เกิดใหม่พร้อมกับระบบไร้พ่าย – ตอนที่ 6 – บังคับให้มอบเควส

“ผลัก~!”

“สัสเอ้ย วันนี้มีงานอะไรให้ทำมั่ง?”

“ไม่ ไม่…”

“ผัวะ~!”

“จะไม่มีได้ไง? พาม้าไปเดิน ทำความสะอาดคอกม้า ตัดหญ้า มีหลายอย่างที่ต้องทำ แกให้งานพวกนั้นกับข้าไม่ได้?”

“ผู้ดูแลชราคนนี้จะดูแลพวกมันเอง ข้าจะให้ท่านมาทำได้อย่างไร?”

“ผัวะ~!”

“เอามันมาให้ข้าให้หมด.”

“ข้า… ข้า… อย่าเลย แค่ปล่อยให้ตาเฒ่าคนนี้เป็นคนทำ”

“ผัวะ~!”

“บิดาบอกว่ามอบมันมาให้ข้าก็คือให้ข้า หรือว่าจะให้ข้าตัดมันออก.”

แก้มของหม่าทงบวดปูดและดวงตาทั้งสองข้างก็ดำช้ำราวกับหมีแพนด้า เขาสูญเสียฟันและผมที่ไม่เป็นระเบียบ เขาถูกทรมาณโดยลั่วเทียนจนถึงขั้นไม่อาจมองเป็นมนุษย์ได้ เขามองไปที่ลั่วเทียนด้วยความกลัวก่อนที่จะพูดว่า“งั้น… งั้น… งั้นข้าจะ, ข้าจะ, ให้เจ้าเป็นคนดูแล.”

“ติ้ง!”

“ทำความสะอาดคอกม้า คุณจะได้รับค่าประสบการณ์ 30 หากทำสำเร็จ.”

“จูงม้าเดิน คุณจะได้รับค่าประสบการณ์ 20 หากทำสำเร็จ.”

“ให้อาหารม้า คุณจะได้รับค่าประสบการณ์ 10 หากทำสำเร็จ.”

ลั่วเทียนยิ้มอย่างพอใจและมองไปที่หม่าทงและตบหน้าอีกครั้ง พร้อมกับหัวเราะพูดว่า“เจ้าสถุนนี่ต้องถูกทุบตีเจียนตายก่อนที่จะมอบงานให้กับข้า.”

เขารู้สึกดีใจอย่างที่สุดที่ไม่ได้ฆ่าหม่าทงเมื่อวานนี้ ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่ได้รับเควสเหล่านี้.

ถึงแม้ว่าค่าExpจะได้ไม่มากเท่าไหร่แต่ทุกแต้มเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับลั่วเทียน อย่างแรกเขาต้องการมันเพื่อเพิ่มเลเวล.

“นายน้อยๆ…”

ฟางเล่ยกำลังแบกถุงผ้าและวิ่งมาหาลั่วเทียนอย่างเหนื่อยหอบ พร้อมกับรอยยิ้มที่หยาดเยิ้ม“นายน้อย ข้ามองไปรอบๆห้องส้วมและนี่คือสิ่งที่ข้าหามาได้.”

หลังจากที่พูดอย่างนั้น ฟางเล่ยก็เปิดถุงผ้าพร้อมกับมีกลิ่นเหม็นโชยออกมา ภายในมีด้วงมูลมากกว่า 10 ตัว.

ลั่วเทียนตบไปที่ไหล่ของฟางเล่ยและกล่าวว่า“อ้วนเล่ย เจ้าทำได้ดีมาก เมื่อนายน้อยคนนี้มีเงินข้าจะพาเจ้าไปกินเนื้อ”

ฟางเล่ยเกาหัวและมีรอยยิ้มโง่ๆอีกครั้ง หลังจากที่เขาคิดว่าจะได้กินเนื้อ น้ำลายาของเขาเกือบจะไหลออกมาจากปาก.

กินเนื้อ เป็นฝันของเขาเสมอ.

ตลอดระยะเวลา 3 ปี เขาลืมไปแล้วว่าเนื้อนั้นมีรสชาติอย่างไร.

ลั่วเทียนมัดถุงผ้าและโยนมันลงกับพื้น จากนั้นเขาก็กระทืบลงบนนั้น.

ฟางเล่ยดูท่าทางที่แปลกประหลาดของลั่วเทียนและไม่อาจถามออกมา เขายินเหมือนเป็นคนโง่และกำลังฝันถึงเวลาที่ลั่วเทียนพาเขาไปกินเนื้อ…

เสียงแจ้งเตือนอย่างบ้าคลั่งดังภายในใจของลั่วเทียน.

“ติ้ง!”

“ขอแสดงความยินดีกับผู้เล่น ลั่วเทียน ที่ได้สังหารดวงมูล คุณจะได้ Exp 1 แต้มและพลังปราณ 0…”

“ติ้ง!”

“ขอแสดงความยินดี…”

มันใช้เวลาไม่กี่นาทีก่อนที่ด้วงมูลหลายสิบตัวที่ตายอย่างน่าเศร้าเบื้องล่างเท้าของลั่วเทียน ตอนนี้เขาได้ Expมากมายจากถุงผ้า ลั่วเทียนมองไปที่แถบExpและยิ้มน้อยๆ“อ้วนเล่ยออกไปหาด้วงมูลให้มากกว่านี้มาให้ข้า เมื่อเจ้าหามันครบ 100 ตัว นายน้อยคนนี้จะพาเจ้าไปกินเนื้อ!”

ตาของฟางเล่ยเบิกกว้าง“กินเนื้อ? เรื่องจริง?”

“แน่นอน นายน้อยของเจ้าเคยโกหกเจ้าหรือไม่?”ลั่วเทียนตอบ.

ฟางเล่ยหยิบถุงผ้าด้วยรอยยิ้มและวิ่งออกไปราวกับสายลม.

ลั่วเทียนไม่ได้อยู่เฉินและทำเควสแต่ละอย่างให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว.

————

3 วันต่อมา.

รุ่งเช้า.

ลั่วเทียนทุบตีหม่าทงเพื่อให้เขามอบเควส น่าเสียดายที่เขาไม่อาจทำให้เควสออกมาได้อีก.

ไม่ใช่ว่าหม่าทงไม่ได้ให้งานใดๆกับลั่วเทียน แต่มันเพียงแค่เขาไม่อาจนับมันเป็นเควสได้อีก.

เหมือนเหมือนกับเควสทั่วๆไป.

นี่เป็นเหตุผลที่ลั่วเทียนทุบตีหม่าทงอย่างโหดร้าย!

“จะมีเควสมากกว่านี้อีกไหม?”

เขายังไม่ทันได้เลเวลอัพไปยังปราณพื้นฐานขั้น 4 และมันไม่มีเควสอีกต่อไป มันจะไม่ทำให้ลั่วเทียนโกรธได้อย่างไร? ทำไมเขาไม่สามารถเอามันออกมาได้?

ไม่ต้องกล่าวถึงหม่าทง เขาได้ทุบตีมันอย่างโหดร้าย แต่มันก็ไม่อาจมีเควสออกมา ราวกับว่าเขาไม่ใช่ลั่วเทียน.

หากไม่มีเควสรายวัน เท่ากัยสูญเสียExpเป็นอย่างมากและทำให้การอัพเลเวลของเขาช้าลง.

หลังจากที่ถูกทุบตีอย่างโหดร้ายหม่าทงลุกขึ้นยืนที่มุมคอกม้า และเขาพึมพำกับตัวเอง“เนื่องจากข้าไม่อาจได้รับเควสใดๆในตอนนี้ ข้าต้องหาอย่างอื่นเพื่อให้ได้รับExp ข้าไม่อาจรอและทำอะไรได้.”

“ฟางเล่ยมีสถานที่ใดที่อยู่ใกล้ๆเมืองภูเขาหยกและมีสัตว์ร้ายเป็นจำนวนมากบ้าง?”

“มันเป็นแค่สัตว์ป่าตามปกติและไม่ใช่สัตว์ปีศาจ.”ลั่วเทียนกำชับเขา.

สัตว์ป่าและสัตว์ปีศาจอยู่ในระดับที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การฆ่าสัตว์ป่าเป็นไปได้ แต่เขาไม่กล้าคิดถึงขนาดฆ่าสัตว์ปีศาจ.

ฟางเล่ยนั่งอยู่ที่พื้นและเกาหัวไปพักหนึ่ง จากนั้นเขาก็ส่ายหัวและพูดว่า“ข้าไม่รู้จริงๆ นายน้อยคิดจะฆ่าสัตว์ป่าและเอาเนื้อมากิน?”

เมื่อวานฟางเล่ยได้เสร็จสิ้นภารกิจของเขาในการหาด้วงมูล 100 ตัวดังนั้นที่เขาคิดได้คือการกินเนื้อสัตว์.

“กิน กิน กิน เจ้ารู้จะแค่คำว่ากิน?.”ลั่วเทียนไม่ได้โกรธและพูดต่อ“นั่นไม่ใช่อาหารที่เรียกว่าเนื้อ?แน่นอนว่าข้าจะให้เจ้ากินมัน.”

เขาไม่อาจหาได้แม้แต่เซนเดียวเพื่อให้เขา ไม่ต้องพูดถึงการกินเนื้อเป็นอาหารทั้งสามมื้อ.

ในเวลานี้สาวกตระกูลลั่ว 4 คนได้มาที่คอกม้า.

“การแข่งขันล่าสัตว์กำลังเริ่มขึ้น ตอนนี้ข้ามั่นใจว่าจะได้เป็นสาวกหลัก.”

“ตราบเท่าที่พี่น้องของเราฆ่ากัน ข้ามั่นใจว่าเราจะมีโอกาศเป็นสาวกหลัก.

“พวกเจ้าได้ยินไหม? รางวัลสำหรับการแข่งขันล่าสัตว์ตอนนี้มีมูลค่าอย่างมาก นอกจากเหมือนกับปีที่แล้วยังมีหินหยวน.”

“หินหยวน? ใช่หินหยวนที่เต็มไปด้วยพลังปราณหรือไม่? นี่เป็นสมบัติที่ดีที่สุดใจการบ่มเพาะ! หินหยวนเพียงก้อนเดียวก็ทำให้ใครบางคนทะลวงไปยังปราณเชียวชาญได้!”

“ถ้าข้าเป็นที่หนึ่งและได้รับมันมา แน่นอนว่าข้าทะลวงเป็นปราณเชี่ยวชาญได้.”

“หยุดฝันเฟื่องได้แล้ว ผู้นำของเราจะใจดีพอที่จะให้รางวัลมากขนาดนั้นเลย?ลั่วหลินอยู่ในขั้นปราณพื้นฐานระดับ 8 แล้วใครจะท้าทายเขาได้? เห็นได้ชัดว่าภายใต้หน้าตาของเขา เขาต้องการที่จะมอบให้กับลูกของเขา พวกเจ้าไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นงั้นรึ?”

“เมื่อได้ยินเจ้าว่าอย่างนี้ มันก็มีโอกาสเป็นไปได้อย่างมาก.”

“ในบรรดาสาวกที่อายุน้อยในตระกูลลั่ว มีเพียงนายน้อยลั่วหลินที่มีคุณสมบัติที่จะได้รับหินหยวน ถ้าเป็นคนอื่นมันอาจจะไม่ได้รับการยอมรับ”

“ถูกต้อง ไม่มีใครในตระกูลลั่วที่สามารถแข่งกับลั่วหลินได้”

“ถ้าเป็นลั่วเทียนที่ก่อนจะกลายเป็นพิการ…”

“เศษขยะที่ทำให้ตระกูลขายหน้า เขามีคุณสมบัติใดที่จะมาแข่งกับนายน้อยลั่วหลินของเราได้? ข้าโกรธมากเมื่อคิดถึงเขา ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ตระกูลของเราจะมาจบแบบนี้อย่างไร?”

“พอ พอ ไม่ต้องเอ่ยถึงขยะนั้นอีก เรามาที่นี่เพื่อที่จะเลือกม้าและไปฝึกในภูเขา การฝึกครั้งนี้มีความสำคัญกับพวกเรามาก ดังนั้นเราต้องเลือกให้ดี…”

ทั้งสี่เข้ามาที่คอกและมีคนหนึ่งที่เดินนำเข้ามาพร้อมกับพูดเสียงดัง“ผู้ดูแลหม่า ผู้ดูแลหม่า เลือกม้าที่ดีที่สุดมาให้เราสี่ตัว เราจะมุ่งหน้าไปยังภูเขาเพื่อฝึก.”

หม่าทงจับไปที่ใบหน้าของเขาและออกจากห้องของเขาพร้อมกับรอยยิ้มที่ยินดี“คอกม้านี้เป็นม้าที่ดีที่สุด พวกเจ้าสามารถเลือกไปได้เลย.”

“ผู้ดูแลหม่า หน้าเจ้า…”

“5555…”

“5555…”

จมูกของเขาเขียว,แก้มที่ปวม,ตาของเขาที่คล้ายกับหมีแพนด้าและฟันหน้าสองซี่ได้หายไป เพิ่มด้วยท่าทางอ่อนล้าของเขา ทำให้ทั้งสี่หัวเราะออกมา.

น้ำตาไหลอาบแก้มของเขารวมกับความเกลียดชังที่อยู่ภายใน.

เมื่อเขากำลังพูดอะไรบางอย่าง ลั่วเทียนก็มาหาพวกเขา มือข้างหนึ่งได้มาจับที่ไหล่ของหม่าทง ก่อนที่เขาจะยิ้ม “นายน้อย มีอะไรที่ข้าช่วยท่านได้บ้าง?”

หม่าทงรู้สึกเจ็บปวดที่หัวไหล่และร่างกายของเขาก็เริ่มสั่น คำพูดที่มาถึงลำคอของเขาถูกกลืนกับไป.

เมื่อลั่วเทียนเห็นการแสดงออกของทั้งสี่ก็กลายเป็นความเกลียดชัง.

หนึ่งในพวกเขาพูดอย่างเย็นชา“หืม เจ้าเศษขยะเจ้ายังไม่ตาย?เราได้ยินว่านายน้อยลั่วหยู่ทุบตีเจ้าจนตายไปแล้ว?”

“ชีวิตสุนัขของเจ้าช่างทรหดจริงๆ.”

“เจ้าทไห้ข้าวสุกของตระกูลลั่วช่วงเสียเปล่าโดยแท้ขณะที่เจ้ามีชีวิตอยู่และทำให้ตระกูลเสียหน้าอย่างมาก ลั่วเทียนทำไมเจ้าไม่ตายเร็วขึ้นสักวันหล่ะ?”

ความโกรธปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฟางเล่ยขณะที่เขากำหมัดแน่นและเดินออกมาจากด้านข้าง ถ้าไม่ใช่เพราะว่าลั่วเทียนได้ขวางเขาไว้ เขาจะออกไปทุบตีแล้ว.

มีเพียงผลลัพธ์เดียวถ้าฟางเล่ยออกไป-เขาจะถูกทุบตีอย่างสยดสยอง.

สาวกหลักมีการบ่มเพาะอยู่ที่ปราณพื้นฐานขั้น 3 ขึ้นไป สองในสี่คนอยู่ในขั้นที่ 4 ของปราณพื้นฐาน ดังนั้นหากเกิดการต่อสู้จริงๆ ลั่วเทียนก็ไม่อาจจัดการทั้งสองได้.

ริมฝีปากของลั่วเทียนโค้งเป็นรอยยิ้มและโค้งคำนับ“นายท่านทั้งสี่ควรจะมาเลือกม้า.”

เมื่อเห็นลั่วเทียนทำหน้าอย่างยิ้มแย้มบนใบหน้าของเขา หนึ่งในพวกนั้นก็หัวเราะและพูด“ขยะก็เป็นขยะอยู่วันยังค่ำ.”

ทั้งสี่เดินตรงไปที่คอกม้าและเลือกม้าสี่ตัว.

ลั่วเทียนและฟางเล่ยนำม้าออกจากคอกและส่งบังเหียนให้ทั้งสี่ เดิมทีคิดว่าเรื่องนี้จะจบลง แต่แล้ว…

มีคนหนึ่งในกลุ่มมองไปที่ลั่วเทียนอย่างเย็นชา“มันอาจจะใช้เวลาหลายวันในการฝึกของพวกเราบนภูเขา พวกเจ้าทั้งสองช่วยตามม้าพวกเรามาได้หรือไม่.”

“ห๊ะ?”

“เรารับผิดชอบเฉพาะคอกม้า นอกคอกม้าไม่ใช่เรื่องของเรา ถ้าเจ้าต้องการให้คนอื่นดูแลม้า เจ้าก็ไปหาคนอื่น”ฟางเล่ยกล่าวอย่างไม่มีความสุข.

“บัดซบ!”

“มีขยะอย่างพวกเจ้าทั้งสองได้คอยดูแลม้าของพวกเรามันก็เป็นโชคของเจ้าแล้ว มันยังถือได้ว่าเป็นหน้าเป็นตาของพวกเจ้าแล้วทำไมยังไม่ขอบคุณข้าอีก เมื่อมันเกี่ยวกับขยะอย่างเจ้า ข้าสามารถทุบตีเจ้าจนตายได้และไม่มีใครสนใจเรื่องนี้.”

“เจ้าล้ำเส้นมากเกินไปแล้ว!”ฟางเล่ยเดิมทีก็อารมณ์ไม่ดี เขาเริ่มถกแขนเสื้อและกำลังจะรีบไป…

ลั่วเทียนยิ้มและยับยั้งความโกรธของฟางเล่ยและพูด“สามารถดูแลม้าพวกท่านทั้งสี่ได้ถือได้ว่าเป็นโชคของพวกเราแล้ว เราจะไปแน่นอน.”

เมื่อเหล่าสาวกกล่าวถึงการดูแลม้าเสียงแจ้งเตือนในใจของลั่วเทียนก็ดังขึ้น.

“ติ๊ง!”

“ได้รับภารกิจ ดูแลม้า คุณจะได้รับรางวัล 80 Exp เมื่อทำภารกิจเสร็จ.”

แน่นอนเขาจะทำหากว่ามันเป็นเรื่องของภารกิจ!

นอกจากนี้บทสนทนาระหว่างทั้งสี่คน ลั่วเทียนตังข้อสังเกตกว่าพวกเขาจะขึ้นไปบนเขาเพื่อฝึก พวกเขาไม่กล้าที่จะไปเทือกเขาวิญญาณ ดังนั้นพวกเขาต้องไปอีกเทือกหนึ่งอย่างแน่นอน สถานที่นั้นจะมีอะไรให้ล่าได้มั่ง?

“นายน้อย…”

“ทั้งสี่คนมาจากตระกูลสาขาของตระกูลลั่ว พวกเขามีคุณสมบัติใดที่จะแสดงความเย่อหยิ่งต่อหน้าท่าน? ย้อนกลับไปเมื่อก่อนนี้พวกมันก็ไม่ต่างอะไรจากสุนัขเบื้องหน้าท่าน…”ฟางเล่ยกล่าวอย่างไม่พอใจ.

“ไอ้อ้วน เจ้าลองพูดใหม่สิ?”

“มารดาเจ้าเถอะ ข้าคิดว่าเจ้าต้องเหนื่อยกับชีวิตของเจ้าแน่ๆ.”

“นายน้อยอะไร? สุนัขมันควรจะเหมาะกว่านายน้อยตั้งเยอะ! พวกเจ้าคิดว่าไง? เจ้าควรจะตื่นได้แล้ว!”

ลั่วเทียนให้สัญญาณกับฟางเล่ยทางสายตา แต่เจ้าหัวล้านกับไม่สนใจมันเลย ลั่วเทียนได้แต่ก้าวไปเบื้อหน้าและขอโทษด้วยรอยยิ้ม“ได้โปรดอย่าโกรธเลยนายท่านทั้งสี่ พี่ชายของข้าสมองไม่ค่อยดีดังนั้นโปรดอย่าลงโทษเรา เราตกลงจะดูแลม้าของพวกท่านและแน่นอนเราจะทำมัน.”

“อืม มันดีมากที่เจ้ารู้ว่าต้องทำตัวอย่างไร!”

ลั่วเทียนหัวเราะแห้งๆและเดินเข้าไปในคอกม้าและตั้งใจที่จะเอาม้าอีกสองตัว…

“เจ้าทำอะไร?”

“เจ้าคงไม่ใช่มือขี่ม้าไปพร้อมกับพวกเรา?เจ้าควรจะมองดูสถานะของตัวเอง”

ลั่วเทียนหันกลับไปมองรอบๆและถามอย่างไร้ประโยชน์“ถ้าข้าไม่ขี่แล้วข้าจะจับทุกตัวได้อย่างไร?”

“ใช่ขาของเจ้าวิ่ง มันคงไม่ได้ใช่เครื่องประดับ?”

“เศษขยะที่แพ้ขอทานต้องการจะขี่ม้า?เจ้าไม่กลัวว่าเมื่อเจ้าขี่ม้าไปรอบๆจะทำให้ผู้คนหัวเราะจนฟันร่วงงั้นรึ?”

การแสดงออกของสายตาลั่วเทียนเปลี่ยนไป เมื่อเขาเดินออกจากคอกม้า พร้อมกับยิ้มอย่างชาญฉลาด, “นายท่านต้องการคนนำทาง.”

“5555…”

“เชื่อฟังดี อัจฉริยะที่ดีที่สุดในตระกูลลั่วได้กลายเป็นอย่างนี้แล้ว 5555…”

ทั้งสี่คนได้ขึ้นไปบนม้าของเขาและลงแส้ให้ม้าวิ่งไป.

“เศษขยะชิ้นใหญ่ตามพวกเราให้ทัน ถ้าเจ้าไม่สามารถจับม้าของพวกเราได้ อย่าตำหนิบิดาคนนี้.”

ฟางเล่ยกัดฟันด้วยความโกรธและพูดอย่างอยากลำบาก“นายน้อย…”

ลั่วเทียนนัยย์ตาหดแน่น เจตนาฆ่ากระพริบอยู่ขณะที่จ้องมองทั้งสี่ จากนั้นเขาก็พูดกับตัวเอง“รอจนกว่าบิดาจะเสร็จภารกิจเสียก่อน จากนั้นมันจะถึงทีของเจ้า…”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset