เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล – ตอนที่ 215 เทพเจ้าปีศาจลืมตาตื่น

Sign in Buddha’s palm 215 เทพเจ้าปีศาจลืมตาตื่น

 

“นั่นคือ…”

 

ดวงตาของซูฉินหรี่แคบ

 

ในถ้ําแห่งนี้ ยกเว้นไว้แต่ร่างของจ้าวทะเลบูรพาไม่ว่าจะเป็นโอสถวิเศษและคัมภีร์เคล็ดวิชาต่างก็เสื่อมสลายไปแล้วในช่วงหมื่นปีที่ผ่านมา

 

อย่างไรก็ตาม ซูฉินค้นพบว่าจ้าวทะเลบูร พากําลังถือของสองชิ้นอยู่ในมือและมันไม่ได้เสื่อมสลายเหมือนสมบัติชิ้นอื่นๆ

 

สองสิ่งนี้ หนึ่งคือม้วนคัมภีร์โบราณ อีกสิ่งคือหยกชิ้นหนึ่ง

 

ซูฉินเบิกเนตรดวงตาแห่งสัจจะและกวาดตา มองทั้งม้วนคัมภีร์และหินหยกแล้วตรวจซ้ําด้วยวิชาปราณฉีฟ้ากําหนด

 

“ไม่มีอันตรายอะไร”

 

ด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉิน หินหยกและคัมภีร์โบราณที่อยู่ใต้การครอบครองของจ้าวทะเลบูรพาทั้งหมดต่างก็ลอยขึ้นไปในอากาศแล้วมาหยุดอยู่ตรงหน้าซูฉิน

 

“คัมภีร์โบราณเล่มนี้”

 

ซูฉินเลือกดูคัมภีร์โบราณก่อน

 

เห็นได้ชัดว่าคัมภีร์โบราณนี้ทํามาจากวัสดุพิเศษ เหมือนทองแต่ก็ไม่ใช่ทอง เหมือนทองแดงแต่ก็ไม่ใช่ทองแดง ขนาดผ่านมาหนึ่งหมื่นปีมันยังรักษารูปทรงเดิมเอาไว้ได้ และตัวอักษรภายในก็ยังอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์

 

“<<เทพวิชาเพลิงปฏิปักษ์>>.”

 

ซูฉินมองดูคร่าวๆ และไม่ได้สนใจอะไรนัก

 

คัมภีร์โบราณเล่มนี้บันทึกเคล็ดวิชาที่เรียกว่า “เทพวิชาเพลิงปฏิปักษ์” เป็นเคล็ดวิชาพื้นฐานของจ้าวทะเลบูรพา หากฝึกฝนจนถึงระดับที่ลึกซึ้งจะสามารถเข้าสู่ขอบเขต เซียนเทพปฐพีได้ และยังพอมีความหวังอันเลือนรางที่จะสามารถปลดเปลื้องพันธนาการและก้าวเดินไปยังขอบเขตต่อไป

 

หากตํานานยุทธคนอื่นได้รับคัมภีร์เล่มนี้ไปพวกเขาคงจะนับว่ามันเป็นสมบัติเฝ้าอ่านทําความเข้าใจมันทั้งวันทั้งคืนแต่ในสายตาของซูฉิน มันไม่ได้ล้ําค่าไปกว่าผลไม้จิตวิญญาณธาตุไฟหนึ่งผลเลยด้วยซ้ํา

 

ซูฉินลงชื่อเข้ามาหลายสิบปี และได้รับสุดยอดเคล็ดวิชามานับไม่ถ้วนเทพวิชาเพลิงปฏิปักษ์” เล่มนี้เป็นเคล็ดวิชาขั้นพื้นฐานสําหรับขอบเขตเซียนเทพปฐพี และมันแทบจะไม่สามารถติดหนึ่งในร้อยเมื่อเทียบกับบรรดาวิชาจํานวนมากที่ซูฉินเชี่ยวชาญ

 

ถ้าเป็นเมื่อก่อน ซูฉินอาจจะพลิกดูสักสองสามรอบ

 

แต่ตอนนี้ซูฉินสามารถทําความเข้าใจแผ่นหินภาพดวงตะวันขนาดมหึมาและสัมผัสถึงพลังเปลวเพลิงของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในตํานานอย่างอีกาทองคําสามขาได้ทีละนิด สิ่งที่เรียกว่า”เทพวิชาเพลิงปฏิปักษ์” นั้นก็ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงอีกเลย

 

แม้จะฝึกฝน<<เทพวิชาเพลิงปฏิปักษ์>>จนถึงขีดสุดและกลั่นเพลิงปฏิปักษ์ออกมาได้ เมื่อเทียบกับเปลวไฟที่เผาได้ทุกสิ่งอย่างเพลิงปฏิปักษ์จะนับเป็นสิ่งใดได้?

ชิงชิวเฉียนเฉียนเห็นซูฉินโยนคัมภีร์ทิ้งไปด้วยอาการที่ไม่เห็นว่าคัมภีร์นี้มีความสําคัญมากมายอะไรนักนางจึงรวบรวมความกล้าเอ่ยถามออกไปว่า “นายท่านนี่คือสิ่งใดกัน?”

 

“ก็แค่คัมภีร์วิชานะ” ซูฉินไม่ได้หันหน้าไปมองยังคงก้มหน้ามองหยกที่อยู่เบื้องหน้าของตน

 

“คัมภีร์วิชา?”

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนเบิกตากว้าง แอบมองไปที่คัมภีร์โบราณจนกระทั่งเห็นคําสีคํา <<เทพวิชาเพลิงปฏิปักษ์>> ที่เขียนไว้ด้านหน้าของคัมภีร์โบราณนางตกใจมาก

 

“นายท่าน นี่ไม่ใช่เคล็ดวิชาธรรมดา นี่เป็นเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดที่จ้าวทะเลบูรพาใช้ฝึกฝนบ่มเพาะ” ชิงชิว เฉียนเฉียนอธิบายออกมาอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่าซูฉินไม่ได้ให้ความสําคัญกับคัมภีร์มากนัก

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนคิดว่าซูฉินไม่ได้ค้นพบความลับอันน่าที่นตะลึงของ “เทพวิชาเพลิงปฏิปักษ์” นางจึงต้องเตือนเขา

 

จิ้งจอกตระกูลชิงชิวเป็นภูตอสูรที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นทาสของจ้าวทะเลบูรพาและแน่นอน พวกเขาย่อมรู้ดีว่าจ้าวทะเลบูรพาสามารถผลาญภูเขาเผาทะเลจนเดือดได้

 

“โอ้”

 

ซูฉินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ข้ารู้แล้ว”

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนกะพริบตาปริบๆ รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

 

ท่าทีของซูฉินต่อเคล็ดวิชาหลักของจ้าวทะเลบูรพา นธรรมดาเกินไปและรู้สึกได้ถึงความขยะแขยงอยู่เล็กน้อย

 

“เมินเฉย?”

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนตกตะลึง

 

แม้แต่ในช่วงรุ่งเรืองของกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด “เทพวิชาเพลิงปฏิปักษ์”ก็เป็นเคล็ดวิชาที่ควรค่าแก่การครอบครองแม้กระทั่งผู้ที่อยู่เหนือกว่าขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ก็ ยังนับว่ามีค่าทําไมเมื่อมาอยู่ในมือของซูฉิน เขาจึงไม่สนใจที่ จะชายตาแล?

 

ถ้าไม่ใช่เพราะชิงชิวเฉียนเฉียนรู้ถึงความน่ากลัวของซูฉินเกรงว่าคงคิดว่าซูฉินไม่ตระหนักถึงความสําคัญของเคล็ดวิชาเล่มนี้เสียแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากซูฉินไม่สนใจในเทพวิชาเพลิงปฏิปักษ์เท่าไหร่ชิงชิวเฉียนเฉียนจึงไม่กล้าพูดอะไรต่อและยืนอยู่เคียงข้างซูฉินอย่างเชื่อฟัง

 

และในตอนนั้นเอง

 

ซูฉินกําลังมองหยกที่อยู่ตรงหน้าและจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาก็ค่อยๆ หลอมรวมเข้าไป

 

ทันใดนั้นเสียงก็ดังก้องในหัว

 

กระแสข้อมูลไหลบ่าจากหินหยกเขามาในจิตใจของซูฉิน

 

“….นับตั้งแต่มีการบุกรุกจากโลกถ้ําปิศาจใต้พิภพข้าและเหล่าจอมยุทธคนอื่นๆต่อสู้อย่างหนักหน่วงเข้าปราบปราม… ต้องใช้เวลาไปหลายสิบปีเพื่อบังคับเผ่าปีศาจให้ถอยกลับไป….”

 

“แต่ในตอนนั้น ในส่วนลึกของโลกถ้ําปีศาจ สิ่งมีชีวิต ที่น่าสะพรึงกลัวที่เรียกขานกันว่า “เทพเจ้าปีศาจ” ก็ได้ มตาตื่นและจับจ้องมองมายังโลกมนุษย์…”

 

ซูฉินหน้าตาเคร่งเครียด ซึมซับข้อมูลภายในหยกนั้นมาอย่างรวดเร็ว

 

หยกชิ้นนี้ถูกทิ้งไว้โดยจ้าวทะเลบูรพาเป็นบันทึกประสบการณ์ชีวิตของจ้าวทะเลบูรพาและยังมีเรื่องราวการบุกรุกโลกมนุษย์จากโลกถ้ําปีศาจครั้งล่าสุดเหล่าจอมยุทธ ภายในโลกมนุษย์เข้าต่อสู้น้ํานั่นกับเหล่าปีศาจ

 

ตามคําบอกเล่าของจ้าวทะเลบูรพา การรุกรานของโลกถ้ําปิศาจใต้พิภพได้นําความสูญเสียมาสู่โลกอย่างแท้จริงกองทัพจักรกลปีศาจไร้ที่สิ้นสุดประกอบกับราชาปี ศาจจํานวนมากทําให้เหล่ามนุษย์เริ่มสูญเสียดินแดน

 

อย่างไรก็ตาม

 

ด้วยการฟื้นคืนของกระแสปราณฉี เส้นทางในการฝึกฝนบ่มเพาะกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้น ควบคู่ไปกับความ กดดันที่เหล่าปีศาจนํามาผู้คนที่แข็งแกร่งเริ่มกําเนิดขึ้นที่ละคนสองคนอย่างฉับพลัน

 

ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ผนึกกําลังกันเพื่อปราบปราม เหล่าปีศาจสูญเสียไปอย่างมหาศาลเพื่อแลกกับการขับไล่เหล่าปีศาจให้ล่าถอยกลับไปยังโลกถ้ําปิศาจใต้พิภพ

 

แต่ในเวลานั้น ในที่สุดก็มีบางสิ่งเปลี่ยนแปลงไป

 

เมื่อเห็นเช่นนี้ซูฉินก็ขมวดคิ้วมุ่น

 

“เทพเจ้าปีศาจตนหนึ่งในโลกถ้ําปีศาจลืมตาตื่น ในชั่วพริบตามันก็สร้างความเสียหายให้แก่ผู้แข็งแกร่งบนโลกไปหลายต่อหลายคนจ้าวทะเลบูรพาอยู่ถึงปลายขอบของสนามรบแต่ก็ยังได้รับผลกระทบจากดวงตาปีศาจนั้นด้วยแม้ว่าเขาจะไม่ตายแต่เขาก็ต้องรีบหนีกลับมายังถ้ําเซียนบนเกาะหยิงโจวอย่างไม่คิดชีวิตหลังจากนั้นไม่นานอาการบาดเจ็บของ เขาก็รุนแรงขึ้นจนถึงขั้นวิกฤติ…”

 

ซูฉินเงียบไปชั่วครู่

 

“การบุกรุกของปีศาจตั้งแต่ต้นจนจบ เทพเจ้าปีศาจไม่เคยเคลื่อนไหวเลยบางทีความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นอาจจะสูงล้ําจนเกินไปและต้องจ่ายราคามหาศาลเพื่อโจ มตีข้ามเขตแดน?”

 

ซูฉินเดาออกมาอย่างรวดเร็ว “จนถึงตอนสุดท้ายของการรบเผ่าพันธุ์ปีศาจกําลังพ่ายแพ้อย่างแน่นอนแล้ว และหนึ่งในเทพเจ้าปีศาจก็อดไม่ได้ที่จะลืมตาขึ้นมามองโลกม นุษย์”

 

“จุดประสงค์ก็เพื่อระบายความโกรธเกรี้ยวภายในใจทําให้เหล่าตัวตนผู้แข็งแกร่งจํานวนมากบนโลกในยุคนั้นถูกโจมตีจนเสียหายอย่างหนัก?”

 

ซูฉินแตะปลายคางของตน คิดว่าพอจะเข้าใจเรื่องรา วทั้งหมดแน่นอนว่าเป็นการคาดเดาของซูฉินเองทั้งหมดเขาไม่ได้พบเจอกับประสบการณ์นั้นตรงๆ จึงไม่ได้เข้าใจ เรื่องนี้ดีมากนัก

 

“เทพเจ้าปีศาจแห่งโลกถ้ําปิศาจนั้นแข็งแกร่งมากเช่นนั้นหรือ?”

 

หลังจากที่ซูฉินเห็นข้อมูลภายในหยก ความคิดของเขาก็ผันผวน

 

แม้ว่าด้วยมีดเทพเจ้าปีศาจและโลหิตเทพเจ้าปีศาจจะทําให้ซูฉินประเมินเทพเจ้าปีศาจไว้สูงมากแล้วและเชื่อว่าเทพเจ้าปีศาจเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีสิ่งใดเทียบเทียม อยู่ไกลเกินกว่าขอบเขตเซียนเทพปฐพี

 

แต่ตามคําอธิบายของจ้าวทะเลบูรพา มันยังห่างไกลไปยิ่งกว่านั้นอีก

 

อยู่ห่างกันคนละมิติ แต่เพียงการชําเลืองตามองเพียงครั้งเดียวก็สร้างความเสียหายให้แก่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกในยุคนั้นได้เกรงว่าคงไม่ต่างไปจากเทพเซียนจริงๆ

 

“โชคดีที่ข้ายังไม่ปล่อยให้ร่างจําแลงถลําลึกไปยัง ส่วนลึกของโลก…”

 

ซูฉันรู้สึกว่าตนเองโชคดีอยู่เล็กน้อย

 

หลังจากที่ซูฉินได้รับสมบัติจํานวนมากมาจากกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ปีศาจโบราณภายในเมืองเมฆาปีศาจเขาก็วางแผนจะไปสํารวจส่วนลึกของโลกถ้ําปิศาจและลงชื่อเข้าใช้ต่อหน้าเทพเจ้าปีศาจผู้ควบคุมผืนฟ้าอย่างแท้จริง

 

แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าเขาคงจะถูกค้นพบโดยเทพเจ้าปีศาจเสียตั้งแต่ก่อนจะได้เข้าไปใกล้ชิดต้นไม้ปีศาจโบราณ

 

แม้ว่าร่างจําแลงของซูฉินภายในโลกถ้ําปีศาจจะสามารถฟื้นตัวกลับมาได้หากตกตายไป แต่สุดท้ายแล้วมันก็ใช้จิตวิญญาณและพลังจากเลือดเนื้อของซูฉินไปเป็นจํานวนมาก

 

“เราจะยังไม่พูดถึงการบุกรุกไปยังส่วนลึกของโลกถ้ําปีศาจในตอนนี้”

 

“ในยุคปัจจุบัน แม้ว่ากระแสปราณฉีจะเริ่มฟื้นตัว แต่ก็ยังอยู่ห่างไกลจากความรุ่งเรืองที่แท้จริงอย่างน้อยๆก็หลายร้อยปี”

 

“ในช่วงเวลานี้ โลกถ้ําปิศาจคงยังไม่คิดที่จะบุกรุก”

 

ซูฉินครุ่นคิดอยู่เงียบๆ

 

การฟื้นตัวของกระแสปราณฉีนั้นไม่ได้เกิดได้ชั่วข้ามคืนมันเหมือนกับกระแสน้ําที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ จําเป็ นต้องใช้เวลา

 

สําหรับโลกถ้ําปีศาจ เฉพาะยามเมื่อโลกมนุษย์อยู่ในช่วงที่กระแสปราณีฟื้นฟูจนมั่งคั่งอย่างแท้จริงเท่านั้น จึงจะคุ้ มค่าต่อการบุกรุก

 

“นอกจากนี้ หินหยกยังบันทึกความรู้สึกของจ้าวทะเลบูรพายามที่ทะลวงผ่านขอบเขตตํานานยุทธขึ้นไปสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีไว้อีกด้วย…”

 

จิตใจของซูฉินสั่นไหวตกตะลึง

 

ไม่ว่าจะเป็นการบุกรุกของโลกถ้ําปิศาจใต้พิภพหรือการมตาตื่นขึ้นของเทพเจ้าปีศาจ สิ่งเหล่านั้นล้วนห่างไกลตัวซูฉินมากเกินไป

 

เมื่อเทียบกันแล้ว ซูฉินเต็มใจที่จะทราบรายละเอียดเกี่ยวกับความก้าวหน้าในการบ่มเพาะมากกว่า

 

“จากประสบการณ์ของจ้าวทะเลบูรพา จําเป็นต้องมีข้อกําหนดเบื้องต้นสองประการเพื่อก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี”

 

“หนึ่งคือการควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็ก นี่คือจุดที่สําคัญที่สุดมันสําคัญที่สุดเพราะหากไม่มีการปกป้องจากอาณาเขตผู้ฝึกจะต้องตายอย่างแน่นอนเมื่อทะลวงขั้น”

 

ซูฉันคิดอยู่ในใจเงียบๆ

 

นี่ไม่ใช่เรื่องยากแม้แต่น้อยเพราะตอนนี้เขาได้ควบแน่นอาณาเขตเสร็จเรียบร้อยแล้ว

 

“และข้อกําหนดที่สองคือต้องเปลี่ยนจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ให้เปลี่ยนเป็นจิตวิญญาณแรกกําเนิด มีเพียงจิตวิญญาณ แรกกําเนิดควบคู่กับการปกป้องด้วยพลังของอาณาเขตเท่านั้นจึงจะมีโอกาสเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ได้”

 

ซูฉันคิดกับตัวเอง

 

สิ่งที่เรียกว่าจิตวิญญาณแรกกําเนิด ซูฉินทําความเข้าใจได้ไม่ยาก มันเป็นพลังเกี่ยวกับจิตวิญญาณที่ต้องกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์จนถึงขีดสุด

 

อันที่จริง ตั้งแต่ฝึกฝน เทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรา” ก็ทําให้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขามีความเสถียรมากขึ้นและรู้สึกได้จางๆว่าจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขายังกลั่นไปได้มากกว่านั้นอีก

 

เพียงแต่ว่าจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวข้องกับรากฐานภายในตนถ้าเป็นเรื่องของร่างกาย หากได้รับความเสียหายมันสามารถฟื้นฟูได้ด้วยพลังจากภายนอกแต่จิตสัมผัสศักดิ์สิ ทธิ์นั้นพึ่งพาได้เพียงตนดังนั้นก่อนหน้านี้ซูฉินจึงรู้สึกว่าไม่ควรฝึกฝนอย่างประมาทเลินเล่อ

 

“แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นข้อกําหนดหลังจากเข้าสู่นภาชั้นที่เก้าแล้วแต่ตอนนี้ข้ายังอยู่ระดับนภาชั้นที่เจ็ดเท่านั้นจึงไม่ต้องรีบร้อนนัก”

 

ซูฉินไม่ได้รีบร้อนที่จะกลั่นจิตวิญญาณแรกกําเนิด

 

โดยทั่วไปแล้ว ยิ่งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งมากเท่าใดจิตวิญญาณแรกกําเนิดที่กลั่นออกมาได้ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้นตอนนี้ซูฉินเป็นเพียงตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ด เฉพาะเมื่ออยู่บนจุดสูงสุดของนภาชั้นที่เก้าที่ไม่สา มารถเพิ่มพลังจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์แล้วเท่านั้นจึงควรพิจารณากลั่นจิตวิญญาณแรกกําเนิดออกมา

 

“จิตวิญญาณแรกกําเนิด.”

 

“อาณาเขต……”

 

ซูฉินครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย

 

เมื่อเทียบกับการทะลวงสู่ขอบเขตตํานานยุทธมันต้องแปรสภาพพลังถึงสามอย่าง ร่างกายกําลังภายในและจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์

 

“เอาล่ะ”

 

“ถึงแม้ว่าเกาะแห่งนี้จะตั้งอยู่บนเกาะหยิงโจวแต่จริงๆแล้วเกาะแห่งนี้ก็ไม่ได้ขึ้นตรงต่อเกาะหยิงโจวไปซะทีเดียว”

 

“ข้าลงชื่อเข้าใช้ในส่วนนอกของเกาะหยิงโจวและได้รับแผ่นหิน “ภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์” มาจนทําให้เสะสมของเกาะหยิงโจว”หมดไปแต่มันอาจจะยังมี”เต๋ สะสม เหลืออยู่บนเกาะเล็กกลางน้ําแห่งนี้ไม่ใช่หรือ?”

 

ดวงตาของซูฉินเป็นประกาย

 

ถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพาแห่งนี้ตั้งอยู่กลางทะเลสาบบนเกาะหยิงโจวมันถูกแยกออกด้วยค่ายกลสังหาร ตามหลักแล้วมันไม่ควรจะขึ้นตรงต่อเกาะหยิงโจวเป็นเหตุผลว่าทําไมจิ้งจอกตระกูลชิงชิวที่ครอบครองทั้งเกาะหยิงโจวแต่กลับไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับถ้ําเซียนแห่งนี้

 

เนื่องจากมันแยกออกจากเกาะหยิงโจว หมายความว่ามันยังมี “เต๋สะสม” อยู่

 

เมื่อมาถึงจุดนี้ ซูฉินก็เหลือบมองรอบๆ อีกครั้งเพื่อความแน่ใจก่อนจะพึมพําในใจว่า

 

“ระบบลงชื่อเข้าใช้!”

 

 …

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

บทนำ ซูฉินเที่ยวท่องไปในยุทธภพอันกว้างใหญ่ เป็นโลกที่ชาวยุทธครองพิภพ เป็นสถานที่ที่ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนอยู่เหนือใต้หล้า เป็นที่ที่ผู้สืบทอดหมัดเก้าตะวันออกหาประสบการณ์ต่อสู้ไปตามแนวสายธารอันทอดยาวและภูเขาสูงชัน ทั้งยังมีเสียวหลี่ที่ขี่กระบี่โบยบินสู่นภากาศอันเวิ้งว้างว่างเปล่า เนื่องจากซูฉินไม่มีพรสวรรค์ด้านวิชายุทธ เขาจึงเป็นได้เพียงพระกวาดลานแห่งตำหนักลานจิปาถะ ในเวลานั้นเอง ระบบแห่งการลงชื่อเข้าใช้ก็ถูกกระตุ้นเปิดออก! ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าพระประธานสีทองอร่าม ได้รับ [ฝ่ามือยูไล] ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าลานสงฆ์ ได้รับ [กายแกร่งวัชระ] ลงชื่อเข้าใช้ที่ภูเขาหลังวัด ได้รับ [กายาโพธิสัตว์ปีศาจทองคำ] สมบัติแทบจะแทรกอยู่ทุกหย่อมหญ้าในวัดเส้าหลินให้ได้ลงชื่อรับของรางวัลมา ซูฉินจึงไม่คิดลงจากภูเขาอันเป็นที่ตั้งของวัดเส้าหลินไปที่ไหนแน่หากยังไม่ได้ลงชื่อรับของรางวัล และตัวเขาก็ลงชื่อเข้าใช้อยู่แบบนั้นมาตลอดยี่สิบปี ยี่สิบปีผ่านไป เส้าหลินเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรม เหล่ามารเข้าโจมตีวัดเส้าหลินอย่างมิเกรงฟ้าดิน มาทั่วทุกสารทิศมุ่งเข้าสู่ศาลาพระคัมภีร์ อย่างดุร้าย! และทรงพลัง! จนกระทั่งพวกมันเจอเข้ากับศิษย์วัดนามซูฉินกำลังกวาดลาน… แปลจากงานเขียนเรื่อง Sign in Buddha’s palm ผู้แต่ง : หุยเต้าหยวนชู ปล.เนื้อหาภายในเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ผู้แปลเพียงนำเสนอผลงานในรูปแบบที่เข้าใจง่ายขึ้นเท่านั้น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset