เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล – ตอนที่ 83 หนึ่งคมดาบไม้ ห่างไกลพันลี้ เชือดเฉือนชีวียอดปรมาจารย์

Sign in Buddha’s palm 83 หนึ่งคมดาบไม้ ห่างไกลพันลี้ เชือดเฉือนชีวียอดปรมาจารย์

 

 

วันต่อมา

 

เฉียนขู่เดินผ่านถิ่นทุรกันดารไปพร้อมๆ กับสาวกนิกายอื่นและหยุดพักที่ด้านหน้าบ้านพักแห่งหนึ่ง

 

“เข้าไปพักด้านในกันก่อนเถิด”

 

มีบางคนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยแนะ

 

พวกเขาส่วนใหญ่เป็นผู้ฝึกยุทธในขอบเขตสามระดับกลางและระดับชั้นที่สาม แม้พวกเขาจะมีกำลังภายในคอยคุ้มกันอยู่ แต่ยังไงพวกเขาก็จำเป็นต้องพักผ่อน

 

“ได้เลย”

 

จางเซียวมองไปทางบ้านพักและพยักหน้าเห็นด้วย หลังจากแน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดปกติ

 

“รอก่อน”

 

ในเวลานั้นเอง จู่ๆ เฉียนขู่ก็พูดขึ้น

 

“เราไม่ควรพักที่นี่”

 

เฉียนขู่เงียบไปชั่วขณะและกล่าวขึ้น

 

ตอนที่เฉียนขู่กำลังมองดูบ้านพักแห่งนี้ก็พลันรู้สึกหวั่นใจขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้

 

แม้ว่าเฉียนขู่จะไม่รู้ว่าเหตุอะไรจะเกิดขึ้น แต่เขาตระหนักขึ้นมาได้เพราะดวงใจพุทธะสั่นเตือน

 

“ไม่ควรพักที่นี่?”

 

จางเซียวผงะไปครู่หนึ่งแล้วมองไปยังเฉียนขู่ เขาขมวดคิ้วแล้วถามว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”

 

“ข้าก็มิทราบเช่นกัน แต่รู้สึกว่าบ้านพักแห่งนี้อันตรายอย่างมาก”

 

เฉียนขู่ส่ายหัวพร้อมอธิบาย

 

สำหรับคำเตือนจากดวงใจพุทธะมันลึกลับซับซ้อนจนไม่รู้อธิบายอย่างไร จึงได้แต่บอกว่าเป็นความรู้สึกส่วนตัว

 

“อันตราย?”

 

จางเซียวมองกลับไปที่บ้านพักหลังนั้นอีกครั้ง

 

“เมื่อเป็นเช่นนั้น”

 

“ก็อย่าเพิ่งพักที่นี่เลย ไปต่อกันเถอะ”

 

จางเซียวขบคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดออกมา

 

คนอื่นๆ ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่พอใจเล็กน้อย แต่พวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไร

 

สำหรับผู้ฝึกยุทธอย่างพวกเขา แม้ว่าจะเหนื่อยแต่ก็ประคองตัวต่อไปไหว

 

อย่างไรก็ตาม

 

เมื่อเฉียนขู่และคนอื่นๆ กำลังจะจากไป

 

ทันใดนั้นเสียงที่ฟังดูมืดมนก็ดังขึ้น

 

“เฮ่เฮ่ เมื่อพวกเจ้ามาถึงที่นี่แล้ว คิดจะจากไปนี่ถามข้าหรือยังเล่า?”

 

เห็นเป็นชายคนหนึ่งที่มีจมูกงุ้มเหมือนกับนกอินทรีเดินเข้ามาอย่างช้าๆ

 

ในขณะที่ชายจมูกงุ้มปรากฏตัวขึ้น กลุ่มคนในชุดดำก็เข้ามาล้อมกลุ่มของเฉียนขู่อย่างเงียบเชียบ

 

“มีปัญหาแล้ว”

 

จางเซียวกล่าวอย่างเคร่งขรึม

 

มาถึงตอนนี้ ทำไมเขาจะไม่รู้ตัวว่ากลุ่มของเขาตกหลุมพรางของพวกมันเข้าให้แล้ว

 

“ขอบังอาจถามว่าท่านคือใคร?”

 

“ส่วนตัวข้าเป็นศิษย์ของนักพรตจางแห่งเขาหวู่ตั้ง…”

 

ชายจมูกนกอินทรีที่อยู่ไม่ไกลนั้นทำให้จางเซียวรู้สึกอันตราย

 

แม้จางเซียวจะไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งของชายที่มีจมูกเหมือนนกอินทรี แต่ก็เห็นได้ชัดว่าฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งกว่าเขามาก

 

ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ จางเซียวไม่คิดที่จะท้าทายหรือกระทำการใดๆ และรีบแจ้งชื่อเสียงเรียงนามก่อนสิ่งอื่นใด

 

เมื่อคนอื่นได้ยินเช่นนั้นก็โล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย

 

ในความเห็นของพวกเขา นักพรตจางแห่งเขาหวู่ตั้งนั้นทรงพลัง และเมื่อฝ่ายตรงข้ามรู้ว่ากลุ่มของพวกเขาเกี่ยวข้องกับนักพรตจาง จะต้องยอมปล่อยพวกเขาไปอย่างแน่นอน

 

เพียงเท่านั้น

 

เมื่อได้ยินสามพยางค์ที่ว่า นักพรตจาง ชายจมูกงุ้มไม่เพียงไม่แสดงอาการหวาดกลัว แต่กลับหัวเราะอย่างมีความสุข

 

“นักพรตจาง?”

 

“เป้าหมายการสังหารก็คือศิษย์ของนักพรตจางนี่แหละ!”

 

ชายจมูกงุ้มหัวเราะอย่างดุร้าย “พวกเรา จัดการมันให้หมด!”

 

ทันใดนั้น

 

คนชุดดำหลายสิบคนก็รีบกรูกันเข้ามาโดยไม่มีท่าทีลังเล

 

นักพรตเฒ่าคนหนึ่งที่สวมชุดนักพรตทางเต๋าก็โผล่ออกมาแล้วคว้าไหล่ของจางเซียวไว้ พยายามจะพาหลบหนี

 

“อาจารย์อา?”

 

“ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร?”

 

เมื่อจางเซียวเห็นนักพรตเฒ่า เขาก็ผงะไปเล็กน้อย รู้สึกดีใจมาก

 

นักพรตเฒ่าคืออาจารย์อาของเขาซึ่งเป็นปรมาจารย์ระดับชั้นที่สองแห่งเขาหวู่ตั้ง

 

จางเซียวไม่คิดว่าจะพบอาจารย์อาของเขาที่นี่

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”

 

“นานมาแล้วที่ข้าไม่ได้พบเจ้า!”

 

ชายที่มีจมูกงุ้มเหมือนนกอินทรียิ้มเยาะ มันยกมือขวาและกดมือลงไปทางนักพรตเฒ่า

 

ฟู่ม!!

 

แรงระเบิดพุ่งฝ่าอากาศเข้าใส่นักพรตเฒ่าอย่างแผ่วเบา

 

ปึง!!

 

นักพรตเฒ่าหน้าแดงเถือก อาเจียนออกมาเป็นเลือด ต้องก้าวถอยหลังไปจนเกือบจะล้มลงกับพื้น

 

“เจ้าน่าจะเป็นผู้พิทักษ์ของจางเซียวสินะ?”

 

ชายจมูกนกมองไปที่นักพรตเฒ่าแล้วกล่าวคำช้าๆ

 

ฐานะอย่างจางเซียวจะไม่มีใครคอยคุ้มกันเขาได้อย่างไรเมื่อออกท่องยุทธภพ

 

เหตุผลที่ชายจมูกงุ้มไม่ลงมือแต่แรกเป็นเพราะต้องการรอให้คนเหล่านี้ออกมา

 

“คนอื่นๆ จงออกมาให้หมดเถอะ”

 

ชายจมูกนกหันไปมองคนอื่นๆ

 

“เฮ่”

 

“ข้าสงสัยยิ่งนักว่ายอดฝีมือท่านนี้คือใคร?”

 

“ถ้าจำไม่ผิด เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนมิใช่หรือ?”

 

คนจำนวนหนึ่งค่อยๆ เดินออกมาจากมุมอับทีละคน มองไปที่ชายจมูกงุ้มแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

 

“แน่นอนว่าย่อมมิรู้จัก”

 

ปรากฏร่องรอยความเย็นชาฉายวาบบนใบหน้าของชายจมูกงุ้ม “แต่ในเมื่อพวกเจ้าอยู่กันเสียที่นี่แล้ว ก็จงตายกันไปเสียเถอะ”

 

ทันใดนั้นเอง

 

กลิ่นอายของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งก็ปะทุออกอย่างรุนแรง

 

เหล่าจอมยุทธในสามระดับบนที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมอับเพื่อคอยปกป้องเหล่าศิษย์ของตนเอง ถึงกับหน้าเปลี่ยนสีและถูกซัดกระเด็นลงไปกระแทกกับพื้น

 

“หึ ทนไม่ได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว”

 

ชายจมูกนกยิ้มอย่างดูถูก

 

ด้วยความแข็งแกร่งของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งของมัน การกำราบผู้พิทักษ์พวกนี้ทำได้ง่ายเหมือนกระดกน้ำเคี้ยวอาหาร

 

เหล่าศิษย์สำนักต่างๆ เมื่อเห็นฉากดังกล่าวก็พลันหนาวยะเยือกตั้งแต่มือลามไปจนถึงเท้า

 

พวกเขาไม่คิดฝันมาก่อนว่าผู้อาวุโสในสำนักของตนจะไม่สามารถทนการโจมตีของชายจมูกงุ้มได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว

 

“พวกเจ้ารีบไปเถอะ”

 

“จงวิ่งไปให้ไกลที่สุด ทำได้หรือไม่?”

 

ในขณะนั้นเองนักพรตเฒ่าจากเขาหวู่ตั้งตะโกนดังก้อง

 

คำพูดที่กล่าวออก

 

ทำให้ทุกคนฟื้นสติ

 

ถูกต้อง

 

สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้ไม่ใช้การนิ่งเฉยรอคอย แต่ต้องหนีเพื่อเอาชีวิตรอด

 

“วิ่ง?”

 

แววถากถางปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายจมูกงุ้ม

 

ศิษย์เหล่านี้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตสามระดับบนด้วยซ้ำ จะรอดพ้นเงื้อมมือของยอดปรมาจารย์เช่นเขาจริงๆ น่ะหรือ?

 

“ไปกันเร็ว”

 

จางเซียวถอยกลับไปอยู่ด้านข้างของเฉียนขู่ แล้วแอบกระซิบผ่านสายลมอย่างรวดเร็วว่า “ท่านอาจารย์อาของข้าบอกมาว่าเขาจะเปิดใช้ทักษะลับหลังจากนี้ และจะสกัดผู้คนไว้ได้สักพัก เราต้องใช้โอกาสนี้เพื่อหลบหนี”

 

“หลังจากนี้พวกเราต้องวิ่งไปพร้อมกัน”

 

หลิ่วหรูเหมยตัวสั่นพร้อมกับกล่าวคำ

 

เธอมีชาติกำเนิดที่สูงส่ง ตั้งแต่เด็กจนตอนนี้เธอไม่เคยต้องหวาดกลัวเท่าครั้งนี้มาก่อน ยังดีที่เธอยังพอจะหยัดยืนอยู่ได้ในตอนนี้

 

“อืม”

 

เฉียนขู่พยักหน้า

 

ในตอนนี้แม้ว่าจะอยู่ในสภาวะวิกฤติ แต่เฉียนขู่ก็สงบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

เมื่อสิ้นเสียงของเฉียนขู่

 

นักพรตเฒ่าผู้มากประสบการณ์จากเข้าหวู่ตั้งที่อยู่อีกด้านก็ทะยานเข้าหาชายจมูกงุ้ม

 

“ทักษะลับต้องห้าม?”

 

ชายจมูกนกส่ายหัวก้าวไปหานักพรตเฒ่าตรงๆ แล้วตบฝ่ามือเข้าใส่อย่างกะทันหัน

 

ตูม!!

 

ทันใดนั้นใบหน้าของนักพรตเฒ่าก็ซีดขาวราวกับกระดาษ ล้มฟาดลงกับพื้น ลมหายใจรวยริน

 

“นี่…”

 

ใบหน้าของจางเซียวบิดเบี้ยวจนน่าเกลียด และหลิ่วหรูเหมยที่อยู่ด้านข้างก็ขาสั่นด้วยความตกใจ

 

พวกเขาไม่คาดคิดว่าขนาดนักพรตเฒ่าอุตส่าห์ใช้ทักษะลับต้องห้ามก็ยังจะเปราะบางเช่นนี้อยู่อีก

 

“ข้าจะไม่เล่นกับพวกเจ้าอีกต่อไปแล้ว”

 

ชายจมูกงุ้มผู้นั้นเหมือนจะหมดความอดทน มันยื่นมือขวาออกไปคว้าจับตัวของจางเซียวเอาไว้

 

“ไม่ต้องเป็นห่วง เจ้าจะไม่ได้ตายง่ายๆ แน่”

 

“ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสความทรมานอย่างสุดแสนก่อนที่จะส่งแกไปลงนรก”

 

ชายจมูกนกมองไปที่จางเซียวอย่างอาฆาตมาดร้าย

 

“มันจบแล้ว”

 

สีหน้าของจางเซียวซีดเทาราวกับคนตาย ขณะนี้ทั้งร่างของเขาถูกจับกุมไว้โดยชายจมูกงุ้ม ไม่สามารถฆ่าตัวตายได้

 

“ส่วนพวกเจ้า…”

 

“ข้าไม่ได้แค้นเคืองอะไรกับพวกเข้า เพียงแต่เจ้าได้เห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็น…”

 

ชายจมูกงุ้มเหมือนนกอินทรีหันมามองเฉียนขู่ และคนอื่นๆ เขายกมือซ้ายขึ้น กำลังภายในที่น่ากลัวถูกปลดปล่อยออกมา มันต้องการจะจัดการกลุ่มของเฉียนขู่ให้กลายเป็นเนื้อบดด้วยฝ่ามือของมัน

 

“ทำเช่นไรดี”

 

ศิษย์คนอื่นๆ เสียขวัญไปแล้ว จิตใจสับสนรวนเรกันไปหมด

 

แม้แต่จอมยุทธอาวุโสในขอบเขตสามระดับบนยังนอนทอดร่างอยู่ที่นี่ นับประสาอะไรกับศิษย์อย่างพวกเขา?

 

หลิ่วหรูเหมยหน้าซีดเช่นกัน นางซ่อนตัวอยู่ด้านหลังเฉียนขู่อย่างนิ่งงัน ท่าทางหวาดกลัว หลับตารอคอยความตาย

 

“เณรน้อยเฉียนขู่ ข้าไม่คิดฝันเลยว่าจะต้องมาตายไปพร้อมกับเจ้า”

 

หลิ่วหรูเหมยพึมพำกับตนเอง

 

เมื่อความตายย่างกรายเข้ามา หลิ่วหรูเหมยกลับรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา

 

“นะโมอมิตาพุทธ”

 

“หากข้ามิก้าวสู่นรก ผู้ใดเล่าจะก้าวลงนรก”

 

เฉียนขู่ก้าวเท้าไปด้านหน้าแล้วพุ่งเข้าหาชายที่มีจมูกงองุ้ม

 

แม้ว่าเฉียนขู่จะรู้ว่าเขาจะต้องตาย แต่ระหว่างจำยอมตายกับเข้าต่อต้านแล้วตาย เขาย่อมเลือกอย่างหลัง

 

“เจ้าโล้นตัวน้อยนี่ช่างมีความกล้าหาญนัก”

 

ชายจมูกงุ้มส่ายหัวเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นว่า “แต่ก็ยังน่าเสียดาย ต่อหน้าข้า ไม่ว่าจะกล้าหาญมากเพียงใดมันก็ไม่มีความหมาย”

 

ชายจมูกงุ้มดูเย็นชา มือซ้ายของมันพลันเปลี่ยนวิถีไปอย่างกะทันหันแล้วมวลพลังอันน่าหวาดหวั่นก็เข้าโอบล้อมพื้นที่ไว้อย่างรวดเร็ว

 

ตูม!!!

 

เฉียนขู่ราวกับถูกสายฟ้าฟาดเข้าใส่ สติของเขาเริ่มพร่ามัว

 

“นี่ข้ากำลังจะตายหรือ?”

 

ภาพต่างๆ นานาปรากฏขึ้นในมโนจิตของเฉียนขู่ และในที่สุดภาพก็จับไปที่ซูฉินที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

“ในที่สุดข้าก็ได้พบหน้าพระอาจารย์เป็นครั้งสุดท้าย…”

 

เมื่อยามที่เฉียนขู่กำลังเผชิญหน้ากับความตายอย่างสงบ

 

ดาบไม้ธรรมดาๆ ขนาดเท่าฝ่ามือที่เขาแขวนอยู่รอบคอก็เริ่มสั่นสะเทือน

 

แกร็ก

 

ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีลมพัดผ่าน ดาบไม้ก็ค่อยๆ ลอยขึ้นเองโดยปลายดาบชี้ขึ้นแล้วตัดลงหาชายจมูกงุ้มอย่างเชื่องช้า

 

“นี่มันคืออะไรกัน?”

 

ชายจมูกงุ้มเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง เขาสังเกตเห็นดาบไม้ขนาดเท่าฝ่ามือที่อยู่รอบคอของเฉียนขู่ในทันที

 

“ไม่ดีแล้ว!”

 

ชายจมูกงุ้มพลันรู้สึกถึงวิกฤตความเป็นความตาย จึงล่าถอยกลับไปเต็มกำลัง

 

อย่างไรก็ตาม

 

ในเวลานี้ ดาบไม้ขนาดเท่าฝ่ามือที่อยู่รอบคอของเฉียนขู่ ได้ฟาดฟันลงมาเป็นที่เรียบร้อย

 

ชิ้ง

 

เจตจำนงดาบปรากฏเป็นภาพมายาออกมาฟันเข้าใส่ชายที่มีจมูกงองุ้ม

 

ไม่มีใครสามารถทราบถึงความคมของดาบเล่มนี้ได้

 

ดาบเล่มนี้ฟาดฟันลงมาราวกับว่า แม้แต่มิติก็จะต้องขาดเป็นสองท่อนยามเมื่อมันพาดผ่านไปที่ใด ในลานสายตาของชายจมูกงุ้ม เขาเห็นเพียงแค่เจตจำนงแห่งดาบพาดผ่านลงมาจากฟากฟ้า

 

เจตจำนงดาบอันนี้พุ่งฝ่าอากาศในระยะหลายร้อยเมตรในชั่วอึดใจเดียว และตัดผ่านการป้องกันของชายจมูกงุ้มได้อย่างง่ายดาย หั่นชายจมูกงุ้มออกเป็นสองท่อน

 

เจตจำนงแห่งดาบที่เหลืออยู่ฟาดออกไปทำลายบ้านพักบนภูเขาด้านหลังชายที่มีจมูกงองุ้มเหมือนนกอินทรี

 

ตูมตูมตูม

 

ทันใดนั้นก็เห็นรอยที่ราบเรียบตรงกึ่งกลางของบ้านพักบนภูเขา โดยไม่มีรอยแตกร้าวใดๆ ให้เห็น บ้างพักทั้งหลังถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนในทันที

 

“นี่คือ?”

 

ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็ยืนอึ้ง ใบหน้าและจิตใจของพวกเขาพลันเหลือแต่ความว่างเปล่า

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

บทนำ ซูฉินเที่ยวท่องไปในยุทธภพอันกว้างใหญ่ เป็นโลกที่ชาวยุทธครองพิภพ เป็นสถานที่ที่ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนอยู่เหนือใต้หล้า เป็นที่ที่ผู้สืบทอดหมัดเก้าตะวันออกหาประสบการณ์ต่อสู้ไปตามแนวสายธารอันทอดยาวและภูเขาสูงชัน ทั้งยังมีเสียวหลี่ที่ขี่กระบี่โบยบินสู่นภากาศอันเวิ้งว้างว่างเปล่า เนื่องจากซูฉินไม่มีพรสวรรค์ด้านวิชายุทธ เขาจึงเป็นได้เพียงพระกวาดลานแห่งตำหนักลานจิปาถะ ในเวลานั้นเอง ระบบแห่งการลงชื่อเข้าใช้ก็ถูกกระตุ้นเปิดออก! ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าพระประธานสีทองอร่าม ได้รับ [ฝ่ามือยูไล] ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าลานสงฆ์ ได้รับ [กายแกร่งวัชระ] ลงชื่อเข้าใช้ที่ภูเขาหลังวัด ได้รับ [กายาโพธิสัตว์ปีศาจทองคำ] สมบัติแทบจะแทรกอยู่ทุกหย่อมหญ้าในวัดเส้าหลินให้ได้ลงชื่อรับของรางวัลมา ซูฉินจึงไม่คิดลงจากภูเขาอันเป็นที่ตั้งของวัดเส้าหลินไปที่ไหนแน่หากยังไม่ได้ลงชื่อรับของรางวัล และตัวเขาก็ลงชื่อเข้าใช้อยู่แบบนั้นมาตลอดยี่สิบปี ยี่สิบปีผ่านไป เส้าหลินเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรม เหล่ามารเข้าโจมตีวัดเส้าหลินอย่างมิเกรงฟ้าดิน มาทั่วทุกสารทิศมุ่งเข้าสู่ศาลาพระคัมภีร์ อย่างดุร้าย! และทรงพลัง! จนกระทั่งพวกมันเจอเข้ากับศิษย์วัดนามซูฉินกำลังกวาดลาน… แปลจากงานเขียนเรื่อง Sign in Buddha’s palm ผู้แต่ง : หุยเต้าหยวนชู ปล.เนื้อหาภายในเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ผู้แปลเพียงนำเสนอผลงานในรูปแบบที่เข้าใจง่ายขึ้นเท่านั้น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset