เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล – ตอนที่ 135 สมบูรณ์

 

Sign in Buddha’s palm 135 สมบูรณ์

 

ขณะที่อาณาจักรหนานจ้าวกําลังอยู่ในอารมณ์คุกรุ่น ซูฉินก็เดินทางกลับไปพระราชวังถังเรียบร้อยแล้ว

 

เป็นธรรมดาที่ซูฉินจะไม่รู้ว่าตัวเขาได้ทําลายอิทธิพลของลัทธิบูชาจันทร์ในอาณาจักรหนานจ้าวไป

 

แต่ถึงแม้ซูฉินจะรู้ เขาก็ไม่ได้คิดมากอะไร อาณาจักรหนานจ้าวตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เป็นเพียงอาณาจักรเล็กๆ ไม่มีแม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง แม้จะไม่มีโซ่ตรวนอย่างลัทธิบูชาจันทร์แล้วก็คงไม่สามารถกระทําการอันใดได้

 

หลังจากที่ซูฉินกลับมาที่วังหลวง เขาก็กลับมาใช้ชีวิตตามปกติอีกครั้ง

 

ตั้งแต่ที่ซูฉินออกจากวังไปเกือบทั้งวัน ไม่มีใครรู้เลยว่า ในช่วงเวลาสั้นๆนี้ ซูฉินได้เดินทางหลายพันหลายหมื่นลี้ เพื่อไปทําลายลัทธิบูชาจันทร์ในอาณาจักรหนานจ้าวแล้วเพิ่งจะกลับมา

 

ยามฟ้ามืด

 

ซูฉินกําลังนั่งขัดสมาธิอยู่

 

ทุกเรื่องทุกแง่มุมที่เกี่ยวกับ “เทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรา” เป็นเคล็ดวิชาลับที่สามารถทําให้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินเสถียรมากขึ้น

 

“เอาล่ะ”

 

“มาเริ่มกันเลย”

 

ซูฉินหลับตาลง จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก่อตัวขึ้นภายในร่างกระจายออก และจัดระเบียบใหม่ไปเรื่อยๆ ตามวิถีทางของ ‘เทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรา’

 

ถ้าเป็นผู้อื่น แม้แต่อรหันต์หรือตํานานยุทธก็ต้องใช้เวลาอย่างมากในการทําความเข้าใจ “เทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรา” และการเข้าใจเพียงผิวเผินก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเริ่มนํามาใช้จริง

 

สุดท้ายแล้ว “เทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรา” ก็เป็นวิธีที่เกี่ยวข้องกับการหล่อหลอมพลังศักดิ์สิทธิ์ หากไม่แน่ใจว่าเข้าใจได้ถ่องแท้แล้ว ใครจะกล้านํามาใช้กับจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตนเอง?

 

แต่ซูฉินนั้นต่างออกไป

 

หลังจากที่ได้รับข้อมูลจากระบบฝังเข้ามาในหัว ความเชี่ยวชาญของเขาในเคล็ดวิชาอันนี้อาจจะใกล้เคียงกับผู้ที่คิดค้นวิชานี้ขึ้นมาเลยก็ได้ แม้ว่าจะเป็นเพียงครั้งแรกที่ฝึกฝน แต่เขาก็คุ้นเคยกับมันมาก

 

หวึ่ง!

 

จะเห็นได้ว่าภายใต้การควบคุมของซูฉิน จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์มวลก้อนใหญ่ของเขา ค่อยๆ แตกตัวออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จากนั้นพลังศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นก็กลับมารวมตัวกันใหม่เพื่อสร้างจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่มั่งคงยิ่งขึ้น

 

ปกติแล้วจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของอรหันต์หรือตํานานยุทธ โดยทั่วไปจะอยู่ในสภาวะที่ไม่เป็นระเบียบ แต่เทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทราจะช่วยแยกและจัดเรียงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เสียใหม่ และกลายเป็นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่ดีกว่าเดิม

 

เปรียบสิ่งนี้ได้กับถ่านและเพชร เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่มีองค์ประกอบภายในเหมือนกัน แต่เพราะโครงสร้างที่ต่างกันจึงเกิดเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

 

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็เช่นกัน

 

เพียงแค่ว่าเมื่อเทียบกับวัตถุรูปธรรม จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์นั้นละเอียดอ่อนยิ่งกว่าความประมาทเพียงเล็กน้อยอาจ ทําลายรากฐานของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์และก่อให้เกิดอันต รายแฝงอันใหญ่หลวงขึ้นมาได้

 

แม้แต่ตัวซูฉินเองก็ไม่กล้าแยกองค์ประกอบจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์และจัดเรียงใหม่โดยปราศจากวิธีการ จาก “เทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรา”

 

ด้วยการจัดองค์ประกอบใหม่อย่างต่อเนื่อง ซูฉินรู้สึกว่าจิตใจของเขาชัดเจนขึ้น การใช้ความคิดต่างๆ ก็คล่องขึ้น

 

“ใกล้สําเร็จแล้ว”

 

“ตามที่ ‘เทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรา’ ได้อธิบายเอาไว้ ข้าควรจะสําเร็จวิชาเรียบร้อยแล้ว”

 

ซูฉินค่อยๆ ลืมตาขึ้น พยายามรับรู้สภาพตนเองอย่างระมัดระวัง ท่าทีของเขาดูประหลาดใจ

 

“แม้ว่าจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของข้าตอนนี้จะมีปริมาณน้อยลงมาก แต่ก็มีคุณภาพสูงกว่าเมื่อก่อนมากเช่นกัน”

 

ซูฉินดูมีความสุข

 

“ยิ่งไปกว่านั้น ความมั่นคงที่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ตอนนี้มีช่วยเพิ่มความเร็วในการฝึกฝนอย่างมากด้วย”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย ความคิดโลดแล่นไปมาภายในใจ

 

เมื่อยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งต้องการจะก้าวหน้าต่อไป จําต้องสร้างความเปลี่ยนแปลงสามด้าน คือ ร่างกาย กําลังภายใน และพลังศักดิ์สิทธิ์

   

เหล่าอรหันต์และตํานานยุทธก็ยังต้องให้ความใส่ใจใน การฝึกร่างกายแก่นแท้แห่งพลัง และจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน

 

ไม่ว่าจะเป็นอรหันต์ในระดับนภาชั้นที่หนึ่งหรืออรหันต์ในระดับนภาชั้นที่เก้าขั้นสูงสุด ก็ต้องให้ความสําคัญกับร่างกาย แก่นแท้แห่งพลัง และจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เป็นสามพื้นฐานสําคัญที่ต้องจดจําไว้ให้มัน

 

ร่างกายที่แข็งแกร่งสามารถหล่อเลี้ยงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้มากขึ้น และในแง่เดียวกันจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็สามารถเสริมพลังให้กับกายเนื้อรวมถึงช่วยเร่งความเร็วในการฝึกฝนได้เช่นกัน

 

ซูฉินเองก็อยู่ในเงื่อนไขเดียวกับที่กล่าวมา

 

“ต่อจากนี้ ข้าจะมุ่งมั่นตั้งใจฝึกฝนเพื่อบรรลุถึงขอบเขตยอดอรหันต์ให้เร็วที่สุด”

 

ซูฉินสงบใจ แล้วค่อยๆ คิดเรื่องราวอยู่อย่างเงียบๆ

 

ขอบเขตหลังจากระดับอรหันต์นั้นคือขอบเขตยอดอรหันต์ ซึ่งเทียบเท่าได้กับเซียนเทพปฐพี

 

แน่นอนว่า ไม่ว่าจะเป็นขอบเขตยอดอรหันต์หรือขอบเขตเซียนเทพปฐพีก็ล้วนแต่เป็นระดับเดียวกันเพียงแต่มีชื่อที่แตกต่าง

 

ความสามารถที่ใช้ได้ของทั้งสองฝ่ายนั้นเหมือนกัน คล้ายคลึงกับกรณีของอรหันต์กับตํานานยุทธ

 

ต่อจากนี้ไป ซูฉินจะทุ่มเทให้กับการฝึกฝนบ่มเพาะอีกครั้ง

 

ยกเว้นเพียงแต่การลงชื่อเข้าใช้ เขาก็แทบจะไม่สนใจสิ่งอื่นใด

จักรพรรดิถังหลี่เชิงได้พาลูกๆ ของตนมาพบปะพูดคุยกับ ซูฉินเป็นครั้งคราว ทําให้หลี่หยวนและหลีหว่านได้ใกล้ชิดกับซูฉินมากขึ้น

 

เมื่อเทียบกับคนในราชวงศ์คนอื่นๆ จักรพรรดิหลี่เชิงเต็มใจให้โอรสและธิดาของตนใกล้ชิดสนิทสนมกับซูฉินมากกว่า

 

องค์จักรพรรดิถังหลี่เชิงครองราชย์มาแล้วก็หลายปี เขาคุ้นเคยกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลง ความคิดคดในจิตใจผู้คน แต่เขายังไม่เห็นสิ่งแอบแฝงใดในใจของซูฉินเลย

 

เฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าซูฉิน จักรพรรดิหลี่เชิงรู้สึกว่าตนเอง ไม่ใช่จักรพรรดิอีกต่อไป แต่กลับเป็นเพียงบัณฑิตจนๆ ไม่มีค่ามีราคาใด

 

ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ซูฉินกล่าวเตือนว่า อาณาจักรถังมีรากฐานเพียงพอที่จะตัดทอนอํานาจศักดินาแล้วหรือยัง แต่นั้นมาจักรพรรดิถังก็ไม่เคยกล่าวเรื่องตัดทอนอํานาจศักดินาต่อเหล่าขุนนางอีกเลย

ซูฉินรู้แก่ใจดีว่าจักรพรรดิหลีเชิงกําลังอดทน

 

การอดทนนี้ไม่ใช่เพราะความขี้ขลาด มิใช่เพราะยอมจํานน แต่เพื่ออนาคตของอาณาจักรถัง

 

หลี่เซิงก็เป็นคนคนหนึ่ง เขาย่อมรู้ดีว่าการตัดทอนอํานาจศักดินาที่มีประสิทธิภาพที่สุดต้องค่อยเป็นค่อยไป

 

ตราบใดที่จักรพรรดิถังหลี่เชิงยังคงสร้างนโยบาย กฎเกณฑ์ใหม่ๆ เหล่าองค์ชายก็จะได้รับการจัดสรรปันส่วนเขตแดนอย่างเท่าเทียมกันในรุ่นลูกรุ่นหลาน

 

ส่งผลให้ผืนดินในครอบครองของเหล่าขุนนางถูกนั่นแบ่งเล็กลงเรื่อยๆ แม้ว่าสถานการณ์โดยรวมจะเหมือนเดิม แต่เมื่อมันตกไปอยู่ในมือของผู้คนจํานวนที่มากขึ้น อํานาจของพวกเขาก็จะกระจายกันออกไปทําให้ความแข็งแกร่งของ เหล่าขุนนางอ่อนแอลงอย่างไม่รู้ตัว

 

อย่างไรก็ตามการแต่งตั้งนโยบายเหล่านี้ก็ตั้งอยู่บนกรณีที่เหล่าราชาหัวเมืองพวกนั้นเชื่อฟังส่วนกลาง

 

หรือกล่าวอีกอย่างคือ ต้องปล่อยให้ราชาเหล่านั้นทําตามนโยบายอย่างเชื่อฟัง

 

แต่ปัญหาที่อาณาจักรถังเผชิญอยู่ตอนนี้คือ องค์ชายทุกคนเพิกเฉยต่ออํานาจขององค์จักรพรรดิ ไม่ต้องพูดถึงนโยบาย เพียงคําสั่งที่ออกโดยจักรพรรดิหลี่เชิง เมื่อไปถึงดินแดนของเหล่าองค์ชายมันก็เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย

 

นอกจากนี้เหล่าองค์ชายไม่ใช่คนโง่ องค์ชายทุกคนมีที่ปรึกษามากมาย พวกเขาย่อมคาดเดาเบื้องลึกเบื้องหลังของนโยบายที่ส่งมาถึงองค์ชายได้อย่างแน่นอน

 

เวลาผ่านเลยไปอย่างเชื่องช้า

 

พริบตาเดียวก็ผ่านไปสามปี

 

ในช่วงสามปีที่ผ่านมา แม้ว่าอาณาจักรถังจะโดนขุนนางท้องถิ่นจํากัดอํานาจ แต่โดยรวมก็แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่จะเจริญรุ่งเรือง

 

จักรพรรดิหลี่เชิงลงมืออย่างกล้าหาญ พัฒนาด้านการค้าเพิ่มภาษี และมีทรัพย์สินเพียงพอในคงคลัง

 

นอกจากนี้ หลังจากความพยายามอย่างหนักขององค์หญิงหลีหว่าน องค์จักรพรรดิถังก็ตกลงที่จะให้นางฝึกฝนวิทยายุทธ

 

อันที่จริงจักรพรรดิหลี่เชิงไม่ต้องการเห็นหลีหว่านก้าวเข้าสู่วิถีแห่งผู้ฝึกยุทธ ในมุมมองของจักรพรรดิหลี่เชิง จอมยุทธคนใดที่ไม่ได้ฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอยาวนานนับสิบปีก็ย่อมไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดา

 

ในฐานะคนในราชวงศ์หลีหว่านไม่จําเป็นต้องทนทุกข์ทรมานกับเรื่องพวกนี้ในวันนั้น

 

ภายในตําหนักชุนฝั่งขวา

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ กลิ่นอายทรงพลังไว้ประมาณ ไอพลังพวยพุ่งสูงขึ้นอย่างไม่มีความสั่นคลอนใด

 

ทันใดนั้นเอง

 

กลิ่นอายของซูฉินก็หายไปอย่างฉับพลัน ความเร็วของพ ลังที่เพิ่มขึ้นก็ค่อยๆ ช้าลงก่อนที่สักพักหนึ่งจะสงบลง

 

และในตอนนั้นเอง

 

ซูฉินก็ค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

 

“ในที่สุดก็สําเร็จ”

 

ความคิดมากมายเต็มไปหมดในหัวของซูฉิน ใบหน้าของเขาเปี่ยมด้วยความสุข

 

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

บทนำ ซูฉินเที่ยวท่องไปในยุทธภพอันกว้างใหญ่ เป็นโลกที่ชาวยุทธครองพิภพ เป็นสถานที่ที่ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนอยู่เหนือใต้หล้า เป็นที่ที่ผู้สืบทอดหมัดเก้าตะวันออกหาประสบการณ์ต่อสู้ไปตามแนวสายธารอันทอดยาวและภูเขาสูงชัน ทั้งยังมีเสียวหลี่ที่ขี่กระบี่โบยบินสู่นภากาศอันเวิ้งว้างว่างเปล่า เนื่องจากซูฉินไม่มีพรสวรรค์ด้านวิชายุทธ เขาจึงเป็นได้เพียงพระกวาดลานแห่งตำหนักลานจิปาถะ ในเวลานั้นเอง ระบบแห่งการลงชื่อเข้าใช้ก็ถูกกระตุ้นเปิดออก! ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าพระประธานสีทองอร่าม ได้รับ [ฝ่ามือยูไล] ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าลานสงฆ์ ได้รับ [กายแกร่งวัชระ] ลงชื่อเข้าใช้ที่ภูเขาหลังวัด ได้รับ [กายาโพธิสัตว์ปีศาจทองคำ] สมบัติแทบจะแทรกอยู่ทุกหย่อมหญ้าในวัดเส้าหลินให้ได้ลงชื่อรับของรางวัลมา ซูฉินจึงไม่คิดลงจากภูเขาอันเป็นที่ตั้งของวัดเส้าหลินไปที่ไหนแน่หากยังไม่ได้ลงชื่อรับของรางวัล และตัวเขาก็ลงชื่อเข้าใช้อยู่แบบนั้นมาตลอดยี่สิบปี ยี่สิบปีผ่านไป เส้าหลินเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรม เหล่ามารเข้าโจมตีวัดเส้าหลินอย่างมิเกรงฟ้าดิน มาทั่วทุกสารทิศมุ่งเข้าสู่ศาลาพระคัมภีร์ อย่างดุร้าย! และทรงพลัง! จนกระทั่งพวกมันเจอเข้ากับศิษย์วัดนามซูฉินกำลังกวาดลาน… แปลจากงานเขียนเรื่อง Sign in Buddha’s palm ผู้แต่ง : หุยเต้าหยวนชู ปล.เนื้อหาภายในเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ผู้แปลเพียงนำเสนอผลงานในรูปแบบที่เข้าใจง่ายขึ้นเท่านั้น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset