เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 10 การลงโทษคนชั่วช้าสามานย์

ผู้ที่เพิ่งมาเยือนเป็นผู้ที่หลงเฉินก็รู้จักดี ไม่เพียงแค่หลงเฉินเท่านั้น ภายในจักรวรรดิต่างรู้จักเขา เขาก็คือผู้นำของสภาผู้หลอมโอสถ——ปรมาจารย์หวินฉี

 

 

 

 

 

“ใต้เท้าหัวหน้าสภา เด็กน้อยผู้นี้ได้เข้ามาก่อเรื่องวุ่นวายเมื่อสักครู่นี้ ข้าจะรีบไล่เขาไปเอง” ชายชราผู้นั้นกล่าวออกมาอย่างรีบร้อนเมื่อสบสายตากับปรมาจารย์หวินฉี

 

 

 

 

 

หลงเฉินกรอกตาไปมา แสร้งปั้นสีหน้าท่าทางตื่นเต้นขึ้นมาแล้วกล่าว “ท่านก็คือปรมาจารย์หวินฉีอย่างนั้นหรือ? ยอดไปเลย หลงเฉินผู้นี้รู้สึกซาบซึ้งที่ท่านได้ช่วยชีวิตข้าน้อยเอาไว้”

 

 

 

 

 

เดิมทีหวินฉีที่มีสีหน้าไม่พอใจอยู่กลับเกิดความสงสัยขึ้นมาแทน เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาได้กล่าวขึ้นมาจึงถามกลับไปว่า “เด็กน้อยเอ๋ย เจ้าจำผิดคนแล้วใช่หรือไม่”

 

 

 

 

 

“จำผิดคน? ไม่อาจเป็นเช่นนั้น เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน” หลงเฉินส่ายหน้ารัว ชี้นิ้วไปทางด้านชายชราที่พยายามขับไล่เขา “มารดาของข้ารู้จักกับปรมาจารย์ท่านนี้และยังจ่ายเงินไปสิบกว่าหมื่นตำลึงทองเพื่อซื้อโอสถกระดูกพยัคฆ์ของท่านมาเม็ดหนึ่ง เพื่อนำมารักษาอาการบาดเจ็บของข้าจนหายเป็นปลิดทิ้ง ข้าน้อยรู้สึกตื้นตันใจยิ่งนัก”

 

 

 

 

 

หลงเฉินกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเสแสร้ง วินาทีนั้นชายชราผู้นั้นหน้าถอดสีทันที หวินฉีมองไปยังชายชราผู้นั้นแล้วกล่าว “กวานเฉิง เจ้าบอกมา นี่มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?”

 

 

 

 

 

“เรียนใต้เท้าหัวหน้าสภา ท่านอย่าได้ฟังวาจาเหลวไหล……” กวานเฉิงออกตัวอย่างแรง

 

 

 

 

 

“เอ๊ะ เหตุใดท่านจึงไม่ยอมรับ? พวกท่านคือคนของสมาคมผู้หลอมโอสถ มีเกียรติ และหยิ่งในศักดิ์ศรียิ่ง กระทำสิ่งใดต่างก็ไม่ทิ้งนามเอาไว้ โอสถกระดูกพยัคฆ์ที่ท่านได้ขายให้มารดาของข้าเม็ดนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง” หลงเฉินยิ้มเยาะ

 

 

 

 

 

ถึงแม้กวานเฉิงผู้นั้นจะส่งสายตามองไปทางเขามาโดยตลอด แต่ว่าหลงเฉินกลับทำเหมือนว่าสายตานั้นเป็นเพียงอากาศ เจ้าไม้ใกล้ฝั่งผู้นั้นคิดว่าจะหลอกเอาจากเงินทองของตระกูลหลงไปได้อย่างง่ายดายเช่นนั้นหรือ?

 

 

 

 

 

กวานเฉิงเป็นคนเก่าคนแก่ที่อยู่ในสภาผู้หลอมโอสถ เดิมทีแล้วเป็นเพียงผู้ช่วยของปรมาจารย์หวินฉี แต่ว่ากลับไม่ได้มีพรสวรรค์ในการหลอมโอสถแต่อย่างใด

 

 

 

 

 

แต่ว่ากวานเฉิงได้ทำงานรับใช้ข้างกายปรมาจารย์หวินฉีมาหลายสิบปี ปรมาจารย์หวินฉีเองก็เอ็นดูเขาจึงได้ให้เขาเป็นพ่อบ้านภายในสมาคมผู้หลอมโอสถ ตามปกติจะช่วยงานเก็บกวาดเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น

 

 

 

 

 

มีอยู่บางครั้งที่เขาได้หลอมโอสถไร้ค่าออกมา ส่งมอบให้กวานเฉิงเป็นคนจัดการ ซึ่งถือเป็นกระบวนการทำงานตามปกติ โอสถไร้ค่าเหล่านั้นยังพอเหลือสิ่งที่เป็นประโยชน์อยู่บ้างนั่นคือใช้เป็นส่วนผสมของโอสถเหลว เนื่องจากโอสถไร้ค่านั้นไม่ควรที่จะนำไปขายทอดตลาดภายนอกนั่นเอง

 

 

 

 

 

สิ่งนี้จึงเป็นความเสี่ยงของชื่อเสียงในอาชีพนี้ หากถูกผู้คนเล่าลือกันว่าปรมาจารย์หวินฉีได้นำโอสถไร้ค่าออกมาขายก็จะกลายเป็นเรื่องติฉินนินทาของสหายร่วมอาชีพด้วยกันเอง

 

 

 

 

 

ปรมาจารย์หวินฉีถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ มองไปทางกวานเฉิงแล้วกล่าว “เจ้าก็ติดตามข้ามาหลายสิบปี นิสัยของข้านั้นเจ้าเองก็ทราบดี ไปด้วยตัวเองเถิด อย่าได้กลับมาอีกเลย”

 

 

 

 

 

ใบหน้าชราของกวานเฉิงซีดลงจากก่อนนี้มาก ภายในดวงตาทั้งคู่เริ่มเอ่อด้วยน้ำสีใส “ใต้เท้า ข้า……”

 

 

 

 

 

“ไปเถิด” หวินฉีโบกมือไปมา น้ำเสียงไร้เยื้อใย

 

 

 

 

 

เพียงครู่เดียวกวานเฉิงก็เกือบที่จะล้มทั้งยืน ประโยคนี้ของหวินฉีไม่ต่างอะไรไปจากได้ไล่เขาออกจากสมาคมผู้หลอมโอสถแล้ว

 

 

 

 

 

คนๆ หนึ่งที่เดิมทีเป็นพ่อบ้านที่สูงส่ง พริบตาเดียวก็ได้กลายเป็นเพียงฝุ่นดิน ไม่หลงเหลือสิ่งใด กวานเฉิงราวกับได้ชราขึ้นอีกหลายสิบปีภายในเวลาเพียงชั่วครู่

 

 

 

 

 

“เหว่ย ข้าว่าเจ้าก็อย่าได้เสแสร้งอีกเลย เมื่ออยู่ภายนอกเจ้าได้หลอกลวงผู้คนไปตั้งหลายปี เงินทองสกปรกที่ได้มาใช้ไปจนตายก็ใช้ไม่หมด จะแสร้งทำเป็นน่าสงสารอะไรกันอีกเล่า?” หลงเฉินกล่าวตอกย้ำขึ้นมาอย่างไม่แยแส

 

 

 

 

 

ชายชราผู้นี้มีสถานะเป็นพ่อบ้านของสภาผู้หลอมโอสถ มีความใกล้ชิดกับเหล่าขุนนางบางส่วน หลายปีมานี้ไม่ทราบว่าได้รับประโยชน์มามากขนาดไหน เมื่อยิ่งได้มองไปที่ใบหน้าของเขาในตอนนี้ก็ยิ่งทำให้หลงเฉินรู้สึกสะอิดสะเอียนมากขึ้นเท่านั้น

 

 

 

 

 

กวานเฉิงที่บัดนี้ตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธจัด แววตาทั้งคู่สาดความอาฆาตออกมาเป็นสาย แต่ก็ไม่อาจจะกล่าวคำใดออกมาได้ ได้แต่ก้มหน้าก้มตาแล้วเดินจากไป

 

 

 

 

 

เมื่อพบว่ากวานเฉิงได้จากไปแล้ว ปรมาจารย์หวินฉีที่เอาแต่ส่ายหน้าไปมา หันไปกล่าวต่อหลงเฉินว่า “เจ้าเด็กน้อย ขอบใจเจ้ามาก ไม่เช่นนั้นข้าคงกลายเป็นผู้ชราที่แสนโง่เขลา คงจะต้องถูกปิดบังเช่นนี้ต่อไป”

 

 

 

 

 

“หึหึ ตาแก่ผู้นั้นได้หลอกลวงทรัพย์สมบัติของตระกูลข้าไป ข้าจงใจที่จะแก้แค้นก็เพียงเท่านั้น ท่านเกรงใจมากเกินไปแล้ว” หลงเฉินยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยตอบกลับไป

 

 

 

 

 

ปรมาจารย์หวินฉีรู้สึกอึ้งกับวาจาเหล่านั้น แล้วจึงกล่าวต่อ “เหอะเหอะ เจ้าเป็นคนตรงไปตรงมา ทั้งยังรับมือกับคนเจ้าเล่ห์ได้ดี ไม่เลวเลย”

 

 

 

 

 

“เหอะเหอะ สติปัญญาอันน้อยนิดของข้าน้อย มีหรือที่จะนำไปเทียบกับท่านผู้อาวุโสได้ ในเมื่อไม่อาจปิดบัง สู้อย่าได้แสร้งเป็นคนดีเสียยังจะดีกว่า” หลงเฉินโบกมือไปมาพร้อมทั้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่ชอบใจ

 

 

 

 

 

ปรมาจารย์หวินฉีอดไม่ได้ที่ฉีกยิ้มขึ้นมา หลายปีมานี้ผู้คนทั้งหมดที่ได้พบเจอเขาต่างก็ให้ความเคารพยำเกรงต่อเขามาโดยตลอด แต่ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่มีคนสนทนากับเขาเช่นนี้ ช่างน่าสนใจเสียจริง

 

 

 

 

 

“เจ้าหนู เจ้ามายังสภาผู้หลอมโอสถ คงไม่ได้มาเพื่อจะร้องเรียนเรื่องนี้หรอกนะ”

 

 

 

 

 

“แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ ข้ามาเพื่อที่จะขอเข้ารับการทดสอบการเป็นผู้หลอมโอสถ” หลงเฉินกล่าวขึ้นพร้อมกับยื่นมือขวาออกมา

 

 

 

 

 

ซูม!

 

 

 

 

 

เปลวเพลิงเล็กๆ สายหนึ่งลุกขึ้นมาบนปลายนิ้ว เพื่อที่จะทำให้ปรมาจารย์เกิดภาพติดตาเอาไว้อย่างตราตรึง หลงเฉินจึงค่อยๆ ขยับนิ้วเล็กน้อย เปลวเพลิงสายน้อยก็ได้เกิดการเคลื่อนไหวดุจวานรตัวหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น โฉบไปมาระหว่างปลายนิ้วของเขา

 

 

 

 

 

“เป็นการควบคุมที่ไม่เลวเลย”

 

 

 

 

 

เมื่อเห็นเปลวเพลิงนั้น ปรมาจารย์หวินฉีก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจไม่น้อย อายุเพียงเท่านี้แต่สามารถก่อรวมเพลิงโอสถขึ้นมาได้ นับได้ว่าไม่เลวเลยทีเดียว แต่ว่าความเคลื่อนไหวภายหลังของหลงเฉินกลับยิ่งทำให้เขายิ่งรู้สึกพึงพอใจมากขึ้นไปอีก

 

 

 

 

 

การควบคุมพลังแห่งเพลิง สิ่งสำคัญก็คือผู้ใช้มีพลังแห่งจิตวิญญาณมากน้อยเพียงใด หลงเฉินไหลเวียนพลังปราณดุจดั่งมีชีวิตเช่นนี้ก็สามารถบอกได้แล้วว่าพลังแห่งจิตวิญญาณของเขาย่อมต้องเหนือล้ำกว่าคนธรรมดาทั่วไปอยู่มากทีเดียว

 

 

 

 

 

ทว่าที่เขายังไม่ทราบก็คือสิ่งที่หลงเฉินยังไม่ได้แสดงออกมา ถ้าหากเขาแสดงวิชาลับที่เก่าแก่ที่อยู่ภายในความทรงจำของเขาออกมา ไม่ทราบว่าปรมาจารย์หวินฉีจะมีความรู้สึกแตกตื่นหรือไม่

 

 

 

 

 

“ไม่เลวเลย พลังแห่งจิตวิญญาณของเจ้าแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปถึงหนึ่งส่วน เป็นดั่งต้นกล้าของการหลอมโอสถ” หวินฉีหยักหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าว

 

 

 

 

 

เมื่อได้ยินปรมาจารย์หวินฉีกล่าวเช่นนี้ หลงเฉินก็เหมือนกับได้ยกหินศิลาออกจากกลางใจ เก็บงำพลังฝีมือทั้งหมดเอาไว้ข้างในเป็นดีที่สุดแล้ว

 

 

 

 

 

“มาเถิด ข้าจะพาเจ้าไปวัดพลังเสียหน่อย” ปรมาจารย์หวินฉีเดินนำหน้าหลงเฉินไป

 

 

 

 

 

เมื่อได้มองตามแผ่นหลังของทั้งสองคนที่กำลังเดินจากไป ทุกผู้คนที่เดิมทีกำลังทำใช้พลังเพลิงโอสถในการหลอมโอสถอยู่ในห้องโถงใหญ่ต่างก็ตกอยู่ในความฉงนสงสัย

 

 

 

 

 

“ให้ตายเถิด ไม่ต้องทำการทดสอบ อีกทั้งยังเข้าไปทำการวัดพลังได้ในทันทีอย่างนั้นหรือ?”

 

 

 

 

 

“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร เขาคงจะไม่ใช่เป็นญาติคนสนิทของปรมาจารย์หวินฉีหรอกนะ”

 

 

 

 

 

“ญาติมารดาเจ้าสิ เจ้าหนูนั่น ไม่ใช่เจ้าคนไร้ประโยชน์หลงเฉินที่เลื่องชื่อแห่งจักรวรรดิหรอกหรือ?”

 

 

 

 

 

ผู้คนนับสิบที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ตอนนี้กระซิบกระซาบกันอย่างหาคำตอบไม่ได้ ปกติหากมาเข้ารับการทดสอบการเป็นผู้หลอมโอสถนั้น ตามกฎระเบียบแล้วจะต้องนำสมุนไพรมาใช้ในการสอบเองชุดหนึ่งจึงจะสามารถเข้ารับการทดสอบได้

 

 

 

 

 

แต่ทว่าหลงเฉินกลับสามารถข้ามขั้นตอนเช่นนี้ไปได้จึงได้ทำให้พวกเขารู้สึกว่าไม่ยุติธรรม แต่ว่าก็ไม่อาจทำอะไรได้

 

 

 

 

 

สถานที่แห่งนี้คือสภาผู้หลอมโอสถอันสูงส่ง ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล้าที่จะแม้แต่ผายลมออกมา ทำได้แค่เพียงเก็บความไม่พอใจเอาไว้ให้อยู่ในก้นบึ้งของหัวใจเท่านั้น

 

 

 

 

 

ภายในชั้นใต้ดินของสภาผู้หลอมโอสถแห่งหนึ่ง ปรมาจารย์หวินฉีชี้ไปยังบ่อน้ำใสที่อยู่ทางด้านหน้าแล้วกล่าว “เจ้าจงกระตุ้นเพลิงออกมา”

 

 

 

 

 

หลงเฉินพยักหน้ารับ แล้วก็ยื่นมือออกไปข้างหนึ่ง เปลวเพลิงถูกก่อรวมขึ้นทีละน้อย เขาค่อยๆ จุ่มมันลงไปบนผิวน้ำใส

 

 

 

 

 

ผิวด้านบนในบ่อน้ำใสปรากฏรอยย่นเป็นคลื่นต่อเนื่อง ปรมาจารย์หวินฉีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบ “เพลิงโอสถขั้นอนุระดับต่ำ ก็ยังถือว่ามีคุณสมบัติที่จะผ่านไปได้อยู่”

 

 

 

 

 

เพลิงโอสถแบ่งออกเป็นขั้นสวรรค์ พิภพ มหัศจรรย์ และอนุอีกสี่ขั้น แต่ละขั้นจะแบ่งออกเป็นสามระดับคือ สูง กลาง ต่ำ เพลิงโอสถของหลงเฉินเป็นสิ่งที่ก่อรวมขึ้นมาได้ด้วยตนเอง ทั้งยังไม่ได้มาจากสัตว์เพลิง หรือจากเพลิงแห่งฟ้าดิน หากอยู่เพียงขั้นอนุระดับต่ำก็ถือว่าน่าพึงพอใจเป็นอย่างยิ่งแล้ว

 

 

 

 

 

จากนั้นเขาพาหลงเฉินมายังด้านหน้าของสระน้ำสายหนึ่ง สระน้ำมีความลึกเพียงแค่ครึ่งเชียะเท่านั้น ที่ใต้สระเต็มไปด้วยไข่มุกสีสันสดใสอยู่หลายร้อยเม็ด

 

 

 

 

 

“ไหลเวียนพลังแห่งจิตวิญญาณของเจ้า ดูว่าเจ้าจะสามารถทำให้ไข่มุกลอยขึ้นมาอยู่บนผิวน้ำได้หรือไม่”

 

 

 

 

 

สระน้ำที่กำลังเห็นอยู่เบื้องหน้าตอนนี้หาใช่สระน้ำที่แท้จริงไม่ ภายในนั้นมีของเหลวที่เรียกว่าวิญญาณวารีเงินที่แท้จริงสถิตอยู่ หลงเฉินได้ก้าวเข้าไปใกล้สระ แตะไปบนผิวน้ำอย่างระมัดระวัง เพียงครู่เดียวเท่านั้นสายธารนั้นได้กระตุ้นพลังแห่งจิตวิญญาณของเขาให้ถูกปล่อยออกมานับสิบเท่า

 

 

 

 

 

วินาทีนั้นหลงเฉินก็เบาใจขึ้นมาได้ไม่น้อย พลังแห่งจิตวิญญาณของเขาในตอนนี้และขณะนี้ยังไม่ถึงขั้นที่จะเคลื่อนย้ายสิ่งของได้ ดูเหมือนว่าตนเองจะวิตกมากจนเกินไปแล้ว

 

 

 

 

 

เมื่อได้ไหลเวียนพลังแห่งจิตวิญญาณอยู่ครู่หนึ่งก็เริ่มมีไข่มุกลอยขึ้นมาราวถูกเรียกร้องจากพลังแห่งจิตวิญญาณของเขาจนปรากฏเงาขึ้นมาบนผิวน้ำอย่างช้าๆ

 

 

 

 

 

ทว่าทันใดนั้นหลงเฉินหันกลับไปมองปรมาจารย์หวินฉี กลับพบสีหน้าตื่นตกใจ สายตาจ้องไปที่ไข่มุกเหล่านั้น

 

 

 

 

 

แย่แล้ว เผยพิรุธแล้ว

 

 

 

 

 

หลงเฉินเกิดอาการร้อนรนจนปลดปล่อยพลังแห่งจิตวิญญาณของตนเองมากไป บัดนี้ใบหน้าของเขาซีดลงคล้ายกับคนที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์คับขันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าได้ใช้พลังแห่งจิตวิญญาณออกไปแก่ผู้คนจนหมดสิ้น

 

 

 

 

 

“ท่านปรมาจารย์……ข้าผ่านแล้วหรือไม่?” หลงเฉินถามขึ้นพร้อมกับหอบหายใจ

 

 

 

 

 

“ขั้นมหัศจรรย์ ถึงกับเป็นขั้นมหัศจรรย์” ราวกับว่ามองไม่เห็นถึงท่าทางการแสดงออกที่เสแสร้งของหลงเฉิน หวินฉีเปล่งวาจาอย่างติดขัด

 

 

 

 

 

หลังจากเวลาผ่านไปอยู่นาน ปรมาจารย์หวินฉีเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าหลงเฉินได้ล้มลงไปนอนแผ่อยู่กับพื้นแล้ว ต้องบอกว่าทักษะในการแสดงของหลงเฉินอยู่ในระดับจักรพรรดิแล้ว

 

 

 

 

 

ไม่เพียงแค่สีหน้าที่ขาวซีดราวกับกระดาษ แม้แต่ดวงตาทั้งคู่ยังดูเลื่อนลอยอย่างสมจริง เขาดูเหมือนกับอยู่ในสภาพที่ไร้ซึ่งสติไปเสียแล้ว

 

 

 

 

 

“ยอดมาก พลังแห่งจิตวิญญาณของเจ้าแข็งแกร่งยิ่งนัก หายากจริงๆ ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม ได้พบกับต้นกล้าอ่อนที่ดีเยี่ยมแล้ว” หวินฉียิ้มร่า แววตาเปล่งประกาย

 

 

 

 

 

หลงเฉินเมื่อได้ยินก็อดดีใจขึ้นมาไม่ได้ “ปรมาจารย์หวินฉี ข้าน้อยต้องการที่จะร่ำเรียนการหลอมโอสถอย่างหาที่สุดไม่ได้ ไม่ทราบว่าพอจะให้ข้าได้เป็นศิษย์ในความดูแลของท่านได้หรือไม่”

 

 

 

 

 

หวินฉีก้มหน้าแล้วส่ายหน้าไปมา “ข้านั้นไม่กล้าที่จะรับเจ้าเป็นศิษย์ได้ในตอนนี้หรอก เจ้ากลับไปฝึกยุทธ์เถิด ข้าจะให้โอกาสแก่เจ้าในภายภาคหน้า โอกาสที่จะสามารถก้าวขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของวิถีโอสถ”

 

 

 

 

 

เมื่อเห็นว่าปรมาจารย์หวินฉีปฏิเสธ หลงเฉินทำได้เพียงหัวเราะเยาะเย้ยให้กับโชคร้ายนี้แล้วกล่าวว่า “ข้าเพียงแค่ต้องการเป็นศิษย์ในความดูแลของท่านก็เท่านั้น หากข้าออกไปก็จะได้ไม่มีผู้ใดกล้ามารังแกข้าอีกแล้ว”

 

 

 

 

 

หวินฉีเมื่อได้ฟังเช่นนั้นกลับหัวเราะพรวดออกมาเสียงดัง นิสัยที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ของหลงเฉินทำให้เขากลั้นมันเอาไว้ไม่อยู่

 

 

 

 

 

หลายปีมานี้ยังไม่เคยได้พบเจอเด็กหนุ่มที่น่าสนใจได้ถึงเพียงนี้มาก่อนเลย ทว่าด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณที่เหนือกว่าผู้คนทั้งหลายของหลงเฉินนั้นทำให้เขาให้ความสำคัญต่อหลงเฉินมากกว่าที่เคยเช่นกัน

 

 

 

 

 

“วางใจเถิด อีกสักครู่ข้าจะให้ป้ายประจำตัวของโอสถสามัญให้แก่เจ้า ผู้ใดยังจะหาญกล้ามารังแกเจ้าอีกอย่างนั้นหรือ?” หวินฉียิ้มกว้างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

 

 

 

 

หลงเฉินก็ยิ้มกว้างรับกลับไปเช่นกัน คนโดยทั่วไปหากคิดที่จะเข้าร่วมกับสภาผู้หลอมโอสถนั้นจะต้องผ่านการทดสอบเพื่อวัดคุณสมบัติผู้หลอมโอสถก่อน หลังจากที่สอบผ่านแล้วยังต้องใช้เวลาอีกหนึ่งปีจึงจะได้รับสถานภาพเป็นโอสถสามัญ

 

 

 

 

 

บัดนี้หลงเฉินได้เป็นผู้หลอมโอสถที่ยังเป็นเพียงระดับแรกเข้าเท่านั้น แต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนเกิดอาการอิจฉาตาร้อนได้แล้ว และในส่วนโอสถสามัญยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง นั่นถือว่าเป็นผู้ฝึกหลอมโอสถที่แท้จริง

 

 

 

 

 

“ด้วยแห่งพลังจิตวิญญาณและเพลิงโอสถของเจ้าในตอนนี้ การจะหลอมโอสถอาจถือว่าลำบากอยู่บ้าง แต่ว่าไม่เกินหนึ่งปีจะต้องหลอมโอสถได้อย่างแน่นอน ข้าเพียงแต่ขอมอบให้ก่อนก็เท่านั้นเอง อย่างไรเสียก็ไม่ถือว่าผิดกฎ” หวินฉีกล่าว

 

 

 

 

 

ภายในจิตใจของหลงเฉินเกิดความตื้นตันขึ้นมามากมายจนแทบจะล้นทะลักออกมา ถึงแม้วิชาการหลอมโอสถของหลงเฉินจะไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา แต่ว่าก็ไม่อาจที่จะปฏิเสธได้ว่าปรมาจารย์หวินฉีเป็นชายผู้ชราที่ควรค่าแก่การให้ความเคารพอย่างแท้จริง

 

 

 

 

 

ปรมาจารย์หวินฉีมอบป้ายประจำตัวโอสถสามัญให้แก่หลงเฉินด้วยตนเอง ทั้งยังได้มอบเตาหลอมและอาภรณ์โอสถได้ชุดหนึ่ง อาภรณ์โอสถนั้นถือได้ว่าเป็นวัสดุที่ใช้ต้นทุนสูงอย่างยิ่งในการสร้างขึ้นมา ในตำแหน่งของหน้าอกสลักเอาไว้ด้วยแผนผังวิถีดาราโอสถอยู่ นี่ถือได้ว่าเป็นตราสัญลักษณ์ของโอสถสามัญ

 

 

 

 

 

เตาหลอมโอสถได้ถูกสร้างขึ้นมาจากทองสําริดและทองคำ สร้างขึ้นมาอย่างประณีตบรรจง รูปทรงที่พอดิบพอดี เมื่อเทียบกับที่หลงเฉินซื้อมาก่อนหน้านี้ไม่อาจคาดเดาได้ว่าราคาจะสูงล้ำกว่าไม่รู้กี่เท่า

 

 

 

 

 

นอกจากของทั้งสองสิ่งแล้ว ที่ทำให้หลงเฉินยิ่งตื้นตันก็คือปรมาจารย์หวินฉีได้มอบแหวนมิติให้แก่เขาวงหนึ่ง

 

 

 

 

 

แหวนวงนี้เป็นสิ่งที่มีความประหลาดพิสดารยิ่ง ขอเพียงถ่ายเทพลังแห่งจิตวิญญาณเข้าไปก็จะสามารถเบิกมิติช่องว่างภายในออกมาได้ ทั้งยังสามารถใช้จัดเก็บวัตถุสิ่งของต่างๆ ภายในนั้นได้

 

 

 

 

 

ของสิ่งนี้มีราคาอย่างน้อยๆ ก็หลายสิบหมื่นตำลึงทองแล้ว ก่อนหน้านี้หลงเฉินไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้รับ เมื่อถ่ายเทพลังแห่งจิตวิญญาณเข้าไปก็ได้พบเห็นสิ่งของมากมายที่อยู่ภายในช่องว่างนั้นจนทำให้หลงเฉินไม่อาจกลั้นความรู้สึกตื่นเต้นนี้ได้

 

 

 

 

 

ปรมาจารย์หวินฉีบอกต่อหลงเฉินว่าเมื่อแสดงแผ่นประจำตัว หลงเฉินจะสามารถซื้อสมุนไพรจากสภาผู้หลอมโอสถได้ในราคาส่วนลดถึงครึ่งหนึ่งทุกอย่าง อีกทั้งยังสามารถเข้าไปศึกษาการหลอมโอสถของเหล่าผู้อาวุโสได้โดยไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด

 

 

 

 

 

หลงเฉินปลาบปลื้มใจว่าตนนั้นจากที่เป็นไก่เดินดินก็ได้กลายเป็นดั่งหงส์สาภายในเวลาเพียงไม่นาน ทั้งยังหาซื้อสมุนไพรสำหรับโอสถกักวายุได้เป็นจำนวนมากจากสภาผู้หลอมโอสถ รวมไปจนถึงสมุนไพรอื่นๆ ด้วย

 

 

 

 

 

หลังจากที่หลงเฉินได้เดินทางออกจากสภาผู้หลอมโอสถก็รู้สึกว่าตนเองตอนที่เข้าไปกับตอนที่ออกมานั้นช่างแตกต่างกันเสียจริง เหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคนอย่างไรอย่างนั้น ในช่วงเวลาที่เข้าไปเหมือนไร้ค่าแม้สักสลึงก็ไม่อาจเทียบ แต่ทว่าหลังจากที่ออกมากลับมีค่านับร้อยหมื่นขึ้นมา อีกทั้งยังมีป้ายประจำตัวที่สามารถเชิดหน้าชูตาได้อีกด้วย

 

 

 

 

 

หลงเฉินได้รับประโยชน์เป็นอย่างมากในการมาสภาครั้งนี้ เมื่อเดินทางมาจนถึงประตูหน้าบ้าน ก็ได้พบกับเป่าเอ๋อที่ยืนคอยอยู่ เขาถูกพาเข้ามายังห้องของฮูหยินทันที

 

 

 

 

 

เมื่อประตูห้องเปิดออก หลงเฉินก็ตกใจราวกับหัวใจจะหลุดกระเด็นกระดอนออกมาจากอก

 

 

.

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset