แปดขวบแล้วนะ!”  

 

อันที่จริงจะเจ็ดหรือแปดขวบมันก็ไม่ได้แตกต่างกันนักหรอก  

 

เธอเชิดคางขึ้นเอ่ยพูดหน้าด้านๆ  

 

“ข้า…อยากจะศึกษาสมุนไพรศาสตร์อย่างเป็นระบบ แล้วสร้างโรงแพทย์ที่แม้แต่คนไม่มีเงินก็สามารถมารับการรักษาได้ค่ะ”  

 

เอสทีร่าพูดอย่างระมัดระวัง  

 

“นี่แหละ ‘ความฝัน’ ”  

 

เอสทีร่าพูดราวกับมันเป็นเรื่องน่าอาย แต่เธอไม่คิดจะเยาะเย้ยนางหรอกเพราะความฝันมันเป็นสิทธิ์ที่ถูกต้องของคนที่ยังไม่อาจทำให้มันสำเร็จได้ยังไงล่ะ  

 

กลับกัน เธอเอ่ยถามเสียงเรียบ  

 

“ถ้างั้นข้าช่วยเอามั้ย”  

 

“…คะ?”  

 

“ความฝันของเอสทีร่าน่ะ ข้าน่าจะช่วยได้นะ”  

 

แพขนตายาวเหนือนัยน์ตาของเอสทีร่ากะพริบอย่างเชื่องช้าคล้ายกับกำลังพยายามทำความเข้าใจคำพูดของเธอ  

 

“หมายถึงเป็นนักเรียนทุนของลอมบาร์เดียเหรอคะ”  

 

ว่าแล้วเชียว เอสทีร่าน่ะหัวไวไม่นานก็ประเมินความหมายของคำพูดที่เธอโยนออกไปได้ในทันทีเสียแล้ว  

 

“เปล่า ข้าพูดถึง ‘ความฝัน’ ของเอสทีร่านะ? ไม่ใช่เป้าหมาย”  

 

เอสทีร่าบอกว่าเป้าหมายของนางคือการศึกษาสมุนไพรศาสตร์ที่สถาบันศึกษาและความฝันคือการสร้างโรงแพทย์เพื่อคนยากไร้ในสักวันหนึ่ง  

 

“นะ…นั่นเป็นแค่เรื่องที่ข้าใฝ่ฝันเฉยๆ …”  

 

“ใช่แล้วละ หมายความว่านั่นเป็นสิ่งที่เอสทีร่าต้องการจริงๆ ไม่ใช่เหรอ ข้าช่วยได้นะ”  

 

เธอยิ้มกว้างพลางเอ่ยพูด  

 

“แต่ก็นะ ก่อนอื่นก็คงต้องเริ่มจากไปอะคาเดมีอยู่ดี”  

 

อย่างที่นางกล่าว ตอนนี้เธอเป็นเพียงแค่เด็กน้อยที่กำลังจะอายุครบแปดขวบเท่านั้นแต่เธอเป็นคนที่รู้วิธีที่จะช่วยให้ความฝันของเอสทีร่าเป็นจริงด้วยเช่นกัน  

 

อีกอย่าง เธอยังเป็นคนของตระกูลลอมบาร์เดียอีกด้วย  

 

และสำหรับลอมบาร์เดีย เงินที่จะใช้ในการส่งใครสักคนไปยังอะคาเดมีของอาณาจักรแทบจะไม่สามารถเรียกมันว่าเงินได้ด้วยซ้ำ  

 

แค่เงินค่าขนมไม่กี่เดือนของเธอที่ออมอยู่ในธนาคารลอมบาร์เดียตอนนี้ ก็สามารถแก้ไขปัญหาได้แล้ว  

 

“เป็นไง”  

 

ดูเหมือนเอสทีร่าเองก็จะรู้เรื่องนั้นดี นางถึงได้ไม่หัวเราะเยาะคำพูดของเธอ  

 

นัยน์ตาของเอสทีร่าที่เคยสั่นไหวราวกับเกิดแผ่นดินไหวพลันกระจ่างใสขึ้นมาในพริบตา  

 

เอสทีร่าสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะเอ่ยถามเธอ  

 

“ถ้าอย่างนั้นอยากจะให้ข้าทำสิ่งใดคะ”  

 

หัวไวจริงๆ ด้วย  

 

เพราะอย่างนั้นถึงได้ยิ่งสามารถเชื่อถือได้ขึ้นมาอีกระดับจริงๆ  

 

แต่เธอแค่ยักไหล่ไม่ยี่หระเท่านั้น  

 

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ก็แค่ช่วยสกัดยาเมลคอนให้ข้าได้มั้ย”  

 

“ยาเมลคอน…อย่างนั้นเหรอคะ”  

 

“อื้อ! หรือว่ามันยาก”  

 

“เปล่าค่ะ ไม่ใช่ยาที่ทำยากอะไรขนาดนั้น แต่ว่า…”  

 

ยาเมลคอนเป็นยาที่ผสมผสานสมุนไพรหลายชนิดเข้าไว้ด้วยกัน สำหรับเด็กที่กำลังโตแล้วถือว่าเป็นอาหารเสริม และยังเป็นเหมือนยาบำรุงสำหรับผู้ใหญ่ที่เหนื่อยล้า เป็นเพียงยาสามัญทั่วไป  

 

“แต่จะต้องทำออกมาเป็นสารสกัดเข้มข้นนะ ยิ่งเข้มยิ่งดี ขวดเท่านี้ได้ เอาปริมาณมากพอที่จะสามารถใช้ได้ทุกวันตลอดสักหนึ่งเดือน”  

 

“คุณหนูไม่ได้ใช้เองสินะคะ”  

 

ถ้าหากเพื่อตัวเธอเองแล้ว ย่อมไม่จำเป็นต้องหลอมเอาไว้ล่วงหน้าในปริมาณสำหรับหนึ่งเดือน แค่สั่งคนงานก็สามารถสั่งให้ส่งมาที่ห้องได้ทุกวันอยู่แล้ว  

 

“…ยาเมลคอนอย่างนั้นหรือ ได้ค่ะ ข้าจะทำให้ค่ะ”  

 

ในเมื่อไม่ว่าใครจะเป็นคนกิน ก็ย่อมไม่ก่อให้เกิดเรื่องอันตรายอะไรอยู่แล้ว ดังนั้นจึงยอมช่วยสินะ  

 

“ไม่ต้องกังวลหรอก เอสทีร่า”  

 

เธอไม่ได้จะใช้ยานั่นไปทำอันตรายใคร แต่จะเอาไปช่วยคนต่างหาก  

 

“ขอบใจนะ! ข้าจะคิดเสียว่านั่นเป็นของขวัญวันเกิดของข้า! ”  

 

พูดออกไปเพื่อไม่ให้รู้สึกเหมือนเป็นมันข้อตกลง  

 

เธอจำเป็นต้องเป็นคนที่เอสทีร่ายอมให้ความไว้วางใจ จะทำให้กลายเป็นเพียงแค่คนที่มีข้อตกลงร่วมกันเท่านั้นไม่ได้เด็ดขาด  

 

โล่งอกที่เอสทีร่ายิ้มออกมาอย่างผ่อนคลายลงเล็กน้อย พลางพยักหน้าตอบรับ  

 

“จะได้ประมาณเมื่อไหร่เหรอ”  

 

“หนึ่งอาทิตย์ก็พอแล้วค่ะ”  

 

“อื้อ! แบบนั้นก็ดีเลย!”  

 

ยาเมลคอนเป็นยาบำรุงที่สามารถใช้ได้กับทุกคนไม่ว่าจะชายหญิงหรือผู้สูงวัย แต่มันยังมีประสิทธิภาพอีกอย่างหนึ่งที่ยังไม่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย  

 

“รบกวนสกัดให้เข้มข้นที่สุดเลยนะ”  

 

ต่อให้ไม่แรงนัก แต่ถ้าหากใช้อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน มันจะกลายเป็นยาที่มีผลในการใช้แก้พิษทั่วไปได้เกือบทุกชนิดเลยทีเดียว

Related

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล

Status: Ongoing Native Language: Korean
อ่านเรื่อง เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูลเมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ฟีเรนเทียพบว่าเธอได้ย้อนกลับมายังอดีตในสมัยที่เธอเพิ่งจะอายุได้แค่ 7 ขวบ เพื่อช่วยตระกูลลอมบาร์เดียและชีวิตของพ่อ เธอจึงตั้งใจว่าจะขึ้นเป็นเจ้าตระกูลคนถัดไปให้ได้

Comment

Options

not work with dark mode
Reset