เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田 – ตอนที่ 269 พบเจอแม่สามีใจร้ายเป็นครั้งแรก

ตอนที่ 269 พบเจอแม่สามีใจร้ายเป็นครั้งแรก
ตอนที่ 269 พบเจอแม่สามีใจร้ายเป็นครั้งแรก

“คือ…” อัครเสนาบดีสือมีสีหน้าดําคร่ำเครียดราวกับก้นหม้อ เพียงแค่เห็นสายตา… ซูหวานหว่านก็รู้แล้วว่าเขาไม่อยากจะขอโทษ!

ซูหวานหว่านโยนปิ่นปักผมไปทางอัครเสนาบดี และเอ่ยออกมาทีละประโยค “อัครเสนาบดีสือ อย่าแสร้งทำเป็นลืมหน่อยเลยว่าตอนอยู่ที่บ้านตระกูลจ้าว ท่านทำตัวหยิ่งทะนงเพียงใด ทำราวกับว่าตอนนี้ข้าเป็นคนบังคับให้ท่านขอโทษอย่างไรอย่างงั้นแหละ! หรือว่าคำพูดของใต้เท้าเป็นเพียงแค่ลมปากเท่านั้น?”

คำพูดของหญิงสาวช่างไม่น่าฟังเสียเหลือเกิน! สีหน้าของอัครเสนาบดีสือหมองลง จึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ดูเหมือนเรื่องนี้จะมีการเข้าใจผิดกัน นายหญิงจ้าวและคุณหนูใหญ่โปรดอย่าถือสาเลย ตอนนี้ท้องฟ้าก็ใกล้มืดแล้ว ข้าจะให้คนไปส่งพวกเจ้าที่บ้าน”

แม้ว่าเขาอยากจะฆ่านาง ยังจะบอกให้นางอย่าถือสาอีกเหรอ? รู้ว่าตนเองเข้าใจผิดแล้วยังไม่ยอมรับ แล้วยังจะมาไล่ให้พวกนางออกไปอีก? ซูหวานหว่านจ้องมองอัครเสนาบดีด้วยสายตาเย็นชา “แค่เข้าใจผิดประโยคเดียวจะสามารถลบเรื่องภายในวันนี้ได้เหรอ? ท่านอัครเสนาบดีสือ ที่ท่านบอกว่าจะขอโทษข้าก่อนหน้านี้มันช่างตลกเสียจริง ๆ!”

ไม่เคยมีผู้ใดทำกับเขาเช่นนี้มาก่อน! เขาเป็นถึงอัครเสนาบดี! ใบหน้าของเขามืดมนราวกับหมึก “คุณหนูใหญ่จ้าว เรื่องของเจ้ากับองค์ชายสามทำให้เมืองเต็มไปด้วยความยากลำบาก เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นอะไรกับองค์ชายสาม? เรื่องนี้ยังมีเวลาอีกมาก หวังว่าเราจะได้พบเจอกันอีก!”

คำเตือนนี้ของอัครเสนาบดี ทำให้ทุกคนต่างนึกขึ้นมาได้ ท่านอัครเสนาบดีมีพี่สาวที่โชคดีคนหนึ่ง ในตอนคัดเลือกนางสนม นางได้ต้องตาองค์จักรพรรดิเข้า ในตอนนี้นางเป็นถึงนางสนมเอกของฮ่องเต้! และที่สำคัญไปกว่านั้นนางเป็นถึงแม่แท้ ๆ ขององค์ชายสาม!

คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เอ่ยเกลี้ยกล่อมซูหวานหว่านว่า “คุณหนูใหญ่จ้าว เจ้าไม่ต้องพูดอะไรไปมากกว่านี้แล้ว! ในวันข้างหน้าเจ้ายังต้องเป็นญาติกับท่านอัครเสนาบดี!”

“ใช่แล้ว! หากพระสนมได้ยินข่าวนี้เข้าเกรงว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น เจ้าควรทำให้ตระกูลสือพอใจเสียจะดีกว่า!”

“…”

นางจะทำให้ตระกูลสือพอใจได้อย่างไร? ซูหวานหว่านกระตุกยิ้มเย็นชา “เช่นนั้นข้าก็คงพูดได้เพียงว่าหากคิดจะวางแผนร้ายใดอีก ก็จงเตรียมมาให้ดี แต่จงคิดให้ดีก่อนจะไล่กัดผู้อื่นเขาไปทั่วเช่นนี้!”

ซูหวานหว่านเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ไม่มองหน้าของอัครเสนาบดีสือต่อไป และหันไปประคองแม่จ้าวหมุนตัวเดินออกไป แต่กลับมีหญิงสาวที่สวมใส่อาภรณ์เรียบหรูเดินเข้ามาหาพวกนางอย่างเชื่องช้า นางมองซูหวานหว่านแวบหนึ่ง ความโกรธเคืองพลันปรากฏขึ้นในแววตาคู่นั้น นางยกมือขึ้นสะบัดไปทางซูหวานหว่าน!

ซูหวานหว่านจะต้องอดทนกับความอัปยศอดสูนี่งั้นหรือ? หญิงสาวยกมือขึ้นคว้ามือของอีกฝ่ายเอาไว้ได้เสียก่อน นางค่อย ๆ รวบรวมพลังภายในแล้วออกแรงผลักเบา ๆ ทำให้หญิงสาวเซถอยหลังไปเล็กน้อย

ไม่เคยมีผู้ใดทำเช่นนี้กับนางมาก่อน! หญิงสาวคนนั้นเบิกตากว่าง จ้องมองไปยังซูหวานหว่านด้วยสายตาไม่เชื่อ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือใคร! เจ้า เจ้ากล้าผลักข้างั้นหรือ!”

ซูหวานหว่านรับรู้ได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าภายในหัวสมองของคนเหล่านี้มันแสนว่างเปล่า และรู้สึกว่ามันมีปัญหาอย่างมาก! หญิงคนนี้ต้องการตบตนเอง นางก็แค่ต้องการผลักหญิงคนนั้นเพื่อป้องกันตัว แต่สุดท้ายความคับข้องที่โดยทำร้ายกับอยู่ที่นางคนนี้?

ซูหวานหว่านนิ่งเงียบ คร้านจะเอ่ยอะไรออกมา นางอยากจะพาแม่จ้าวออกไปจากที่นี่เต็มทนแล้ว แต่เมื่อเดินไปได้สองก้าวกลับถูกขันทีกลุ่มหนึ่งขวางเอาไว้ ทันใดนั้นหนึ่งในพวกเขาก็เปล่งเสียงออกมาว่า “หยุดอยู่ตรงนั้น! ตระกูลจ้าวของพวกเจ้าจะหลงระเริงเกินไปแล้ว! นี่คือพระสนมขององค์ฮ่องเต้! เจ้าไม่สามารถดูหมิ่นนางได้!”

เมื่อขันทีเอ่ยประโยคนี้ ดวงตาเล็กราวกับถั่วเขียวคู่นั้นก็เปล่งประกาย และสบตากับพระสนมสือซีเอ๋อร์เล็กน้อย และเขาก็รับรู้ความความหมายของพระสนมได้ทันที จึงถอดหายใจเดินเข้าไปหาซูหวานหว่าน ขยับหักบิดข้อนิ้วจนเกิดเสียงดัง ‘กร๊อบ’

การกระทำเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าต้องการทำร้ายซูหวานหว่าน!

ทุกคนที่อยู่รอบข้างกลั้นหายใจเมื่อเห็นภาพนั้น มีคนมากมายต้องการเห็นซูหวานหว่านทำให้ตนเองอับอาย แต่ก็เห็นเพียงขันทียกแขนที่ถูกทำให้แข็งทื่อของตนขึ้นมา ไม่ว่าจะขยับอย่างไรก็ขยับไม่ได้ แม้แต่ร่างกายก็ขยับไม่ได้ ดวงตาเท่าขนาดเม็ดถั่วเขียวของเขาเบิกกว้าง “นี่…นี่มันเกิดอะไรขึ้น!”

ซูหวานหว่านยื่นมือออกไปแสร้งทำว่าเป็นห่วง ทว่านางค่อย ๆ แอบหยิบเข็มเล่มเงินออกมาอย่างเงียบ ๆ พร้อมรอยยิ้ม “เจ้าอาจจะเป็นตะคริวเพราะความหนาวใช่หรือไม่ หลายวันมานี้อากาศที่เมืองหลวงหนาวมาก หลายคนมักจะเกิดอาการเช่นนี้เวลาออกมาข้างนอกนาน ๆ เจ้าควรไปหาหมอเพื่อให้เขาดูอาการ”

“เจ้า…” ขันทีคนนั้นจ้องมองซูหวานหว่าน หากแต่ไม่ได้คิดโต้ตอบอะไรซูหวานหว่าน

สือซีเอ๋อร์ไม่เชื่อในคำพูดของซูหวานหว่าน หากแต่นางกลับรู้สึกแปลก ๆ นางพยายามยืนอย่างมั่นคง แม้ว่าจะไม่สามารถยืนหยัดได้ดีเท่าใด ซึ่งขณะเดียวกันนางก็เอาแต่จ้องมองซูหวานหว่านอย่างใกล้ชิด แสดงความเกลียดชังออกมาอย่างชัดเจนผ่านสีหน้าและคำพูด “วันนี้ถือได้ว่าเป็นการพบเจอคุณหนูจ้าวผู้มีชื่อเสียง! แต่เมื่อได้พบเจ้าแล้วในวันนี้ แท้จริงแล้วกลับไม่ได้มีความน่าสนใจสักเท่าไร! เจ้าไม่สมควรได้รับความรักจากลูกชายของข้า!”

เมื่อประโยคนี้ดังออกมา ในใจก็รู้สึกสมปรารถนายิ่ง! และเมื่อเห็นซูหวานหว่านค่อย ๆ ขมวดคิ้ว มุมปากของนางก็ค่อย ๆ ยกโค้งขึ้น “ข้าจะบอกอะไรเจ้าไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามข้าไม่ยอมให้เจ้าแต่งงานกับลูกข้า! ต่อจากนี้อย่ามาวุ่นวายกับลูกชายของข้าอีก!”

นางไปก่อกวนฉีเฉิงเฟิงตั้งแต่เมื่อไรกัน? ซูหวานหว่านอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “พระสนม แม้ว่าข้ากับองค์ชายสามจะรักกัน แต่เมื่อเจอแม่สามีที่ชั่วร้ายเช่นนี้ ข้าก็คงโง่นักถ้ายอมแต่ง ไม่สู้ยอมแต่งงานตัวเองกับเสียเลย เช่นนี้จะดีกว่าหรือไม่?”

ซูหวานหว่านกล้าพูดอย่างนี้ได้อย่างไร! นางเป็นถึงพระสนมเอก! ทุกคนต่างตกตะลึง คาดหวังแม่จ้าวจะเอ่ยต่อว่าซูหวานหว่าน หากแต่ก็ได้ยินแม่จ้าวเอ่ยเสริม “ไม่หรอกกระมัง! หากจะให้พูดเป็นองค์ชายสามเสียมากกว่าที่มาสมัครเข้าแข่งขันที่บ้านตระกูลจ้าวของเรา ลูกสาวของข้าจัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว พระสนม ท่านอย่ามากล่าวว่าลูกสาวของข้าก่อกวนลูกชายของท่าน ท่านควรกลับไปบอกลูกชายของท่านว่าอย่ามาก่อกวนลูกสาวของข้าถึงจะถูก!”

สองแม่ลูกคู่นี้ช่างเหมือนกันเสียจริง ๆ! พระสนมต่างตกใจ นางไม่เคยได้ยินชื่อซูหวานหว่านมาก่อน แต่นางเคยเจอแม่จ้าวมาหนึ่งครั้ง ตระกูลจ้าวและเฉียวฝูเคยไปเข้าในวังครั้งหนึ่ง แต่นิสัยของพวกเขานั้นนอบน้อม แต่เพราะซูหวานหว่าน… นางเลยกลายเป็นเช่นนี้!”

“ท่านแม่ ท่านไม่ต้องพูดอะไรแล้ว พวกเรากลับบ้านกันเถอะ” ซูหวานหว่านเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว แววตาใสของนางไร้ซึ่งความเกลียดชัง ทำให้ขันทีทั้งหลายต่างหลีกทางให้นาง

ซูหวานหว่านและแม่จ้าวรีบเดินไปทางประตูจวน เมื่ออัครเสนาบดีสือเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ก็กัดฟันแน่น และโค้งคำนับให้กับสือซีเอ๋อร์ ปากเอ่ยว่า “พระสนม คุณหนูใหญ่จ้าวทำเช่นนี้ถือว่าเป็นการยั่วยุตระกูลสือและราชวงศ์ หากท่านไม่ลงโทษนาง ต่อไปนางจะเหยียบย่ำตระกูลสือและราชวงศ์ได้!”

สือซีเอ๋อร์มีปัญหากับซูหวานหว่านมานานแล้ว จึงเอ่ยว่า “เฮอะ! ใครก็ได้! คุณหนูจ้าวดูหมิ่นและไม่เคารพข้า นางกำลังเหยียบย่ำราชวงศ์ ส่งนางไปขังศาลต้าหลี่!”

ส่งไปขังที่ศาสต้าหลี่? ส่งไปขังที่ศาลต้าหลี่เช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ทุกคนต่างรู้สึกแปลกใจ ในใจคิดว่าซูหวานหว่านผูกสัมพันธ์กับราชวงศ์แล้ว แต่เมื่อเรื่องกลายเป็นแบบนี้ เช่นนั้นแล้วการแต่งงานระหว่างซูหวานหว่านกับองค์ชายสามคงจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน!

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ก็มีหลายคนที่แอบดีใจ และจ้องมองไปยังขันทีที่กำลังไล่ตามพวกเขาไป แต่แล้วก็มีชายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูและขวางทางเอาไว้

“พวกเจ้ากล้าแตะต้องนางงั้นหรือ?” ชายคนนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ทำให้ทุกคนตกตะลึง “นี่ไม่ใช่องค์ชายสามหรอกเหรอ?”

“องค์ชายสามกำลังช่วยเหลือคุณหนูใหญ่จ้าวงั้นรึ? เขาไม่กลัวว่าพระสนมจะโกรธเหรอ”

“…”

ผู้คนต่างออกความเห็นอย่างสนุกสนาน ผู้คนไม่น้อยต่างเป็นกังวลแทนซูหวานหว่าน เพราะอย่างไรแล้ว ฉีเฉิงเฟิงจะต้องเชื่อฟังคำพูดของพระสนมอย่างแน่นอน!

เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田

เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田ครั้นวสันตพิรุณเพิ่งผ่านพ้น ท้องฟ้าก็กลับมาแจ่มใสดังเดิม เมฆหมอกขาวบางเบาลอยล่องเหนือแนวบรรพต ก่อเกิดเป็นภาพทิวทัศน์อันตระการตา ในภาพนั้นมีทั้งต้นไม้ ใบหญ้า และผู้คน ‘ซูหวานหว่าน’ ก็เป็นหนึ่งในบุคคลที่ปรากฏอยู่ในภาพทิวทัศน์นั้น นางเพิ่งขุดผักป่าขึ้นมาเต็มตะกร้าและกำลังจะตรงกลับบ้าน “พี่หญิง!” ทันใดนั้นเอง เด็กชายวัยกระเตาะผู้หนึ่งก็รีบวิ่งมาหา พร้อมทั้งตะโกนเรียกนางไปด้วย “ช้า ๆ ก็ได้” ซูหวานหว่านมองไปที่น้องชายตัวแสบของตนพร้อมกับระบายยิ้มให้ ซูจิ่นหมิงกลับไม่มีทีท่าว่าจะวิ่งช้าลงแต่อย่างใด เขายังคงวิ่งตรงเข้ามาหาซูหวานหว่านอย่างรีบร้อน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset