เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 117 เลือกสำนัก

“อะไรกัน?”

คำพูดของถู่ฟางทำให้ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นแตกตื่นตกใจขึ้นมายกใหญ่ แม้แต่หลงเฉินเองก็ยังไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำพูดเช่นนี้

เขากล่าวออกมาอย่างหนักแน่นและไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย จากนั้นก็ส่งยิ้มที่ให้ความรู้สึกว่าจะต้องเป็นยอดฝีมือแห่งยุคอย่างแน่นอน

เฒ่าชราผู้นี้ช่างมีความตรงไปตรงมาเป็นอย่างยิ่ง ทว่าเขากลับเอาแต่นิ่งเฉยและไม่ส่งเสียงอันใดออกมาทั้งที่ทุกคนต่างก็พยายามชักจูงให้หลงเฉินเข้าร่วมสำนักของพวกเขา

การกระทำเช่นนี้ได้สร้างความประหลาดใจให้กับหลงเฉิน ฉะนั้นเขาจึงใคร่รู้ว่าสำนักของเฒ่าชราถู่ฟางเป็นอย่างไรจึงตัดสินใจเอ่ยถามออกไป

“ตาเฒ่าถู พวกเราทราบดีว่าสำนักของเจ้านั้นพิเศษกว่าหลายขั้น ทว่าด้วยพรสวรรค์ระดับนี้ของหลงเฉินแล้ว……” ทันใดนั้นเฒ่าชราผู้หนึ่งก็ได้พยายามจะอธิบายบางอย่างออกมา ทว่ากลับถูกขัดจังหวะเสียได้

ถู่ฟางมองไปที่หลงเฉินก่อนที่จะกล่าวแทรกออกไปว่า “ด้วยพลังการต่อสู้ของหลงเฉินก็ยังพอที่จะอยู่ตึกข้างของสำนักพลิกสวรรค์ได้อยู่หรอก ทว่าเขากลับไม่มีรากปราณอยู่ นั่นก็เสมือนกับได้ตายไปแล้ว ฉะนั้นสำนักของข้าย่อมไม่อาจดูแลเอาใจใส่ให้แกร่งกล้าขึ้นได้หรอก ปล่อยให้เขาไปอยู่ในสำนักของพวกเจ้าคงจะดีเสียกว่า”

“เป็นไปได้อย่างไรกัน?” เฒ่าชราทั้งหมดตื่นตกใจขึ้นมายกใหญ่ ไม่มีรากปราณแล้วจะฝึกยุทธ์ได้อย่างไรกัน?

“เจ้าหนู ข้าต้องเสียมารยาทเสียหน่อย”

ทันทีที่กล่าวจบ เฒ่าชราผู้หนึ่งก็ได้ยื่นฝ่ามือไปวางบนหัวไหล่ของหลงเฉินแล้วไหลเวียนพลังลมปราณของเขาเข้าไปวนเวียนอยู่ภายในร่างกายของหลงเฉินอยู่รอบหนึ่ง

หลังจากที่ผ่านลมปราณไหลเวียนครบหนึ่งรอบแล้ว เฒ่าชราผู้นั้นก็ยังไม่อาจเชื่อในการตรวจสอบได้จึงเข้าตรวจสอบอีกรอบหนึ่ง พลันก็ได้ผละมือออกจากร่างของหลงเฉินอย่างช้าๆ แล้วหันไปสบตากับผู้คนที่เหลือด้วยใบหน้าที่ส่ายหน้าไปมา

“ไม่มีรากปราณ แม้แต่รากปราณที่ไร้ประโยชน์ก็ยังไม่มี แล้วจะทะลวงพลังขึ้นไปได้อย่างไรกันเล่า!” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากกผู้คนกลุ่มนั้น

เมื่อได้ทราบว่าหลงเฉินไม่มีรากปราณ กลุ่มคนที่เคยมีท่าทีเป็นมิตรกลับแปรเปลี่ยนสายตาเย็นชาเข้ามาประดุจถูกสาดน้ำเย็นอย่างไรอย่างนั้น แล้วบริเวณแห่งนั้นก็ตกอยู่ในสภาวะเงียบสงบในทันที

เห็นได้ชัดว่าวาจาของเฒ่าชราผู้นั้นได้ตัดสินแล้วว่าพวกเขาไม่ยอมรับ ฉะนั้นไม่ต้องไปกล่าวถึงศิษย์หญิงเพียงคนเดียวที่อยู่ในกลุ่มนั้น นางย่อมตระหนักได้ดีว่าไม่จำเป็นจะต้องเลือกอีกแล้ว

หลงเฉินหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน? เมื่อครู่ยังยื้อแย่งเขา อีกทั้งยังยกยอเหมือนเขาพาเขาขึ้นไปบนสวรรค์ แล้วตอนนี้คิดจะปล่อยมือออกแล้วให้เขาตกลงมาตายอย่างนั้นหรือ?

“ท่านผู้อาวุโส ตึกข้างของสำนักพลิกสวรรค์จะต้องพบเจอกับสิ่งใดบ้างหรือ?” หลงเฉินถามออกมา ภายในห้วงความคิดของเขาไม่อาจคาดหวังที่จะได้เป็นถึงศิษย์รักแต่อย่างใด ในตอนนี้ขอแค่มีสำนักที่พอจะฝากตัวได้ก็เพียงพอแล้ว

หลังจากที่ตรึกตรองและฟังจากน้ำเสียงของผู้คนเหล่านั้นแล้ว หลงเฉินกลับคิดว่าตึกข้างของสำนักพลิกสวรรค์ต้องมีอันใดที่น่าประหลาดอยู่อย่างแน่นอน เขาจึงรู้สึกว่าการได้เข้าสู่ตึกข้างของสำนักพลิกสวรรค์อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว

“ใช่แล้ว ผู้น้อยเป็นผู้หลอมโอสถผู้หนึ่งด้วย” ทันใดนั้นเองหลงเฉินก็กล่าวขึ้นมาเพื่อเพิ่มจุดขายของตัวเองเข้าไปอีกอย่างหนึ่ง

เมื่อได้ยินหลงเฉินกล่าวขึ้นมาเช่นนั้น ผู้คนทั้งหลายก็สาดประกายเจิดจ้าออกมาจากดวงตาแล้วเค้นเสียงอันอ่อนหวานขึ้นมาอีกครั้ง “ถ้าหากเข้าร่วมสำนักของพวกเรา ข้าจะให้เจ้าเป็นศิษย์สายใน”

เมื่อเฒ่าชราผู้นั้นเอ่ยปากขึ้นมา ผู้คนอื่นจึงไม่คิดจะกล่าวอันใดออกมาอีก เนื่องจากศิษย์สายในนั้นถือเป็นสถานะที่สูงส่งเป็นอย่างยิ่งแล้ว

ในทุกๆ ปีทางสำนักมักจะแจกจ่ายทรัพยากรให้แก่ศิษย์เป็นจำนวนมาก ทว่าการที่จะให้ทรัพยากรแก่ศิษย์ที่ไม่มีแม้แต่รากปราณนั้นถือว่าเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช้เหตุ ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้หลอมโอสถด้วยก็ยังไม่คุ้มค่า

ถึงแม้ว่าสถานะของผู้หลอมโอสถจะจัดอยู่ในระดับสูง ทว่าการใช้เงินทองไปจ้างวานปรมาจารย์หลอมโอสถหรือซื้อหาโอสถมาเลยย่อมดีกว่าการแลกกับตำแหน่งศิษย์สายด้วยผู้หลอมโอสถผู้หนึ่ง

ในเมื่อพวกเขาต่างก็เป็นคนจากสำนักที่ไม่ใช่สำนักเล็กสำนักน้อย การที่ได้เอ่ยวาจาออกไปย่อมไม่อาจกลืนน้ำลายตัวเองได้ ฉะนั้นคนที่เหลือจึงไม่ได้เอ่ยวาจาอันใดออกไปอีก

“ขอบคุณในความหวังดีของท่าน ทว่าผู้น้อยต้องการจะเข้าตึกข้างของสำนักพลิกสวรรค์ เช่นนั้นต้องขออภัยท่านด้วย” หลงเฉินตอบกลับไปอย่างมีมารยาท

คนผู้นั้นพยักหน้าไปมาอย่างเข้าใจได้ ถึงแม้ว่าจะถูกหลงเฉินปฏิเสธ ทว่าวาจาเอื้อนเอ่ยของหลงเฉินกลับสร้างความสบายใจ ไม่ได้เสียดสีการกระทำของพวกเขาอย่างที่ควรจะเป็น

เมื่อพบว่าหลงเฉินได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ถู่ฟางจึงได้แต่ถอนหายใจแล้วกล่าวออกมาว่า “ตึกข้างของสำนักพลิกสวรรค์จะเปิดรับศิษย์ใหม่ในรอบสามปี ถ้าหากเจ้าต้องการจะเข้าร่วมจริงๆ ข้าก็จะให้บัตรเทียบเชิญหนึ่งใบ”

หลงเฉินดีใจขึ้นมายกใหญ่ ขอเพียงสามารถเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักได้ก็เพียงพอแล้ว เขาเชื่อว่าด้วยความสามารถของเขาจะต้องสามารถเข้าไปได้อย่างแน่นอน หากเป็นสำนักที่ใหญ่โตแล้วความลึกล้ำและความเข้มงวดกวดขันย่อมมีมากขึ้นไปด้วย นี่จึงเป็นสิ่งสิ่งที่เขาปรารถนามากที่สุด

“ท่านผู้อาวุโส ข้าขอบัตรเทียบเชิญสามใบได้หรือไม่ เนื่องจากพวกเรานั้นมีด้วยกันสามคน” หลงเฉินกล่าวออกมาด้วยความลำบากใจ

“สหายของเจ้าผู้นี้ไม่จำเป็นจะต้องใช้บัตรเทียบเชิญ เขาสามารถเข้าเป็นศิษย์สายในได้ในทันที อีกทั้งยังสามารถเป็นศิษย์รักได้อีกด้วย” ถู่ฟางกล่าวขึ้นมาพร้อมทั้งมองไปที่อาหมาน

หลงเฉินเบิกดวงตากลมโตขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อหูของตัวเอง อาหมานเอาแต่มองมาที่หลงเฉินอย่างโง่งมเพราะเขาไม่เข้าใจถึงสิ่งที่ผู้คนเหล่านี้กำลังสนทนากัน

ไม่เพียงแต่หลงเฉินเท่านั้น แม้แต่เฒ่าชราคนอื่นต่างก็แตกตื่นขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง เพราะพวกเขาทราบดีว่าเพียงแค่เป็นตึกข้างของสำนักพลิกสวรรค์ก็มีการคัดเลือกศิษย์ที่เข้มงวดเป็นอย่างยิ่งแล้ว ทว่าเด็กร่างยักษ์ผู้นี้กลับก้าวกระโดไปเป็นศิษย์รักได้ ช่างน่าประหลาดใจอย่างถึงที่สุด

“ร่างกายของเขาพิเศษมาก อีกทั้งยังคล้ายคลึงกับท่านผู้อาวุโสอีกท่านหนึ่งของสำนัก หากผู้อาวุโสท่านนั้นได้พบเห็นเด็กหนุ่มผู้นี้แล้วจะต้องชื่นชอบอย่างแน่นอน” ถู่ฟางกล่าวออกมา

“ส่วนของอีกคนนั้น……”

“ส่วนเสี่ยวเม่ยเม่ย (น้องสาวตัวน้อย) มาอยู่ที่ตำหนักป่าสวรรค์ของพวกเราเถิด” ทันใดนั้นหญิงวัยกลางคนที่มีใบหน้างดงามก็ได้หยิบยืมโอกาสนี้พูดเชื้อเชิญขึ้นมา

แล้วหญิงวัยกลางก็เดินเข้ามายืนอยู่ข้างกายของฉู่เหยาแล้วยิ้มให้เล็กน้อย “เสี่ยวเม่ยเม่ยเข้าร่วมกับตำหนักป่าสวรรค์ของข้าเถิด ด้วยพรสวรรค์ของเจ้ามีเพียงตำหนักป่าสวรรค์ที่จะเลี้ยงดูเจ้าได้ดีที่สุด”

ฉู่เหยางเกิดความลำบากใจขึ้นมาไม่น้อย พลันก็ได้กวาดสายตาไปที่หลงเฉินอย่างขลาดเขลาพร้อมทั้งส่ายหน้าไปมา “ข้าไม่อาจแยกกับหลงเฉินได้ ฉะนั้น……”

หญิงวัยกลางคนที่มีใบหน้างดงามมองไปที่หลงเฉินอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้าไปมาด้วยเช่นกัน “การเป็นผู้ฝึกยุทธ์ย่อมต้องให้ความสำคัญกับการฝึกปรือเป็นอันดับแรก เหตุใดเจ้าต้องมาสูญเสียพรสวรรค์ไปเพียงเพราะความรักระหว่างชายหญิงกัน?

เสี่ยวเม่ยเม่ยเป็นถึงผู้ฝึกวิชาธาตุไม้ซึ่งยากจะพบพานได้ ฉะนั้นเจ้าคงจะไม่ทำให้พรสวรรค์ของนางต้องมาสูญเปล่าไปเช่นนี้หรอกนะ?”

วาจาที่หญิงวัยกลางคนที่มีใบหน้างดงามกล่าวต่อฉู่เหยานั้นช่างอบอุ่นอย่างยิ่ง ทว่าเมื่อกล่าวกับหลงเฉินกลับไม่มีความเกรงใจเลยแม้แต่น้อย

ผู้ฝึกวิชาธาตุไม้? นี่มันอะไรกัน? หลงเฉินเกิดความสงสัยถึงคำพูดของหญิงสาว ส่วนผู้คนอื่นต่างก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเท่านั้น

“เสี่ยวเม่ยเม่ย ข้ามีไม้ปราณอยู่ชิ้นหนึ่งที่สามารถดึงพลังลมปราณที่เป็นธาตุไม้ภายในตัวเจ้าออกมาได้” แล้วหญิงวัยกลางคนที่มีใบหน้างดงามก็ได้ยื่นกิ่งไม้ก้านหนึ่งไปทางฉู่เหยา จากนั้นความรู้สึกทิ่มแทงสายหนึ่งก็บังเกิดขึ้น

บนใบหน้าของฉู่เหยาเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ความเจ็บปวดบังเกิดขึ้นมาจนแทบจะไม่อาจถือกิ่งไม้ก้านนั้นเอาไว้ได้อีกแล้ว เมื่อเห็นสายตาของทุกคนกำลังจดจ้องมา ภายในจิตใจของนางก็เกิดความตื่นเต้นขึ้นมาอย่างมาก

“ไม่ต้องกลัว มีข้าอยู่ เจ้าลองดูเสียหน่อยเถิด” หลงเฉินปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

เมื่อได้ยินเช่นนั้นภายในจิตใจของฉู่เหยาก็หนักแน่นขึ้น จากนั้นดวงตาคู่งามก็ได้ปิดลงอย่างช้าๆ เพื่อให้ตัวเองผ่อนคลายลงบ้าง จากนั้นก็ได้ไหลเวียนพลังลมปราณจากจุดตันเถียนเข้าไปยังกิ่งไม้ก้านนั้น

ทันใดนั้นเองก็มีพลังอันมหาศาลไหลย้อนกลับมาเป็นจำนวนมาก นี่คงเป็นพลังลมปราณดังเดิมชนิดหนึ่งอย่างแน่นอน หลงเฉินมองไปยังใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวาดผวาของฉู่เหยา ทว่าจู่จู่กิ่งไม้ประหลาดก้านนั้นก็ปะทุพลังประหลาดขึ้นมา อีกทั้งยังงอกเงยเป็นต้นข้าวต้นหนึ่ง

ในระหว่างที่ฉู่เหยาไหลเวียนพลังเข้าไปอย่างต่อเนื่อง ต้นข้าวต้นนั้นก็ได้งอกขึ้นไปเรื่อยๆ จนมีความยาวถึงสามเซียะและเริ่มมีกลีบดอกผลิบานขึ้นมา

เมื่อหญิงวัยกลางคนที่มีใบหน้างดงามมองไปเห็นดอกไม้บานดอกนั้นแล้ว บนใบหน้าก็ได้ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาเหมือนกับสิ่งที่พูดออกไปเป็นไปตามที่นางได้คาดการณ์เอาไว้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน

ครั้งแรกที่นางพบฉู่เหยาก็ทราบได้ทันทีว่าหญิงสาวนางนี้จะต้องมีพลังฝึกยุทธ์ของพลังธาตุไม้อยู่แน่นอน ทว่าไม่ทราบว่าพลังธาตุไม้ของนางจะทรงอานุภาพมากน้อยเพียงใดก็เท่านั้น

ในตอนนี้เมื่อได้เห็นว่ามีการงอกเงยของดอกไม้อีกทั้งยังบานสะพรั่งออกมา นั่นก็หมายความว่าฉู่เหยาได้สำเร็จความต้องการขั้นต่ำในการฝึกยุทธ์วิชาธาตุไม้แล้ว ซึ่งนางก็ดีใจมากที่ได้เก็บเกี่ยวผู้ที่มีความสามารถในการฝึกพลังธาตุไม้ที่มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย หรือจากร้อยหมื่นคนก็จะพบได้เพียงแค่หนึ่งคนนั่นเอง

ในขณะหลังจากที่นางพึ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าเวลานี้อย่าว่าแต่ท่าทีของผู้อื่นจู่ๆก็ยังคงเกิดการงอกเงยขึ้นมาอีกดอกหนึ่งกระนั้นดอกไม้ดอกที่สองก็ได้บานขึ้นมา

จากนั้นดอกไม้ดอกที่สองก็ได้บานขึ้น ดวงตาของหญิงวัยกลางคนที่มีใบหน้างดงามจึงยิ่งทอประกายเจิดจ้าขึ้นมา อีกทั้งภายในจิตใจยังแตกตื่นระคนยินดีขึ้นมาอย่างท่วมท้น

แล้วการงอกเงยก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ไม่นานนักก็ได้มีดอกไม้บานขึ้นมาเป็นดอกที่สาม

“แค่กแค่ก เอาเถิด เอาเถิด มีพรสวรรค์ก็ยังดี เจ้าคงเหนื่อยแล้ว ฉะนั้นรีบกลับไปพักผ่อนเถิด” หญิงวัยกลางคนที่มีใบหน้างดงามกล่าวขึ้นมาแล้วคว้าไปที่ของข้อมือฉู่เหยา

“เจี่ยเจีย ข้ายังไม่เหนื่อย ข้ายังทำได้……”

“ข้าทราบดีว่าเจ้าทำได้ ทว่านี่เป็นครั้งแรกยังไม่จำเป็นจะต้องใช้พลังออกมามากมายจนเกินไปนัก” หญิงวัยกลางคนที่มีใบหน้างดงามกล่าวออกมาเชิงตักเตือน

“ได้เจี่ยเจีย”ฉู่เหยากล่าว

“เม่ยเม่ย เจ้าช่างงดงามยิ่งนัก ข้ามีนามว่าฮวายวี่ (花语ภาษาดอกไม้) ทว่าข้าให้เจ้าเรียกข้าว่าฮวาเจี่ย เมื่อข้ามีเม่ยเม่ยที่งดงามถึงเพียงนี้ช่างมีความสุขยิ่งนัก” ฮวายวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้วคล้ายกับเยาว์วัยลงไปมาก

“ยินดีกับผู้อาวุโสฮวาด้วยที่สำนักอันโดดเด่นของท่านได้รับศิษย์ที่ดีเช่นนี้ไป” ถู่ฟางกล่าวอย่างนอบน้อม

ถู่ฟางกับฮวายวี่มีความคุ้นเคยกันเป็นอย่างยิ่ง การที่ตำหนักป่าสวรรค์จะรับศิษย์เข้ามาหนึ่งคนถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ยากเสียยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร

ทว่าในทุกครั้งกลับเจอศิษย์ผู้หนึ่งทีคล้ายกับกำเนิดมาเพื่อตำหนักจึงกลายเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างไร้ที่เปรียบ ฉะนั้นการที่นางรับศิษย์ใหม่เข้ามาได้จึงถือเป็นความประหลาดขั้นหนึ่ง

“หึหึ น่ายินดีเช่นกัน น่ายินดีเช่นกัน” ฮวายวี่จะอยู่ในท่าทีสงบมาโดยตลอดกลับตื่นเต้นอย่างลิงโลดขึ้นอย่างไม่อาจข่มเอาไว้ได้อีกแล้ว

“เจี่ยเจี่ย ข้าไม่อยากแยกจากหลงเฉิน” ฉู่เหยามองไปที่หลงเฉินด้วยสีหน้าลำบากใจอย่างถึงที่สุด

“เม่ยเม่ยที่โง่เขลา ตำหนักป่าสวรรค์กับตึกข้างของสำนักพลิกสวรรค์นั้นเป็นเสมือนกับเพื่อนบ้านรั้วเดียวกัน ทั้งสองแห่งอยู่ห่างกันเพียงแค่ภูเขาลูกหนึ่ง กล่าวง่ายๆ ก็คือห่างเพียงแค่เอื้อมมือเดียวเท่านั้น ฉะนั้นพวกเจ้าจะไปพบหน้ากันย่อมได้ทุกเมื่อ” ฮวายวี่ยิ้มแล้วกล่าวด้วยซุ่มเสียงอันแผ่วเบา

“จริงหรือ?” ฉู่เหยาถามออกไปด้วยความปลื้มปิติ

“แน่นอนว่าเป็นความจริง มีหรือที่ข้าจะหลอกเจ้า? หากไม่เชื่อ เจ้าก็ลองถามพวกเขาดู พวกเจ้าบอกมาตามตรงว่าจริงหรือไม่?” ฮวายวี่กวาดสายตาไปยังเฒ่าชราทั้งหลายคล้ายกับผลักความรับผิดชอบไปให้พวกเขา

“ข้าเป็นพยานให้ได้ สำนักทั้งสองอยู่ห่างกันเพียงแค่ภูเขาลูกเดียวเท่านั้น” เฒ่าชราผู้หนึ่งกล่าวขึ้นมา

“แน่นอนว่ามีระยะห่างเพียงแค่เอื้อมมือเดียวเท่านั้น” แล้วก็มีเสียงหนึ่งช่วยสมทบขึ้นมา

ทว่าหลงเฉินกลับสัมผัสได้ถึงความประหลาดชนิดหนึ่งน้ำเสียงเหล่านั้นจึงคิดจะเอ่ยบางอย่างออกมา ทว่าหญิงวัยกลางคนที่มีใบหน้างดงามก็ได้ประชับเข้ามาข้างกายของเขาอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งส่งรอยยิ้มมาให้

“หลงเฉิน ถ้าหากเจ้าอยากให้เม่ยเม่ยได้ดีก็ควรจะให้นางเข้าร่วมกับตำหนักป่าสวรรค์ของพวกเรา แล้วหากว่าในภายหลังเจ้าแกร่งกล้าขึ้นมา อย่างไรเสียนางก็หนีไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว”

“ท่านผู้อาวุโส……ข้า” หลงเฉินตกใจขึ้นมายกใหญ่เมื่อฮวายวี่ยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้จนทำให้เขาขนลุกชันขึ้นมาเป็นสาย

“เรียกผู้อาวุโสตามผู้อื่นได้อย่างไรกัน เรียกข้าว่าเจี่ยเจียสิ เหตุใดเจ้าต้องมาเรียกขานข้าให้ดูแก่เฒ่าเฉกเช่นคนอื่นกัน นี่เหมือนกับว่าเจ้าไม่ยินดีในเรื่องเช่นนี้อย่างนั้นหรือ”

เมื่อฮวายวี่กล่าวจบ ก็ได้ลดน้ำเสียงลงเพื่อให้ได้ยินกันแค่สองคนเท่านั้น “เจ้าหนู หากว่าเจ้าไม่ยินยอม ข้าคิดว่าพวกเราต้องได้เห็นดีกันแน่”

หลงเฉินทอสีหน้าประหลาดใจแล้วจ้องมองไปที่ใบหน้าอันงดงามของหญิงวัยกลางคนที่มีใบหน้างดงาม นางช่างเป็นยอดฝีมือทางวาจาอย่างแท้จริง สามารถคุกคามผู้คนได้เก่งและคล่องแคล่วจนไม่อาจตอบโต้ได้

“หลงเฉิน หากฉู่เหยาไม่ได้ฝึกยุทธ์ที่ตำหนักป่าสวรรค์ก็ถือว่าได้สูญเสียสิ่งที่สวรรค์มอบให้อย่างแท้จริงแล้ว” ในที่สุดถู่ฟางก็กล่าวออกมาหลังจากที่เงียบมาโดยตลอด

“หากเป็นเช่นนั้นก็ตามอย่างที่ท่านผู้อาวุโสกล่าว เพียงแค่ภูเขาลูกเดียวจะไปพบหน้ากันช่างง่ายดายนัก” หลงเฉินยิ้มแล้วกล่าวออกมา

ฮวายวี่ส่งยิ้มให้หลงเฉินยิ้มแล้วกล่าวว่า “เสี่ยวตี่ตี่ เจ้าช่างร้ายกาจนัก นี่เป็นกลยุทธ์ของบุรุษอย่างแท้จริง”

หลงเฉินกล่าวอันใดไม่ออก การเป็นผู้ที่มีพลังฝึกยุทธ์อันสูงส่งเช่นนี้จำเป็นจะต้องมีหัวสมองที่บรรจุปัญหามากมายด้วยหรือ หรือการเป็นผู้ที่มีพลังฝึกยุทธ์อันสูงส่งจะมองผู้คนเป็นเสมือนกับผักปลาอย่างนั้นหรือ?

ท้ายที่สุดหลงเฉินกับอาหมานก็ได้ตัดสินใจจะเข้าร่วมตึกข้างของสำนักพลิกสวรรค์ ส่วนฉู่เหยาก็เข้าร่วมกับตำหนักป่าสวรรค์ หลังจากที่จัดการเรื่องราวของเหมืองศิลาปราณจนเสร็จสิ้นแล้วก็จะออกเดินทางในทันที

และก่อนที่หลงเฉินจะฉู่เหยาและอาหมานจากไป ฮวายวี่ก็ได้ขบเคี้ยวเขี้ยวฟันกล่าวตักเตือนว่า

“เจ้าหนู จงอย่าได้ทำให้ความบริสุทธิ์ของฉู่เหยาหายไป หากว่าเจ้ากล้ากระทำเรื่องวุ่นวายเช่นนั้น ข้าจะตัดสิ่งนั้นของเจ้าแล้วโยนให้สุนัขกิน”

“……”

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset