เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล – ตอนที่ 253 หวาดกลัว

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm]

Sign in Buddha’s palm 253

Sign in Buddha’s palm 253 หวาดกลัว

“เซียนเทพปฐพี อา…”

นักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีตกอยู่ในภวังค์

แม้ว่าวิทยายุทธจะรุ่งเรืองในต่างดินแดน ขอบเขตเซียนเทพปฐพีก็ยังนับเป็นตัวตนในตํานานซึ่งไม่ได้พบเห็นกันมาเป็นพันปี นิกายใหญ่หลายแห่งที่สืบทอดต่อมานับพันปีนั้นหลายแห่งก็เป็นนิกายที่เซียนเทพปฐพีเป็นผู้ก่อตั้งเอาไว้

ในขณะที่นิกายเฮยหยวนนั้นไม่เคยมีเซียนเทพปฐพีกําเนิดขึ้นเลย

มีข้อบกพร่องในวิชาบ่มเพาะของนิกายเฮยหยวน ทําให้ไม่สามารถเปลี่ยนจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เป็นจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ แม้แต่ศิษย์อัจฉริยะผู้น่าพึ่งยังติดอยู่ในระดับนภาชั้นที่เก้า แต่ในทางกลับกันมันก็แสดงให้เห็นถึงความยากลําบากในการเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีด้วย

หากต้องการทะลวงขอบเขตเซียนเทพปฐพี ไม่เพียงแต่จะต้องก้าวเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เก้า แต่จะต้องควบแน่นอาณาเขตและแปลงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ให้กลายเป็นจิตวิญญาณแรกกําเนิดด้วย

ยิ่งกว่านั้น แม้ว่าจะทําตามขั้นตอนเหล่านี้ครบถ้วนหมดแล้ว การที่จะสามารถเข้าสู่ขอบเขตเชียนเทพปฐพีได้หรือไม่นั้น ท้ายที่สุดก็เป็นคนละเรื่องกัน มีอัจฉริยะที่มีความสามารถมากจนถึงขนาดไม่มีใครเทียบเทียมได้จํานวนมาก ในหน้าประวัติศาสตร์ของนิกายใหญ่ล้มเหลวในการทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี

และผลที่ตามมาจากความล้มเหลวก็คือการที่พลังชีวิตและเลือดเนื้อเสื่อมถอย จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เสื่อมสลาย และในที่สุดก็ต้องประกาศตัวว่าจะเข้าสู่การกลับหลับใหล

ความคิดของนักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีพลันเปลี่ยนแปลงไปมาอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ

ถ้าไปคนอื่น นักพรตเฒ่ารู้สึกว่าต่อให้เตรียมพร้อมทุกสิ่งแล้ว ก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าจะสามารถเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีได้สําเร็จ แต่กับซูฉิน…

ตั้งแต่ได้พบกับซูฉิน นักพรตเฒ่าก็ตกตะลึงมานับครั้งไม่ถ้วน ถ้าแม้แต่ซูฉินยังก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีไม่ได้ เกรงว่าผู้ฝึกยุทธบนโลกนี้คงไม่มีใครไปแตะขอบเขตเซียนเทพปฐพีได้อีกแล้ว

ซูฉินเพิกเฉยต่ออาการตกใจของนักพรตเฒ่า หลังจากเขากําชับบางสิ่งบางอย่างเอาไว้เรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากไปและกลับมาสู่ห้องโถงพระราชวังอันสูงตระหง่านใต้เมืองฉางอัน

“บรรพบุรุษชีหยวนแท้จริงแล้วก็มีเคล็ดลับบางอย่างที่ไม่เลว”

ขณะที่ซูฉินนั่งขัดสมาธิ ความรู้สึกร้อนรนก็ผุดขึ้นในใจ อย่าเห็นเพียงว่าเขาสามารถสังหารบรรพบุรุษชีหยวนได้ง่ายดาย ในความเป็นจริงแล้วเคล็ดวิชาของบรรพบุรุษชีหยวนนั้นแพ้ทางให้เขาอย่างสมบูรณ์

เมฆหมอกสีดําที่รวบรวมมาจากพลังงานความตายอันไร้ที่สิ้นสุด นั้นสามารถระงับยับยั้งตํานานยุทธขั้นสูงสุดส่วนใหญ่บนโลกนี้ได้ แต่เห็นได้ชัดว่าซูฉินไม่ได้อยู่ในกลุ่มนั้น ด้วยภาพดวงตะวันขนาดมหึมาของซูฉินจึงสามารถยับยั้งพลังชั่วร้ายเหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์

ไม่เช่นนั้น หากบรรพบุรุษชีหยวนใช้ไม้ตายอื่น ซูฉินคงไม่สามารถแก้ทางคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดายเพียงนี้ อย่างน้อยก็ต้องออกกระบวนท่าอีกสองสามครั้ง

“ข้ายังอ่อนแอเกินไป”

“ยุทธภพต่างแดนนั้นเจริญรุ่งเรืองสืบทอดมรดกมาจากช่วงสุดท้ายของยุคเฟื่องฟูของกระแสปราณฉี จะต้องมีไพ่ลับในมืออีกจํานวนมาก”

หัวใจของซูฉินดําดิ่ง

หากเขาเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี บรรพบุรุษชีหยวนจะไม่สามารถเข้าใกล้เมืองฉางอันได้ เพียงเข้ามาในระยะร้อยล้ํารอบเมืองก็คงถูกอาณาเขตบดขยี้เป็นผุยผงไปแล้ว ทําไมยังจะต้องให้ซูฉินลงมือด้วยตัวเองอีก?

“ข้านั้นมีวิธีการมากมายในมือ แต่จะสามารถใช้พลังที่แท้จริงได้ก็ต่อเมื่อเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีแล้วเท่านั้น”

ความคิดของซูฉินผันผวน และตัวเขาก็กระตือรือร้นที่จะก้าวหน้าต่อไปมากขึ้นเรื่อยๆ

ตัวอย่างเช่น ในม้วนบันทึกภาพเทพสงคราม ข้อกําหนดขั้นต่ําคือต้องมีอาณาเขตขนาดใหญ่ และอาณาเขตขนาดใหญ่ก็เป็นสิ่งที่มีเพียงเซียนเทพปฐพีเท่านั้นที่มีได้ เมื่อ เทียบกับเซียนเทพปฐพี ซูฉินมีเพียงอาณาเขตขนาดเล็กที่ครอบคลุมรัศมีหนึ่งร้อยจ้างเท่านั้น ส่วนอาณาเขตขนาดใหญ่สามารถครอบคลุมได้เป็นร้อยลี้ ไม่รู้ว่ามันห่างไกลกันเพียงใด

อีกตัวอย่างหนึ่งก็เช่น ฝ่ามือยูไลที่ว่ากันว่าเป็นเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดที่ตกทอดมาจากองค์ยูไล ปัจจุบันซูฉินมีเพียงรูปแบบแรกที่ได้รับมานั่นคือ “เพียงตัวตถาคตประเสริฐสุด ส่วนอีกแปดรูปแบบที่เหลือซูฉินจําต้องก้าวหน้าต่อไปเพื่อรับมันมาเพิ่มทีละอัน

นอกจากนี้ยังมีแผ่นหินภาพดวงตะวันขนาดมหึมาจากภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ตอนนี้ภาพดวงตะวันฯ ของซูฉินยังเพิ่งถึงขั้นเริ่มต้นเท่านั้น แต่กระนั้นมันก็ช่วยซูฉินได้มากทีเดียว ตอนที่แผดเผาบรรพบุรุษชีหยวน มันแฝงกลิ่นอายของอีกาทองคําสามขาลงไปด้วย มิฉะนั้นหากเป็นเพียงเพลิงศักดิ์สิทธิ์เก้าสุริยัน มันจะคุกคามตัวตนที่อยู่ในจุดสูงสุดผู้นั้นได้เช่นไร?

ภาพดวงตะวันขนาดมหึมานั้นไม่แพ้ใครหน้าไหนแน่นอน แต่ด้วย “ความร่ํารวย” ในปัจจุบันของซูฉิน นับประสาอะไรกับการฝึกฝนจนสําเร็จวิชา แม้จะเป็นความสําเร็จเพียงเล็กน้อย ก็ไม่สามารถทําได้ในเวลาอันสั้น

“เตรียมทะลวงนภาชั้นที่เก้าเถอะ”

“ตราบใดที่ข้าเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่เก้า ข้าจะสามารถเปลี่ยนจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ให้กลายเป็นจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ด้วยโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิด จากนั้นข้าจะสามารถไปยังขอบเขตที่สูงขึ้นได้ในเวลาอันสั้น”

ซูฉินมั่นใจอย่างยิ่ง เขาค่อยๆหลับตาลง แก่นแท้แห่งพลังภายในกายเริ่มหมุนวนโคจรและเดือดพล่าน

ในขณะเดียวกันโอสถศักดิ์สิทธิ์และหยดน้ําจิตวิญญาณจํานวนมากก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าซูฉิน ซึ่งพวกมันสามารถส่งเสริมการบ่มเพาะให้กับตํานานยุทธขั้นสูงสุด แม้แต่ในต่างดินแดนเอง พวกมันก็หาได้ยากมาก และบางชิ้นยังหายสาบสูญไปแล้วด้วยซ้ํา

แต่ในขณะนี้ โอสถศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ได้ถูกวางกองรวมกันไว้ตรงหน้าของซูฉินเหมือนกองผลึกน้ําตาล ให้ซูฉินหยิบฉวยขึ้นกัดกินได้ตามต้องการ

เมื่อซูฉินบิดด่านฝึกตนอีกครั้ง พร้อมจะเข้าสู่ขอบเขตตํานา

ในป่าไผ่แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากเมืองฉางอันไปหลายร้อยลี้ มีร่างสามร่างยืนอยู่อย่างเงียบๆ

เป็นอีกครั้งแล้วที่มีตํานานยุทธมายังดินแดนแห่งนี้ และจะเห็นได้ว่ากลิ่นอายของทั้งสามร่างนี้ช่างน่ากลัวยิ่ง สูงส่งราวกับฟ้าดิน พวกเขาทั้งสามคนเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุด

อย่างไรก็ตาม

ในตอนนี้ทั้งสามตํานานยุทธขั้นสูงสุดซึ่งมีอํานาจควบคุมทุกสิ่งพากันหลั่งเหงื่อเย็นเยียบไหลย้อยมาตามหน้าผาก

“บรรพบุรุษชีหยวนตายแล้วจริงๆหรือนี่?”

ตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่อยู่ด้านซ้ายมือมีใบหน้าบิดเบี้ยวน่าเกลียด

ตํานานยุทธขั้นสูงสุดทั้งสามนั้นต่างก็เป็นบรรพบุรุษจากนิกายใหญ่ดินแดนโพ้นทะเล

เนื่องจากบรรพชนทั้งสามจากนิกายเฮยหยวน ตําหนักเทพเจ้ามะ และพรรคหมื่นดาบได้ตื่นขึ้นจากหลับใหลและเรื่องนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วโลกพร้อมกับข่าวของแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ พวกเขาซึ่งเป็นบรรพชนนิกายใหญ่ย่อมต้องการที่จะต่อสู้เพื่อครอบครองพื้นที่ในแผ่นดินแห่งนี้เป็นธรรมดา เขาต้องต่อสู้แย่งชิงพื้นที่บางส่วนสําหรับนิกายของพวกเขา ดังนั้นจึงตื่นขึ้นมารวมตัวกันเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ที่โลกอันยิ่งใหญ่กําลังจะมาถึง

ในตอนแรก ตํานานยุทธขั้นสูงสุดทั้งสามนั้นเพิ่งมาถึงและกําลังเฝ้ารอดูสิ่งต่างๆ พวกเขาไม่ต้องการจะแข็งขันกับบรรพบุรุษชีหยวนรวมถึงคนอื่นๆ

สุดท้ายแล้วบรรพบุรุษชีหยวนก็เป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุดมานานกว่าพันปีทั้งยังควบแน่นอาณาเขตได้แล้วด้วย ความแข็งแกร่งย่อมมากกว่าพวกตน แม้จะมีการต่อสู้เกิดขึ้น พวกเขาก็ไม่สามารถยื้อแย่งแขjงขันได้

เพียงแต่ตํานานยุทธขั้นสูงสุดทั้งสามไม่คาดคิดมาก่อนว่า เมื่อเผชิญหน้ากับอันตรายใหญ่หลวงอย่างบรรพบุรุษชีหยวนและบรรพชนอีกสองคน ตํานานยุทธเมืองฉางอันทั้งไม่เกรงกลัวและไม่ถอยหนี หยัดยืนด้วยตนเพียงคนเดียวต่อหน้าศัตรูสามคน สังหารสิ้นทั้งสามคนซึ่งรวมถึงบรรพบุรุษชีหยวนด้วย

ช่างเป็นพลังที่น่ากลัวอะไรเช่นนี้?

โดยเฉพาะยามที่ซูฉินเดินออกมาจากเมฆหมอกมรณะสีดํา เปลวเพลิงที่เขาเรียกออกมานั้นราวกับสามารถเผาทุกสิ่งโดยรอบได้พร้อมกัน แม้พวกเขาจะอยู่ห่างไกลออกมาหลายร้อยลี้ แต่อดใจสั่นเพราะความหวั่นกลัวไม่ได้

“รุนแรงเกินไป น่ากลัวเกินไปแล้ว”

สีหน้าของตํานานยุทธขั้นสูงสุดคนที่สองนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก

ถ้าไม่ใช่เพราะกลิ่นอายของซูฉินที่ยังอยู่ในขอบเขตตํานานยุทธ เกรงว่าตัวมันคงจะคิดว่าซูฉินนั้นได้ก้าวหน้าและกลายเป็นเซียนเทพปฐพีไปแล้ว

“โชคดีที่พวกเราไม่ได้รอบรรพบุรุษชีหยวน และร่วมมือกับพวกเขา……”

น้ําเสียงของตํานานยุทธขั้นสูงสุดคนที่สามเต็มไปด้วยความรู้สึกยินดี

พวกเขาล้วนเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุด

แม้จะไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับบรรพบุรุษชีหยวน แต่ก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าบรรพบุรุษเฉวซินหรือบรรพชนพรรคหมื่นดาบมากนัก

แต่ด้วยความแข็งแกร่งที่ซูฉินแสดงออกมา แม้ว่าทั้งสามจะผนวกกําลังเข้าไป มันก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่ซูฉินจะต้องลงมือตวัดมีดเพิ่มอีกสามครั้ง

“แผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่เพิ่งปรากฏขึ้นในช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้เอง ตัวตนที่ทรงพลังน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ถือกําเนิดขึ้นมาได้เช่นไร?” ตํานานยุทธขั้นสูงสุดคนแรกเอ่ยถึงความสงสัยในหัวใจของเขาออกมา

รู้หรือไม่ ก่อนที่กระแสปราณฉีจะฟื้นคืน ก่อนที่แผ่นดินแห่งพลังยุทธจะถือกําเนิด พื้นที่จุดตัดแห่งนี้เรียกได้ว่าเป็นทวีปที่แห้งแล้ง ไม่ต้องกล่าวถึงตํานานยุทธขั้นสูงสุด แม้แต่จอมยุทธขอบเขตตํานานยุทธยังหาได้ยากยิ่ง มันด้อยกว่ายุทธภพในต่างแดนอย่างมาก

แต่ในสถานที่ที่เปรียบประหนึ่งคูน้ําเล็กๆนี่ กลับมีมังกรที่แท้จริงอย่างซูฉินปรากฏตัวขึ้น

“แล้วพวกเราควรทําเช่นไรในตอนนี้?” ตํานานยุทธขั้นสูงสุดคนที่สองพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง

เหตุผลพวกเขามารวมตัวกันที่นี่ นอกเหนือจากมาเฝ้าดูบรรพบุรุษชี่หยวนลงมือแล้ว ก็คิดที่จะยึดครองพื้นที่บางส่วนเอาไว้ด้วย

แต่ตอนนี้

แม้ว่าจะมีความกล้าหาญกว่านี้อีกเป็นสิบเท่า แต่เขาก็ไม่กล้าต่อสู้แย่งชิงดินแดนมาจากราชวงศ์ถัง

บรรพบุรุษชีหยวนและบรรพชนอีกสองคนจากทั้งตําหนักเทพ เจ้าหิมะและพรรคหมื่นดาบล้วนเป็นบทเรียนที่ดี

“ในอาณาบริเวณของอาณาจักรถังมีเมืองฉางอันคอยพิทักษ์อยู่ แน่นอนว่าข้าย่อมไม่หาเรื่องตายให้ตนเอง”

ตํานานยุทธขั้นสูงสุดคนที่สามขบคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดต่อ “แต่ในทวีปนี้ อาณาจักรถังครอบครองเพียงพื้นที่ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในแถบตอนกลางเท่านั้น”

“ส่วนพื้นที่ชายขอบนั้น อาณาจักรถังไม่ได้เป็นเจ้าของ ถ้าพวกเรายึดครองพื้นที่ห่างไกลเหล่านั้น อาณาจักรถังคงไม่ว่ากล่าวอะไร และเมืองฉางอันเองก็คงลงมือกับข้าไม่ได้”

เมื่อกล่าวออกมาเช่นนั้น

ดวงตาของตํานานยุทธขั้นสูงสุดอีกสองคนก็พลันสว่างไสวขึ้นมา

แม้ว่าพื้นที่ห่างไกลจะมีทรัพยากรน้อยกว่าจุดศูนย์กลาง แต่ก็ยังนับเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินแห่งพลังยุทธ หากพวกเขาสามารถครอบครองมันได้ย่อมเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาเอง

ดีกว่าไม่ได้อะไรกลับไปเลย

หลายวันผ่านไป

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองฉางอันก็แพร่กระจายไปทั่วโลกโดยสมบูรณ์

ทันใดนั้นโลกยุทธภพต่างดินแดนก็พลันร้อนระอุ

“ บรรพบุรุษชีหยวนตายแล้ว?”

“กว่าเก้าร้อยปีแล้วนะที่นิกายใหญ่ไม่ได้ฉีกเนื้อเฉือนหนังของตนเองปลุกบรรพชนขึ้นมาเพื่อกระทําการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ และนานแค่ไหนกันแล้วที่ตํานานยุทธขั้นสูงสุดได้ตกตายไป?”

“ตํานานยุทธขั้นสูงสุดภายในแผ่นดินแห่งพลังยุทธช่างน่ากลัวเหลือเกิน ขนาดบรรพบุรุษชีหยวนที่ควบแน่นอาณาเขตได้แล้ว ไม่รู้ว่ามีความสามารถในการเอาตัวรอดมากกว่าตํานานยุทธขั้นสูงสุดทั่วไปแค่ไหน แต่ก็ยังตกตาย”

ตํานานยุทธในต่างแดนจํานวนนับไม่ถ้วนต่างพูดคุยกัน ระบายความตื่นตะลึงในใจตนออกมา

ตํานานยุทธขั้นสูงสุดนั้นเป็นตัวตนเช่นไร? ทั้งบรรพบุรุษชีหยวนเองก็เป็นตํานานยุทธที่เหนือกว่าตํานานยุทธขั้นสูงสุดธรรมดา เป็นตัวตนที่น่าสะพรึงกลัว เมื่อไปยังแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ พวกเขากลับตกตายจากฝีมือของชายผู้แข็งแกร่งคนหนึ่ง เรื่องราวเป็นเช่นนี้ จะไม่ให้จิตใจสั่นไหวได้อย่างไร

“เห้อ”

“คราวนี้นิกายเฮยหยวนได้ตกต่ําลงแล้วจริงๆ ตอนที่หมิงโยวตายไปมันก็ยังพอทนได้ แต่ตอนนี้แม้แต่บรรพบุรุษชีหยวนก็ตายไป ด้วยเรียบร้อย จีจี้ ”

ตํานานยุทธต่างพากันมองไปยังทิศทางของนิกายเฮยหยวน พวกเขาต่างแฝงความนัยอันลึกซึ้งเอาไว้

นิกายเฮยหยวน

ทุกสิ่งเงียบประหนึ่งปาช้า

ตั้งแต่ผู้นํานิกายเฮยหยวน ไปจนถึงศิษย์สาวกจํานวนมากภายในนิกายเฮยหยวน ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ทั้งยังแฝงร่องรอยของความหวาดกลัวเอาไว้ถ้ากล่าวว่าการที่ศิษย์นิกายเฮยหยวนตกตายในแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ เป็นการสร้างศัตรูกับนิกายเฮยหยวน รองผู้นํานิกายเฮยหยวนอย่างหมิงโยวตกตายอยู่ในแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ ก็ยิ่งทวีความโกรธแค้นให้กับนิกายเฮยหยวนมากขึ้นไปอีก

แต่ตอนนี้ แม้แต่บรรพบุรุษชีหยวนแห่งนิกายเฮยหยวนก็ยังถูกฝังกลบอยู่ในดินแดนแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่ ผู้คนในนิกายเฮยหยวน รวมถึงผู้นํานิกายต่างรู้สึกหวาดกลัว

ถูกต้อง

มันคือความหวาดกลัว

ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่เศร้า มีเพียงความหวาดกลัว

เนื่องจากการตายของบรรพบุรุษชีหยวนนั้นเกินขีดจํากัดของนิกายเฮยหยวนไปแล้ว ทุกคนในนิกายเฮยหยวนไม่เหลือความคิดที่จะแก้แค้นอีกต่อไป

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

Status: Ongoing
บทนำ ซูฉินเที่ยวท่องไปในยุทธภพอันกว้างใหญ่ เป็นโลกที่ชาวยุทธครองพิภพ เป็นสถานที่ที่ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนอยู่เหนือใต้หล้า เป็นที่ที่ผู้สืบทอดหมัดเก้าตะวันออกหาประสบการณ์ต่อสู้ไปตามแนวสายธารอันทอดยาวและภูเขาสูงชัน ทั้งยังมีเสียวหลี่ที่ขี่กระบี่โบยบินสู่นภากาศอันเวิ้งว้างว่างเปล่า เนื่องจากซูฉินไม่มีพรสวรรค์ด้านวิชายุทธ เขาจึงเป็นได้เพียงพระกวาดลานแห่งตำหนักลานจิปาถะ ในเวลานั้นเอง ระบบแห่งการลงชื่อเข้าใช้ก็ถูกกระตุ้นเปิดออก! ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าพระประธานสีทองอร่าม ได้รับ [ฝ่ามือยูไล] ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าลานสงฆ์ ได้รับ [กายแกร่งวัชระ] ลงชื่อเข้าใช้ที่ภูเขาหลังวัด ได้รับ [กายาโพธิสัตว์ปีศาจทองคำ] สมบัติแทบจะแทรกอยู่ทุกหย่อมหญ้าในวัดเส้าหลินให้ได้ลงชื่อรับของรางวัลมา ซูฉินจึงไม่คิดลงจากภูเขาอันเป็นที่ตั้งของวัดเส้าหลินไปที่ไหนแน่หากยังไม่ได้ลงชื่อรับของรางวัล และตัวเขาก็ลงชื่อเข้าใช้อยู่แบบนั้นมาตลอดยี่สิบปี ยี่สิบปีผ่านไป เส้าหลินเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรม เหล่ามารเข้าโจมตีวัดเส้าหลินอย่างมิเกรงฟ้าดิน มาทั่วทุกสารทิศมุ่งเข้าสู่ศาลาพระคัมภีร์ อย่างดุร้าย! และทรงพลัง! จนกระทั่งพวกมันเจอเข้ากับศิษย์วัดนามซูฉินกำลังกวาดลาน… แปลจากงานเขียนเรื่อง Sign in Buddha’s palm ผู้แต่ง : หุยเต้าหยวนชู ปล.เนื้อหาภายในเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ผู้แปลเพียงนำเสนอผลงานในรูปแบบที่เข้าใจง่ายขึ้นเท่านั้น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset