เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล – ตอนที่ 11.2

ห้องที่เธอกับท่านพ่อใช้งาน มีโครงสร้างเหมือนอพาร์ตเมนต์ห้องหนึ่งมากกว่า ‘ห้อง’ ธรรมดาอย่างที่พูด

 

ทางเข้าออกที่จะเข้ามาที่นี่ได้มีประตูแค่บานเดียวก็จริง แต่ยังมีห้องแยกอีกสี่ห้องด้านในโดยเชื่อมต่อกับพื้นที่ส่วนกลางซึ่งใช้เป็นห้องนั่งเล่นรวมห้องรับรองไปในตัว

 

เทียบกับสถานที่ที่พวกพี่น้องคนอื่นๆ ของท่านพ่ออาศัยอยู่แล้ว ขนาดมันเล็กกว่ากันค่อนข้างมาก แต่สำหรับเธอแล้วมันเป็นขนาดที่เหมาะสมไม่จำเป็นต้องขยายต่อเติมใดๆ เพิ่มทั้งสิ้น

 

ถ้าหากไม่ใช่อย่างวันนี้ ที่ท่านพ่อรื้อหนังสือออกมาวางระเกะระกะอยู่ทั่วห้องรับรองแล้วละก็นะ

 

เธอออกมาจากห้องแล้วก็ต้องตกใจกับภาพห้องนั่งเล่นที่รกไปหมดจนได้แต่ยืนนิ่งงันอยู่กับที่ ท่านพ่อเองก็มัวแต่หมกมุ่นอยู่กับงานของตัวเองจนไม่ทันได้สังเกตเห็นเธอ

 

เธอเดินเข้าไปหาท่านพ่ออย่างระมัดระวัง พยายามไม่ให้เผลอเหยียบหนังสือที่วางกองระเกะระกะอยู่ที่พื้น ดูเหมือนว่าท่านพ่อจะกำลังพยายามวาดอะไรบางอย่างอยู่อย่างแข็งขัน

 

“พ่อคะ?”

 

“โอ้ เทียมาแล้วเหรอ”

 

ท่านพ่อเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเธอ ก่อนจะส่งยิ้มให้อย่างสดใส

 

“ยุ่งอยู่เหรอคะ”

 

“เปล่าหรอก ยุ่งอะไรกัน”

 

ท่านพ่อพูดเช่นนั้น ในขณะเดียวกันก็เก็บของที่กำลังวาดอยู่เลื่อนออกไปไกล

 

ถ้าถูกรบกวนงานที่กำลังตั้งใจทำ ต่อให้เป็นลูกสาวยังไงปกติก็คงจะรำคาญกันบ้าง แต่ท่านพ่อของเธอกลับดึงเธอเข้าไปกอดแน่น

 

“ที่จริงแล้วมีเรื่องอยากจะขอร้องพ่อน่ะค่ะ”

 

“โอ้ๆ เทียของพ่อมีเรื่องจะขอร้องเหรอเนี่ย พ่อทำให้ได้ทุกอย่างเลย”

 

“คือว่า..ช่วยวาดรูปให้หน่อยสิคะ”

 

“รูปหรือ”

 

ท่านพ่อเอียงคอด้วยความสงสัย

 

“เอาสิ เอารูปอะไรดีล่ะ ดอกไม้? ต้นไม้? หรือสัตว์น่ารักล่ะ”

 

“ใบหน้าของท่านย่าค่ะ”

 

“ใบหน้าของ…ท่านย่าหรือ”

 

ท่านพ่อถึงกับพูดอะไรไม่ออก ได้แต่กะพริบตาปริบๆ ดูเหมือนจะตกใจในเรื่องที่เธอร้องขอมากพอสมควร

 

“ค่ะ อยากรู้น่ะค่ะว่าท่านย่าเป็นคนยังไง”

 

ท่านย่าจากไปก่อนหน้าเธอเกิดไม่กี่ปี

 

เธอเคยเห็นภาพเหมือนที่หลงเหลืออยู่หลายครั้งก็จริง แต่ทั้งหมดก็มีเพียงแค่นั้น ท่านพ่อเองก็ดูเหมือนจะเข้าใจความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นของเธอ ท่านถึงได้หยิบเอาสมุดสเก็ตช์ที่วางกองไว้หลายเล่มขึ้นมา ทั้งๆ ที่ยังเกาแก้มด้วยความงุนงง

 

“ไม่รู้สิ…ครั้งสุดท้ายที่เห็นท่านมันก็นานมากแล้ว เลยนึกไม่ค่อยออกเท่าไหร่”

 

ถึงจะพูดแบบนั้น แต่เพียงครู่เดียวมือของท่านพ่อก็ขยับวาดโดยไม่มีการลังอกลังเลใดๆ ถ่านดำในมือขยับอย่างคล่องแคล่ววาดลงบนกระดาษขาวราวกับเต้นระบำ เธอนั่งข้างท่านพ่ออยู่เงียบๆ ชื่นชมภาพนั้น

 

ภายในห้องรับรองจึงเหลือเพียงเสียงถ่านวาดรูปสีกับกระดาษดังครืดคราด

 

“…นี่ไง นี่ท่านละ”

 

“ว้าว! ”

 

มันไม่ใช่เสียงเสแสร้งชื่นชมแต่อย่างใด

 

หลังจากที่เธอมองภาพที่วาดเสร็จสมบูรณ์แล้วก็ต้องส่งเสียงอุทานด้วยความชื่นชมออกมาโดยไม่รู้ตัว

 

ท่านย่าที่ท่านพ่อจำได้กำลังส่งยิ้มเอื้ออารี รอบนัยน์ตามีริ้วรอยจางๆ อยู่หลายเส้น หางตาตกลู่ลงเช่นเดียวกันกับท่านพ่อ

 

ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่ภาพที่วาดด้วยถ่านดำ แต่ก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงความรักที่มีต่อบุตรชายผ่านนัยน์ตาทั้งสองข้างได้

 

“ท่านแม่เป็นคนที่อ่อนโยนมากจริงๆ”

 

ปลายประโยคสั่นไหวเล็กน้อย ท่านพ่อคงจะคิดถึงท่านมาก

 

หลังจากนั้นท่านพ่อก็ใช้นิ้วโป้งลูบปลายกระดาษอยู่หลายครั้ง ก่อนจะฉีกมันออกอย่างระมัดระวัง แล้วส่งให้เธอ

 

“ว่าแต่ทำไมจู่ๆ ถึงขอให้วาดรูปท่านย่าให้ล่ะเทีย”

 

“อืม พอดีมีคนที่อยากจะเอาให้ดูน่ะค่ะ”

 

“คนที่อยากเอาให้ดูเหรอ”

 

ท่านพ่อทำท่าเหมือนอยากจะถามอะไรเพิ่ม แต่เธอม้วนกระดาษเก็บ ถือเอาไว้ในมือข้างหนึ่ง กระโดดผลุบลงจากเก้าอี้

 

“ขอไปเล่นข้างนอกสักครู่นะคะ เดี๋ยวกลับมาค่ะ!”

 

“หืม? ข้างนอก?”

 

ท่านพ่อตื่นตระหนกไปชั่วครู่ ตะโกนเสียงดังไล่ตามหลังเธอที่เปิดประตูวิ่งออกไปจากห้อง

 

“เที่ยวเล่นดีๆ ระวังอย่าให้หกล้มล่ะ!”

 

ไม่ล้มหรอกค่ะ ท่านพ่อ

 

ข้าอายุตั้งเท่าไหร่แล้ว!

 

 

บางทีความจริงแล้วท่านพ่ออาจจะมีความสามารถในการมองเห็นอนาคตก็ได้

 

ตุบ

 

“อ๊ากกกก!”

 

พอออกมาจากอาคารหลักที่พวกเราอาศัยอยู่ เธอก็วิ่งตรงไปยังสถานที่เป้าหมายอย่างเริงร่า แต่เท้าดันสะดุดก้อนหินเข้าจนได้

 

“ฮึบ!”

 

ใช้แรงทั้งหมดเท่าที่เด็กอายุเจ็ดขวบจะสามารถออกแรงได้ส่งไปยังเท้าอีกข้าง เหยียบพื้นแน่นเพื่อสร้างจุดศูนย์ถ่วงในการทรงตัวให้กับร่างกาย จนไม่ต้องหกล้มให้ขายหน้าได้สำเร็จ แต่ถุงผ้าใบเล็กที่ห้อยอยู่ที่เอวดันร่วงตกลงพื้นเสียได้

 

อา กระเป๋าขนมของเธอ

 

ลูกกวาดอันหนึ่งกลิ้งกลุกกลักออกมาจากถุงผ้าที่ไม่ได้รูดปากถุงปิดให้ดี

 

มันกลิ้งตกลงพื้น แต่โล่งอกที่ไม่ได้เลอะฝุ่นดินมากนัก เธอรีบหยิบมันขึ้นมาเป่าฟู่ๆ ปัดสิ่งสกปรกออก ไม่มีใครเห็นสักหน่อย แล้วจะทำไม

 

หลังจากตรวจเช็กดีแล้วว่าผิวหน้าไม่มีดินเลอะเปรอะ ก็จัดการโยนมันใส่เข้าปากทันที

 

“เฮือก!”

 

นี่มันเสียงอะไรกันเนี่ย

 

พอหันไปมองฝั่งที่เกิดเสียงดัง ถึงได้เห็นศีรษะเล็กๆ สองหัวหลบผลุบเข้าไปหลังกำแพงไกลๆ

 

ฟีเรนเทียรู้สึกคุ้นหัวนั่นยังไงชอบกล

 

“ออกมา”

 

เธอพูดไปทางด้านนั้น แต่อีกฝ่ายกลับเงียบไม่ตอบอะไรกลับมา

 

“คิลลีวู เมโลน”

 

พอเอ่ยเรียกชื่อออกไป สองแฝดถึงได้ลากขาเดินออกมาอย่างเชื่องช้า แต่สีหน้าของสองคนนั่นกลับดูแปลกๆ คิลลีวูจ้องเธอไม่ละสายตา ส่วนเมโลนดูกระวนกระวายยุกยิกไม่หยุด

 

“กินของที่หล่นพื้น”

 

“เขาว่าของหล่นพื้นต้องทิ้งนะ”

 

อา ว่าแล้วเชียวเห็นจริงๆ ด้วย

 

“ทำไม อะไร พูดเรื่องอะไร”

 

ถูกจับได้ว่าเก็บลูกกวาดที่หล่นพื้นขึ้นมากิน มันเป็นเรื่องน่าขายหน้ามาก แต่เธอก็ยังยืนกรานจะทำตัวให้หนักแน่นไว้ก่อน

 

“เดี๋ยวตายนะเทีย”

 

“ไปหาดอกเตอร์โอมัลลี่กันเถอะเทีย”

 

สองแฝดคว้าแขนเธอคนละข้าง พยายามลากเธอเดิน

 

“คนเรากินของแค่นั้นไม่ตายหรอกน่ะ”

 

พวกเด็กน่ารำคาญ

 

“ทั้งสองคนตามข้ามาทำไม”

 

รีบเปลี่ยนหัวข้อก่อนที่พวกนี้จะพูดอะไรยืดเยื้อไปไกลกว่านี้

 

“ระ…เรื่องนั้น”

 

โล่งอกที่สองแฝดเงียบลงไปทันทีราวกับถูกใครปิดปาก

 

“ถ้าไม่มีอะไรจะพูด งั้นข้าไปนะ บาย”

 

เธอกำลังยุ่งอยู่นะ ไม่มีเวลาให้มามัวเอ้อระเหยอยู่ที่นี่แบบนี้หรอก

 

เมโลนรีบเอ่ยเรียกเธอที่หมุนตัวกลับด้วยความร้อนรน

 

“พวกเราไปด้วย!”

 

“รู้เหรอไงว่าข้าจะไปไหน”

 

“ไม่รู้หรอก แต่น่าสนุก! ”

 

“ใช่แล้ว! เทียเป็นคนสนุกนี่นา!”

 

นี่ตอนนี้เด็กพวกนี้กำลังซื้อใจเธออยู่หรือไง

 

ฟีเรนเทียคิดแบบนั้นอยู่ชั่วครู่ แต่มีอย่างหนึ่งที่เธอมั่นใจว่าสองคนนี่ไม่ใช่เด็กที่ถ้าเธอห้ามบอกไม่ให้ตามมา แล้วจะยอมไม่ตามมาแต่โดยดีหรอก

 

“ถ้างั้นก็อยู่เงียบๆ อย่าวุ่นวาย ข้ากำลังยุ่งอยู่”

 

“เข้าใจแล้ว! ”

 

“จะอยู่เงียบๆ นะ! ”

 

ภาพสองแฝดพยักหน้ายิ้มด้วยใบหน้าที่เหมือนกันอย่างกับแกะ ดูแล้วก็น่ารักดีเหมือนกันก็สองคนนี้หน้าตาดีกันตั้งแต่เด็กนี่นะ

 

จากนั้นเธอก็เริ่มขยับเท้ามุ่งหน้าไปยังเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้แต่แรกอีกครั้ง

 

ขนาดเธอที่คิดว่าตัวเองเดินเร็วแล้วนะ แต่ขาสั้นๆ ของเด็กอายุเจ็บขวบนี้ไม่สามารถทำความเร็วได้ดั่งใจเลยสักนิด

 

“ว่าแต่ตอนนี้พวกเราจะไปที่ไหนกันเหรอ”

 

คิลลีวูที่กำลังเดินอย่างสบายอกสบายใจราวกับออกมาเดินเล่น ถามเธอที่กำลังหอบแฮก

 

“ไปถึงเดี๋ยวก็รู้”

 

โอ๊ย เหนื่อยชะมัด

 

โล่งอกที่คนที่เธอตั้งใจมาหาอยู่ไม่ไกลมากนัก

 

ในบรรดาตึกของคฤหาสน์ลอมบาร์เดียอันแสนใหญ่โต มันเป็นเขตอาศัยที่อยู่ห่างไกลที่สุด แต่ก็เป็นสถานที่ที่อากาศถ่ายเทดีที่สุดเช่นกัน

 

ที่นี่คือหมู่บ้านขนาดเล็กที่มีบ้านเรือนรวมกันอยู่ มันให้บรรยากาศที่แตกต่างจากฝั่งตัวคฤหาสน์หลักที่พวกเธออาศัยอยู่โดยสิ้นเชิง

 

“ว้าว! ที่นี่คือที่ไหนน่ะ”

 

“ไม่รู้เลยว่าในคฤหาสน์มีที่แบบนี้อยู่ด้วย! ”

 

สองแฝดมองไปรอบๆ เอ่ยพูดไม่หยุดจนไม่สามารถปิดปากลงได้

 

“ที่นี่เป็นสถานที่ที่รวบรวมบ้านลูกจ้างของลอมบาร์เดียกับครอบครัวไง”

 

เธอปาดคางเช็ดเหงื่อที่ไหลรินไปพลางช่วยอธิบายให้ฟังด้วยความภาคภูมิใจ

 

“ตอนนี้ก็เหลือแค่ถามรอบๆ จะได้ตามหาเจอ”

 

ช่างแกะสลักอัจฉริยะที่เผยให้เห็นความสามารถอันรุ่งโรจน์ในช่วงอายุสามสิบ

 

นักศิลปะจากตระกูลลอมบาร์เดียซึ่งภายหลังถึงขนาดได้เป็นคนแกะสลักรูปองค์จักรพรรดิ อัลเพโอ้ จอห์นคนนั้นที่ตอนนี้เพิ่งอายุได้สิบห้าปีอาศัยอยู่ที่ไหนสักแห่งในที่แห่งนี้

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล

Status: Ongoing Native Language: Korean
อ่านเรื่อง เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูลเมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ฟีเรนเทียพบว่าเธอได้ย้อนกลับมายังอดีตในสมัยที่เธอเพิ่งจะอายุได้แค่ 7 ขวบ เพื่อช่วยตระกูลลอมบาร์เดียและชีวิตของพ่อ เธอจึงตั้งใจว่าจะขึ้นเป็นเจ้าตระกูลคนถัดไปให้ได้

Comment

Options

not work with dark mode
Reset