เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田 – ตอนที่ 181 ความผิดพลาดเพียงครั้งเดียว กลายเป็นความเกลียดชังชั่วนิรันดร์

ซูหวานหว่านพุ่งเข้าไปเตะสองคนนั้นจนล้มลง หญิงสาวจ้องมองพวกเขาและก็ได้รู้ว่าพวกเขาเป็นคนขายหมูที่ติดโรคระบาดสองคนนั้น!

คนอื่นที่อยู่ภายในร้านพากันวิ่งหนีอย่างอลหม่าน แต่ก็ถูกซูหวานหว่านทุบตีจนนอนหมอบอยู่บนพื้น หญิงสาวเดินวนไปรอบ ๆ ห้องกวาดตาสำรวจยาชนิดต่าง ๆ แล้วหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา “พวกเจ้าฉลาดเหลือเกิน ขายเนื้อหมูติดโรคให้ผู้คนกินจนไม่สบาย แล้วก็มาขายยารอจนกระทั่งชาวบ้านหายดีก็เปลี่ยนเป็นยาต้านฤทธิ์ ต่อให้พวกเขากินยานั้นต่อไปเรื่อย ๆ กินจนตายก็ไม่มีวันดีขึ้น! แต่ว่าพวกเจ้านั้นกลับได้เงินกันอย่างมหาศาล!”

“พูดจาเหลวไหล! ยาที่พวกเราขายเป็นยาชั้นยอด เป็นยาของแท้ และมีราคาถูกต่างหาก!” ชายคนหนึ่งร้องออกมา หลังจากมองหน้าส่งสัญญาณให้กัน พวกเขาก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นหวังที่จะจัดการซูหวานหว่าน แต่ก็ถูกฉีเฉิงเฟิงที่วิ่งเข้ามาจับตัวเอาไว้เสียก่อน

“ข้าคร้านจะพูดไร้สาระกับพวกเจ้าแล้ว! พวกเจ้าตอบข้ามาสิว่าใครเป็นคนสั่งให้เจ้าทำเรื่องแบบนี้?” ซูหวานหว่านถามด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก

ชายคนนั้นผงะไป และพูดออกมาทันทีว่า “พวกเราทำกันเอง! ไม่เกี่ยวกับใครทั้งนั้น!”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ซูหวานหว่านก็รู้สึกว่าคนเหล่านี้กำลังปิดบังบางอย่างอยู่ และนางจึงเอ่ยออกมาอย่างตรงไปตรงมา “ตอนนี้พี่น้องตระกูลสืออยู่ที่ไหน?”

“พี่น้องตระกูลสือ?” พวกเขาสองคนสบตากันไปมาอย่างร้อนรน

“พวกเจ้าจะพูดไม่พูด?” ซูหวานหว่านหยิบดาบขึ้นมาจากเอวของฉีเฉิงเฟิง จ่อไปที่คอของทั้งสองคนโดยทำท่าจะแทงลงไป ดวงตาของซูหวานหว่านนั้นทำให้ทั้งสองคนหนาวสั่น

พวกเขาสองคนมองหน้ากันแต่ยังคงส่ายหัวไม่หยุด ซูหวานหว่านก็ออกแรงกดเบา ๆ จนเริ่มมีเลือดไหลออกมา “หากเจ้าไม่บอกข้า ข้าไม่รับประกันว่าหัวของเจ้าจะไม่หลุดจากบ่า!”

ชายคนนั้นดวงตาเบิกกว้าง “ข้าบอกแล้ว!”

ชายคนนั้นพูดความจริงออกมา “พวกเราสองพี่น้องถูกจ้างโดยหญิงนางหนึ่งที่ชื่อจูเหยียนที่อยู่ในเมืองโจว นางเป็นผู้ดูแลร้านเซียงหมานที่ตระกูลสือเป็นเจ้าของ นางว่าจ้างพวกเรา! เนื้อหมูนี่นางก็เป็นคนส่งมาให้เรา ส่วนยานางก็เป็นคนจัดการหามา! ร้านนี้ก็ด้วย นางให้เงินพวกเรามาทำเรื่องพวกนี้!”

จูเหยียน? ซูหวานหว่านขมวดคิ้ว ทันใดนั้นใบหน้าของซูเสี่ยวเหยียนก็ปรากฏขึ้นมาภายในใจของนาง แน่นอนว่าชื่อจูเหยียนของซูเสี่ยวเหยียนนั้นอาจจะเป็นชื่อของชาติภพก่อนที่นางข้ามมาก็ได้!

ฉีเฉิงเฟิงดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เพื่อที่จะรู้ให้แน่ชัดว่าใช่หรือไม่ ชายหนุ่มจึงหยิบพู่กัน หมึก และกระดาษขึ้นมาเพื่อร่างภาพของซูเสี่ยวเหยียน และเมื่อทั้งสองได้เห็นภาพก็ตะโกนออกมาว่า “นั่นนาง! แม่นางจู!”

ดูเหมือนว่าซูเสี่ยวเหยียนกับสองพี่น้องตระกูลสือร่วมมือกัน หากเป็นเรื่องจริง เรื่องเนื้อหมูที่ซูเสี่ยวเหยียนใช้มันเพื่อทำลายชื่อเสียงร้านของนางนั้นก็ดูสมเหตุสมผล แต่คิดไม่ถึงเลยว่าซูเสี่ยวเหยียนจะใช้ชีวิตแม่ของฉือชุนหยูมาใส่ร้ายนาง!

ช่างเป็นแผนการที่ยอดเยี่ยม! เป็นคนที่ร้ายกาจเสียจริง ๆ! นางเป็นคนที่มีความรู้ไม่มากนัก แต่กลับมีวิธีการลอบทำร้ายคนอื่นได้ยอดเยี่ยมจริง ๆ!

ซูหวานหว่านกำมือแน่น ดูเหมือนว่าซูเสี่ยวเหยียนยังมีความคิดจะทำร้ายนางอยู่! เช่นนั้นแล้วนางจะต้องหาโอกาสไปที่เมืองโจวแล้ว!

เมื่อเห็นสองพี่น้องคนขายหมูนั่งตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว ซูหวานหว่านและฉีเฉิงเฟิงสบตากัน พวกเขาต่างกำลังคิดว่าจะทำอย่างไรต่อกับเรื่องนี้ และสุดท้ายพวกเขาก็จับทุกคนมัดเอาไว้ ก่อนจะส่งตัวไปที่ศาลาว่าการ

หลังจากจัดการเรื่องทั้งหมดเสร็จ ทั้งสองก็กลับไปยังร้านเจวียเซ่อเพื่อกินข้าว ทันทีที่ก้าวเข้ามาในร้าน ก็ดูเหมือนว่าผูู้ดูแลหลิวจะรอพวกเขามาเป็นเวลานานแล้ว เมื่อเห็นพวกเขาเดินเข้ามาก็พูดขึ้นมาว่า “คุณชายเป่ยฉวน! เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ!”

หลังจากนั้นก็ยัดจดหมายใส่มือของซูหวานหว่าน “ท่านจะต้องไปที่เมืองโจวเป็นการด่วนเสียแล้วล่ะ!!”

มีเรื่องด่วนอะไรกัน? ซูหวานหว่านรีบเปิดจดหมายอ่านทันที จดหมายฉบับนี้คุณชายถังเป็นผู้ส่งมา เนื้อความในนั้นเขียนทักทายซูหวานหว่านและบอกว่าร้านอาหารที่เพิ่งเปิดใหม่ที่เมืองโจวกำลังเจอปัญหาใหญ่ และร้านหยกของเขาก็กำลังจะปิดตัวลง เขาจึงเขียนมาขอความช่วยเหลือจากซูหวานหว่าน นอกจากนี้ยังบอกว่าให้พาฉีเฉิงเฟิงมาด้วย

“เจ้าจะไปหรือไม่?” ซูหวานหว่านเอ่ยถามอีกฝ่าย

“เจ้าไปที่ใด ข้าก็จะไปด้วย” ฉีเฉิงเฟิงพูดออกมาด้วยหัวใจที่ ‘เต้นแรง’ เขาไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าตนเองจะเอาหัวใจไปผูกมัดกับผู้ใด แต่ตอนนี้ไม่ว่านางจะทำสิ่งใดหรือไปที่ใด เขาก็อยากจะรู้และตามไปอยู่เคียงข้างนางเสมอ!

“ได้ งั้นพวกเรากินมื้อเย็นให้เรียบร้อยก่อนเถิด” ซูหวานหว่านพยักหน้า หัวใจของนางเต็มไปด้วยความตื้นตัน หรือหากจะพูดอีกอย่างหนึ่ง นางไม่สามารถปล่อยคนที่ดีกับนางและรักนางอย่างสุดซึ้งไปได้

ซูหวานหว่านถอนหายใจออกมา ทันใดนั้นก็นึกถึงหมาป่าบนภูเขา เป็นเวลานานแล้วที่นางไม่ได้ส่งไก่ให้พวกมันกิน นางปรึกษาเรื่องนี้กับฉีเฉิงเฟิง และขอให้ผู้ดูแลหลิวไปที่ตลาดมืด เพื่อไปจ้างวานคนสองสามคนขึ้นไปส่งไก่ที่ภูเขาตอนกลางดึก ก่อนที่จะลงเรือนางก็ได้หยิบหน้ากากออกมาแล้วสวมใส่ให้กับฉีเฉิงเฟิง

ตั้งแต่คนอันธพาลคนนั้นถูกลงโทษ ก็ไม่มีอันธพาลคนไหนออกมาสร้างความวุ่นวายอีกเลย ริมแม่น้ำก็เริ่มกลับมาคึกคัก เรือหลายลำจอดเทียบท่า ในขณะที่ทั้งสองกำลังเร่งรีบ ซูหวานหว่านก็พบเรือลำเล็กและจ้างเขาเพื่อให้พาไปที่ท่าเรือเจียงหยู่ที่เป็นท่าเรือขนาดใหญ่ในเมือง

คนพายเรือเป็นชายชราวัยห้าสิบปี หากแต่เขากลับพายเรือด้วยความรวดเร็ว ชายชราใช้เวลาพายเรือไม่ถึงสองชั่วยาม ทั้งสองคนก็มาถึงท่าเรือเจียงหยู่ หากแต่ชายชราก็ไม่ได้หยุดพายและยังพูดออกมาอย่างสนิทสนมว่า “คุณชายทั้งสอง ข้ารู้จักผู้คนมากมายในเมืองเจียงหยู่นี้! คนที่อยู่เรือใหญ่ข้าก็รู้จักและพวกเขากำลังจะไปที่เมืองโจวพอดี! ข้าจะพาพวกท่านไปตรงที่เขาจอดเรือ!”

ชายชรายิ้มออกมาอย่างจริงใจ ซูหวานหว่านจึงไม่ได้คิดสิ่งใดและตอบตกลง คนพายเรือยังคงพายเรือต่อไป และหลังจากพายไปหมดธูปครึ่งก้านหอมแล้ว พวกเขาก็จอดเรือเทียบท่าข้างเรือลำใหญ่

เรือนั้นมีสามชั้น เป็นคานไม้แกะสลัก และตัวเรือก็ทาสีอย่างสวยงาม

ซูหวานหว่านและฉีเฉิงเฟิงรีบกระโดดขึ้นท่าเรื่อ ชายพายเรือก็เดินตามขึ้นมาทันที เขาวิ่งนำหน้าเพื่อนำทางและพาพวกเขาเข้าไปในชั้นแรก ชั้นหนึ่งของภายในเรือมืดมาก หลังจากเดินไปได้ครู่หนึ่งเขาก็นิ่งไป ชายชราตบหัวและพูดว่า “ข้าขอโทษด้วย! ข้าขอไปเรียกเด็กในเรือให้พาพวกท่านไปยังห้องพักสักครู่นะ”

“ตกลง” ซูหวานหว่านพยักหน้า

ชายชราหมุนตัวหันหลังกลับและเดินออกไปอย่างไม่เร่งรีบ แต่ในระหว่างที่เขากำลังเดินนั้น ซูหวานหว่านพลันรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมาเล็กน้อย

ไม่นานก็มีเด็กชายอายุสิบเอ็ดและสิบสองปีเดินเข้ามา พาทั้งสองเดินไปที่ประตูกลางเรือที่ชั้นหนึ่งก่อนจะเคาะประตู “ข้าถามว่าหน่อยว่าข้างในยังมีห้องพักว่างหรือไม่?”

เรือลำนี้ยังมีห้องสำหรับนอนพักผ่อนด้วยงั้นหรือ? แต่คนเหล่านี้กลับไม่ได้ถามถึงเรื่องเงิน แล้วพวกนางก็ไม่ได้เป็นญาติกันอีกด้วย เหตุใดถึงใจดีกับพวกนางนัก?

ซูหวานหว่านสบตากับฉีเฉิงเฟิง ทั้งคู่เดินออกไปอย่างเงียบ ๆ ตามความทรงจำของตัวเองและเดินไปที่ทางออก ทันใดนั้นก็ได้ยินชายชรากำลังยืนพูดกับชายชุดดำอีกคนแล้วยิ้มอย่างพอใจว่า “สองคนนี้เป็นของดี! ข้าไม่เคยเจอมาก่อน พวกเขานั้นมีหน้าตาที่หล่อเหลามาก! ในเมืองนี้ไม่มีใครที่จะหล่อไปกว่าพวกเขาทั้งสองคนแล้ว! แต่ว่าเจ้าจะต้องให้เงินข้ามาสิบตำลึง!”

“ทำไม? เงินหกตำลึงมันยังไม่พอเลี้ยงเจ้าอีกอย่างงั้นรึ? หากเจ้าต้องการเงินสิบตำลึงล่ะก็ข้าไม่มีให้! เจ้าพาคนของเจ้าไสหัวออกไปด้วย!” ชายชุดดำกล่าว

ชายชราพายเรือตกตะลึง ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงยิ้มและพูดว่า “เงินหกตำลึงก็ดีมากเช่นกัน! ข้ากับเจ้าก็เป็นเพื่อนเก่า ครั้งต่อไปพวกเจ้าก็อย่าลืมแวะมาหาข้าบ้างนะ!”

“…..”

พวกนางกำลังถูกขาย? ซูหวานหว่านสบตากับฉีเฉิงเฟิงและกำลังจะก้าวออกจากประตูไป จู่ ๆ ก็มีเสียงที่เย็นชาและชั่วร้ายดังมาจากด้านหลังของพวกเขา

ทันทีที่พูดจบ ประตูก็ถูกปิดลงทันที

กลายเป็นทางเดินแคบ ๆ ไร้แสงสว่าง

ซูหวานหว่านเลิกคิ้วขึ้น พวกนางไม่สามารถหนีออกไปได้แล้วงั้นรึ?

เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田

เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田ครั้นวสันตพิรุณเพิ่งผ่านพ้น ท้องฟ้าก็กลับมาแจ่มใสดังเดิม เมฆหมอกขาวบางเบาลอยล่องเหนือแนวบรรพต ก่อเกิดเป็นภาพทิวทัศน์อันตระการตา ในภาพนั้นมีทั้งต้นไม้ ใบหญ้า และผู้คน ‘ซูหวานหว่าน’ ก็เป็นหนึ่งในบุคคลที่ปรากฏอยู่ในภาพทิวทัศน์นั้น นางเพิ่งขุดผักป่าขึ้นมาเต็มตะกร้าและกำลังจะตรงกลับบ้าน “พี่หญิง!” ทันใดนั้นเอง เด็กชายวัยกระเตาะผู้หนึ่งก็รีบวิ่งมาหา พร้อมทั้งตะโกนเรียกนางไปด้วย “ช้า ๆ ก็ได้” ซูหวานหว่านมองไปที่น้องชายตัวแสบของตนพร้อมกับระบายยิ้มให้ ซูจิ่นหมิงกลับไม่มีทีท่าว่าจะวิ่งช้าลงแต่อย่างใด เขายังคงวิ่งตรงเข้ามาหาซูหวานหว่านอย่างรีบร้อน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset