เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] – ตอนที่ 208 พี่สาวสามีตระกูลจ้าว

พี่สามจ้าวพูดได้ไม่เต็มปากว่าการที่แม่ยายมาที่นี่ทำให้เปลืองเงิน จึงทำได้เพียงพูดถึงเรื่องเงินสามหยวน

พี่สะใภ้สามจ้าวเป็นคนตรงไปตรงมา หล่อนไม่รู้จริง ๆ ว่าพี่สามจ้าวคิดอะไร จึงทำเพียงบุ้ยปากพูดว่า “แล้วคุณจะกิน ดื่ม แต่งงาน คลอดลูกมาเพื่ออะไร ในเมื่อเรื่องพวกนั้นก็ใช้เงินทั้งนั้น คุณไปสร้างเพิงอยู่ในอำเภอคนเดียวเลยสิ ออกไปขายเต้าหู้ทุกวันแล้วก็ใช้ชีวิตอยู่กับการเฝ้าเงินเถอะ ดีจะตายไป”

พี่สามจ้าวแค่นเสียง “คุณคิดว่าผมอยากแต่งงานกับคุณเหรอ นอกจากใช้เงินฟุ่มเฟือยก็ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง!”

พี่สะใภ้สามจ้าวรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าสามีของหล่อนเป็นคนอย่างไร จึงไม่ได้รู้สึกโมโห “คุณอยากจะหย่าตอนนี้ก็ยังไม่สายนะ ไม่มีใครห้ามคุณสักหน่อย!”

พี่สามจ้าวเดิมทีอยากพูดว่าอยากหย่าก็หย่าเลย แต่เมื่อนึกถึงตอนที่หย่าแล้วใครจะทำอาหาร ใครจะซักผ้า ใครจะเลี้ยงลูก ไหนจะกระต่ายอีก เขายุ่งขนาดนั้น จะมีเวลาดูแลเรื่องมากมายเหล่านี้ได้อย่างไร?

ไม่ได้ ไม่คุ้มค่าที่จะหย่า

ครั้นพี่สามจ้าวพูดแบบนี้ พี่สะใภ้สามจ้าวก็โมโหขึ้นมา นี่ในใจของคุณเห็นฉันเป็นพี่เลี้ยงเหรอ?

ไม่ใช่สิ พี่เลี้ยงก็ยังเทียบไม่ได้เลย พี่เลี้ยงยังได้ค่าจ้างนะ แต่หล่อนทำงานคนเดียวแบบไม่ได้อะไรตอบแทนเลย!

“เหล่าจ้าวสาม คุณมันไม่ใช่คน! เชิญเฝ้าเงินของคุณตามสบายเลย!” พี่สะใภ้สามจ้าวโมโหจนกลับไปรับแม่ที่บ้านในวันนั้น ตอนค่ำทำอาหารไว้สี่อย่าง มีบะหมี่บัควีตทำมือ และยังทอดไข่ดาวด้วย!

พี่สะใภ้สามจ้าวก็พอจะเข้าใจแล้วว่าในสายตาของสามีมีแค่เงินเท่านั้น นอกจากนั้นก็ไม่สนใจอะไรเลย ตัวเองไม่เพียงแต่จะไม่ได้เงินค่าจ้าง แต่ยังต้องเหนื่อยเจียนตาย วัน ๆ ก็ได้กินแต่ผักดองเค็มกับโจ๊กข้าวโพด กินจนในท้องมีแต่กรด ผลลัพธ์ที่ได้คือหล่อนไม่มีเพื่อนแล้ว ถ้ายังไม่ดีกับตัวเองสักหน่อยคงจบเห่

ดีกับตัวเองก็คือการรับประทาน น้องสะใภ้หกก็เคยบอก หากได้รับประทานของดี ๆ ร่างกายก็จะดี

น้องสะใภ้หกพูดถูก การรักร่างกายตัวเองต่างหากล่ะคือของจริง!

พี่สามจ้าวปวดใจมาก แต่ก็ไม่สามารถแสดงออกได้ ไม่ว่าอย่างไร แม่ยายของเขากว่าจะมาได้สักครั้งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย นี่เพิ่งมาถึงกลับต้องมาทะเลาะกับภรรยา คงถูกคนอื่นหัวเราะตายเลย

ดังนั้นจึงทำได้เพียงแค่กลั้นไว้ เขาอดกลั้นจนอวัยวะภายในจะเป็นแผลอยู่แล้ว

พี่สะใภ้สี่จ้าวทางฝั่งนี้ก็กำลังบ่นเช่นกัน “เหมาหนังกันจริง ๆ สินะ คนพวกนี้ทำไมถึงมีเงินแบบนี้ เงินสามหยวนก็คือเงินนะ!”

พี่สี่จ้าวกล่าว “คุณไม่จ่ายก็ไม่มีใครมาบังคับนะ”

“ได้ที่ไหนกันล่ะ? น้องหกก็บอกเองไม่ใช่เหรอ คนที่จ่ายเงินทั้งหมดจะถูกจดชื่อไว้บนกระดาษแล้วนำไปแปะไว้” พี่สะใภ้สี่จ้าวพูดถึงตรงนี้ก็ยิ่งโกรธ “ทำไมน้องหกถึงไม่ทำเรื่องดี ๆ บ้างเลย อยู่ดี ๆ ทำไมถึงเอาชื่อไปแปะ แถมยังแปะบนกำแพงของทีมใหญ่อีก นี่เขาคงอยากให้คนจ่ายเยอะ ๆ สินะ!”

จ้าวเหวินเทาคำนวณเงินออกมาแล้วแต่ละบ้านต้องจ่ายเงินสองหยวนกว่า ๆ เกือบสามหยวน เขาจึงกล่าวว่าแต่ละบ้านให้จ่ายสามหยวน

เรื่องเหมาภาพยนตร์นั้นไม่สามารถบังคับได้ก็จริง แต่ในเมื่ออยู่หมู่บ้านเดียวกัน การฉีกหน้าจึงเป็นเรื่องไม่คุ้มค่า จ้าวเหวินเทาเองก็ตระหนักได้อย่างหนึ่ง ดังนั้นเมื่อทุกคนนำเงินออกมาจ่ายเท่าไรก็เขียนไว้บนกระดาษสีแดงขนาดใหญ่ หลังจากนั้นก็จะแปะไว้บนกำแพงด้านนอกบ้านของทีมใหญ่ ใครจ่ายเงินเท่าไรก็สามารถเห็นได้ พูดให้ดูดีคือเป็นการเปิดเผยหลักฐานทางการเงินเพื่อให้ง่ายต่อการกำกับดูแลทั้งหมู่บ้าน

เมื่อเขาทำแบบนี้ คนอื่นๆ ก็จะรู้สึกไม่ดีที่นำเงินออกมาน้อย ถึงอย่างไรบนกำแพงก็มีชื่อของตนอยู่ ไม่มีใครอยากให้คนอื่นเห็นตัวเองเป็นคนจนหรอก

นี่เป็นจิตวิทยาของคนจน ยิ่งจนก็ยิ่งไม่อยากให้คนอื่นคิดว่าตัวเองจน ถ้าแสร้งได้ก็ต้องแสร้งทำ

พี่สะใภ้สี่จ้าวก็เป็นคนแบบนี้ ไม่อยากจ่ายเงิน และรู้สึกไม่ดีที่จะไม่จ่าย ดังนั้นจึงทำได้เพียงแค่บ่นถึงคนที่ทำให้หล่อนต้องจ่ายเงิน

พี่สี่จ้าวชื่นชมน้องชายตัวเองภายในใจ เขาเติบโตมาอย่างไรกันนะ ถึงได้ฉลาดปราดเปรื่องขนาดนี้!

เขาคิดกับตัวเอง ทำให้เพิกเฉยต่อคำบ่นของพี่สะใภ้สี่จ้าวไปโดยปริยาย ถึงอย่างไรมันก็แค่คำแก้ตัว ท้ายที่สุดจบลงที่ลูกชายอยู่ดี แม้แต่เขาก็ท่องได้ขึ้นใจแล้ว

“…หากไม่จ่ายเงินแล้ว อนาคตคนอื่นจะมองลูกชายพวกเรายังไง?” หลังจากพี่สะใภ้สี่จ้าวร่ายยาว ท้ายที่สุดก็พูดคำพูดสุดท้ายออกมา

ดูสิ เขาพูดผิดเสียที่ไหนกันล่ะ?

พี่สี่จ้าวคิดในใจ ผู้หญิงคนนี้มีคำพูดแค่ไม่กี่คำหรอก ถ้าจะให้เพิ่มอีกประโยคคงคิดไม่ออก!

เมื่อคุณแม่จ้าวได้ยินว่าจะมีภาพยนตร์และคณะงิ้วมาลงที่หมู่บ้าน นางก็ดีใจมาก ปรึกษากับคุณพ่อจ้าวว่าจะไปรับพี่สาวสามีคนโตกลับมาดูภาพยนตร์และฟังละครเพลง

“พี่สาวใหญ่ก็ไม่ได้กลับมานานมากเลยนะ ตอนนี้ดูเหมือนว่าคงทำงานเสร็จหมดแล้ว จะได้กลับมาฟังงิ้วพอดี พักผ่อนสักหน่อย คุณว่าไง?” คุณแม่จ้าวกล่าว

คุณพ่อจ้าวกลับแอบเป็นกังวล “ตาแก่นั่นจะยอมเหรอ? เดี๋ยวก็ทะเลาะกันหรอก”

เมื่อพูดถึงพี่สาวสามีคนโตตระกูลจ้าว คนๆ นี้ก็มีชีวิตที่ลำบากเช่นกัน ตระกูลจ้าวยากจนขนาดสามารถพูดได้ว่าเป็นชาวนายากจนแปดชั่วอายุคน แต่เพื่อชีวิตที่ดีจึงต้องเกาะพวกลูก ๆ

แม้จะแต่งงานมีลูกชายและลูกสาวแล้ว แต่เจ้าของบ้านนั่นก็ยังดูถูกพี่สาวสามีคนโตตระกูลจ้าวอยู่ดี ไม่ทุบตีก็ด่าทอ แม้แต่กำลังทำความสะอาดก็ไม่มีข้อยกเว้น

จะทำอะไรได้?

คนในตอนนั้นล้วนแต่งงานกับไก่ก็ทำตามไก่ แต่งงานกับสุนัขก็ทำตามสุนัข ป้าใหญ่จ้าวเองก็ทำได้เพียงแค่เดินตามไปจนสิ้นแสง คิดว่าเมื่อลูก ๆ โตขึ้นทุกอย่างจะดีขึ้นเอง

ผลลัพธ์ที่ได้คือต่อให้ลูกโตแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น ตอนนี้อายุหกสิบกว่าแล้ว สามีก็ยังอ้าปากด่าลงไม้ลงมือทุบตีไม่เลิก ทำให้คุณแม่จ้าวโกรธจนเดินทางไปถึงตระกูลหลิวเพื่อช่วยจัดการแทนพี่สาวสามีไปไม่น้อย

ด้านหนึ่งก็โกรธที่ไม่สามารถหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้ พี่สาวสามีไม่สู้คน เผชิญหน้ากับเรื่องเลวร้ายก็ไม่พูด ถูกทุบตีก็ยังปรนนิบัติอีกฝ่ายด้วยใจ จะกลับมาบ้านเกิดตัวเองก็ยังต้องขอลาเลย

คุณแม่จ้าวแค่นเสียงหึ “ถ้าไอ้แก่สารเลวนั่นกล้ามาขวาง ฉันจะด่ามันให้ตายเลย!”

ทั้งสองเผชิญหน้ากันมาไม่รู้ตั้งกี่รอบ คุณแม่จ้าวจึงไม่ได้กลัวทางฝั่งนั้นเลย

คุณพ่อจ้าวเองก็เป็นห่วงพี่สาว แต่เขาไม่สามารถเข้าไปหาถึงถิ่นได้ เพราะตอนที่พี่รองของเขาเสียชีวิต พี่เขยก็ไม่ได้มาดูดำดูดี ทั้งสองตระกูลอยู่ห่างกันโดยมีแม่น้ำหนึ่งสายคั่นอยู่

คุณพ่อจ้าวคิดว่า ในเมื่อตระกูลหลิวดูถูกตระกูลจ้าวแล้วก็ช่างเถอะ ทั้งชีวิตนี้ของเขาก็จะไม่ไปเหยียบถึงประตูตระกูลหลิวเหมือนกัน รอให้พี่สาวของเขาตายเมื่อใด ญาติทางฝั่งนี้ก็เป็นอันตัดขาดจากกัน

คุณแม่จ้าวพูดว่าจะไปก็ไปเลย ถึงอย่างไรก็อยู่ห่างกันแค่แม่น้ำทางใต้และทางเหนือ

คุณแม่จ้าวเดินเท้าด้วยความรวดเร็ว ตอนที่ท้องฟ้ามืดครึ้มนางก็รับตัวพี่สาวสามีกลับมาที่บ้าน

พี่สาวสามีจ้าวมีเท้าเล็กและพันด้วยผ้าพันเท้า นางสวมเสื้อสาบป้ายข้างขนาดใหญ่แบบยุคปลายราชวงศ์ชิงคู่กับกางเกงไม่มีเป้า ใช้หวีเกล้ามวยเล็ก ๆ ด้านหลัง เป็นคนรูปร่างเล็กไม่สูง เวลาเดินดูคล้ายกับตุ๊กตาล้มลุก เดินแกว่งไปแกว่งมา ตอนที่ยืนคล้ายกับลักษณะทรงกลมที่มีเท้าเล็กและเรียว สีหน้าดูหมองหม่นในแบบหญิงชรา

เมื่อพี่สาวสามีจ้าวที่พันเท้าเล็ก ๆ เห็นแสงสว่างไสวจากหลอดไฟ นางก็พูดขึ้น “ฉันได้ยินคนในหมู่บ้านพูดว่าทางฝั่งพวกเธอไฟฟ้าเข้าถึงแล้ว ฉันเองก็อยากเห็นมาตลอดเลย ไฟฟ้าเป็นแบบนี้เองเหรอ?”

คุณแม่จ้าวกล่าว “ใช่แล้ว ไฟฟ้าเป็นแบบนี้แหละค่ะ พี่ มาครั้งนี้พี่จะได้ดูหลายวันเลยนะ!”

“ไม่ได้หรอก ฉันดูเสร็จก็ต้องไปแล้ว พี่เขยของเธอทำกับข้าวไม่เป็น มาหลายวันไม่รู้จะอยู่ยังไง” พี่สาวสามีจ้าวกล่าว

คุณแม่จ้าวได้ฟังแล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร จนป่านนี้แล้วยังจะเป็นห่วงคนแบบนั้นอีก พี่สาวสามีคนโตคนนี้ไม่สู้คนเลยจริง ๆ!

พี่สะใภ้สี่จ้าวได้ยินการเคลื่อนไหวก็อุ้มลูกออกมาดู เมื่อเห็นป้าใหญ่จ้าวจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ป้าใหญ่มาดูละครเหรอคะ?”

“แม่ของเธอบอกว่าในหมู่บ้านจะเหมาภาพยนตร์กับละครเพลง ก็เลยให้ป้ามาดู สะใภ้สี่ ลูกแข็งแรงดีนะ?” ป้าใหญ่จ้าวมองลูกที่อยู่ในอ้อมกอดของพี่สะใภ้สี่จ้าวพลางกล่าว

“แข็งแรงมากค่ะ นี่ค่ะ ป้าดูสิคะ” พี่สะใภ้สี่จ้าวยื่นลูกให้ป้าใหญ่จ้าวดู

ป้าใหญ่จ้าวกล่าวชม “เด็กคนนี้หน้าตาหล่อเหลาจริง ๆ เลยนะ!”

ต่อให้เป็นลูกสาว แต่เมื่อลูกตัวเองได้รับคำชมแล้วพี่สะใภ้สี่จ้าวก็ยังรู้สึกมีความสุขมากอยู่ดี ทว่าพอกลับมาที่ห้องก็บ่นพึมพำว่า “มาขอเงินอีกแล้ว!”

…………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เจอคนแบบป้าใหญ่จ้าวก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกันค่ะ อุตส่าห์ช่วยดึงออกมาจากขุมนรกแล้วแต่ก็ยังจะกลับเข้าไปเอง คนที่ช่วยก็กลายเป็นหมาไป คงทำได้แค่รอให้ตาสว่างได้ดวงตาเห็นธรรมเองล่ะค่ะ

ไหหม่า(海馬)

เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零]

เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零]

Score 7.8
Status: Ongoing
อ่านนิยาย เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] เย่ฉู่ฉู่บุตรสาวเสนาบดีกังฉินเกือบถูกรังแกในระหว่างทางที่โดนเนรเทศ​ แต่ได้ว่าที่ท่านอ๋องผู้หนึ่งมาช่วยนางไว้​และเก็บนางไว้ข้างกาย​ ในระหว่างการชิงอำนาจเพื่อปกป้องพระราชโอรสองค์เล็กของจักรพรรดิองค์ก่อน​ ว่าที่ท่านอ๋องผู้นี้ก็สิ้นชีพเพราะยาพิษประหลาด​ ครั้นพิธีศพถูกจัดขึ้น​ เย่ฉู่ฉู่ก็ได้โขกศีรษะกับโลงศพของเขาตายตกตามกันไป​ แต่นางกลับได้มาเกิดใหม่ในประเทศจีนยุค​ 1970 ในร่างของเจ้าของร่างผู้ได้ชื่อว่าเป็น​แม่เสือตามคำกล่าวของจ้าวเหวินเทาผู้เป็นสามี

Comment

Options

not work with dark mode
Reset