เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 12 เป้าหมายใหม่

ณ ยอดเขาสูงเสียดฟ้า ดวงตะวันแย้มแสงแดดแรงของเช้าวันใหม่ ม่งฉีจ้องมองไปยังม้วนกระดาษแผ่นหนึ่งที่หลงเฉินยื่นส่งให้ ภายในแววตาอันงดงามนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะพรรณนา นางยื่นมือออกไปแต่ก็ไม่ได้รับกระดาษม้วนนั้นกลับคืนมา

 

 

 

 

 

หลงเฉินยิ้มเล็กน้อยแล้วฉุดแขนของม่งฉีไว้เมื่อเห็นว่านางจะไม่รับมันไป เขาวางหนังสือหมั้นหมายม้วนนั้นไว้บนฝ่ามือของนาง

 

 

 

 

 

เมื่อมือทั้งสองได้สัมผัสกัน ความรู้สึกมากมายพรั่งพรูขึ้นมากว่าครั้งก่อนที่พบกัน หลงเฉินรู้สึกเหมือนดวงใจจะแหลกสลายไปสิ้น ไม่ง่ายเลยที่จะสงบจิตสงบใจของตัวเองลงได้

 

 

 

 

 

“เอาไปเถิด ข้านับถือในน้ำใจของเจ้ายิ่งนัก แม้เรื่องราวกลับกลายมาเป็นเช่นนี้ แต่ข้าก็ไม่เคยนึกเกลียดชังเจ้าแม้แต่น้อย” หลงเฉินจ้องมองใบหน้าแสนงดงามของม่งฉี แล้วกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

 

 

 

 

 

แขนข้างหนึ่งกำลังถูกหลงเฉินจับเอาไว้ทำให้ม่งฉีเกิดความตกใจและเขินอายเป็นยิ่งนัก คิดว่าจะชักกลับแต่ร่างกายกลับไม่ยินยอมที่จะทำตามความนึกคิดเสียเลย

 

 

 

 

 

คำพูดของหลงเฉินไม่ได้ร้ายแรงต่อจิตใจของนางแต่อย่างใด แต่ดวงตาคู่งามกลับเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา และไหลรินออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ น้ำเสียงสะอึกสะอื้นกล่าวว่า “หลงเฉิน ขอโทษด้วย……”

 

 

 

 

 

จิตใจงดงามเสียเหลือเกิน นางผู้นี้เป็นหญิงสาวที่มากน้ำใจ คงจะต้องรีบตีเหล็กในขณะที่ยังร้อนเสียแล้ว

 

 

 

 

 

หลงเฉินกระหยิ่มยิ้มออกมา สีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นกว่าที่เคยเป็นคล้ายพี่ใหญ่ใจดีผู้หนึ่งอย่างไรอย่างนั้น เขายื่นมือเข้าโอบที่ใบหน้าขาวผ่องของนางแล้วปาดน้ำตาบนแก้มอย่างทะนุถนอม

 

 

 

 

 

เขาต้องใช้พลังอย่างมากเพื่อข่มจิตใจให้สงบลง ไม่เผลอหลงเข้าสู่ความหลงใหลที่มีต่อความงดงามดั่งนางเซียนบนสวรรค์ที่อยู่เบื้องหน้าในตอนนี้ เสน่ห์ของม่งฉีทำให้เขาใจเต้นระรัวจนแทบจะทะลุออกมาจากอก

 

 

 

 

 

ถ้าหากเขาไม่มีพลังแห่งจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งก็อาจถูกแรงแห่งเสน่หาดึงดูดให้จมดิ่งไปตั้งแต่แรกแล้ว หัวใจเต้นแรงดุจสายฟ้าฟาด ในช่วงเวลานี้มีแต่จะต้องเก็บอาการไม่ให้แสดงออกไปมากกว่านี้ให้ได้

 

 

 

 

 

เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้แล้วกล่าว “ม่งฉี เรื่องนี้ไม่อาจโทษเจ้าได้ ไม่ใช่ความผิดของเจ้า หากจะโทษก็ต้องโทษบิดาของข้ากับบิดาของเจ้า เป็นพวกเขาทั้งสองที่มีความผูกพันกัน เช่นนั้นก็เชิญให้พวกเขาอภิเษกสมรสกันเถิด เหตุใดต้องมาบีบบังคับพวกเรา?”

 

 

 

 

 

ม่งฉีที่กำลังสะอึกสะอื้นอยู่ เมื่อได้ยินวาจาเหลวไหลที่กล่าวออกมาอย่างไร้เดียงสาก็อดไม่ได้ที่จะหลุดขำออกมา

 

 

 

 

 

แววตาปรากฏความปลื้มปริ่มอย่างไม่รู้ตัว คล้ายบุพผาที่กำลังผลิบานหลังฤดูฝน คล้ายความงดงามของฤดูใบไม้ผลิ ความรู้สึกในตอนนี้สุขล้นจนไม่อาจหาสิ่งใดมาเทียบได้ หลงเฉินที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ก็ได้เอ่ยวาจาที่ไม่น่าให้อภัยขึ้น “ม่งฉี เจ้าช่างงดงามเหลือเกิน…”

 

 

 

 

 

เมื่อลั่นวาจาออกไปอย่างไม่อาจห้ามทัน ความรู้สึกเสียใจถาโถมเข้ามา อยากจะหายไปจากตรงนี้เสียจริง แต่ไม่อาจเปลี่ยนอะไรได้แล้ว ในเมื่อความในใจถูกเปิดเผยออกไป หลงเฉินจึงทำได้แต่ปล่อยไปเลยตามเลย

 

 

 

 

 

วาจาที่เอ่ยไปยังคงวนเวียนอยู่ในความคิด ม่งฉียืนนิ่งไม่โต้ตอบอันใด ทว่าบัดนี้ใบหน้ากลับแดงเสียยิ่งกว่าลูกตำลึง สายตาทอเป็นประกาย ท่าทางบิดม้วนด้วยความขวยเขิน ยิ่งทำให้หลงเฉินไม่อาจหยุดความหลงใหลต่อความงามนี้ได้เลย

 

 

 

 

 

แย่แล้ว ข้าต้องแย่แน่ หลงเฉินนะหลงเฉิน หากเจ้าพลาดจากสาวงามเช่นนี้ไปอีกครา เจ้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างมีความหมายได้อะไรกัน?

 

 

 

 

 

ไม่ได้แล้ว อย่าได้พลาดโอกาสดีเช่นนี้ไปอีก อย่างแรกคือต้องหน้าด้านเข้าไว้ อย่างที่สองก็คือต้องหน้าทน เกิดเป็นชายก็ต้องมีความกล้า อย่าได้เสียชาติเกิดเชียว เช่นนี้โอกาสอาจจะเป็นของเจ้า

 

 

 

 

 

หลงเฉินสูดลมหายใจเข้าลึกคำหนึ่ง คลายมือออกจากแขนของม่งฉี เหลือเพียงหนังสือหมั้นหมายที่อยู่บนฝ่ามือของม่งฉี

 

 

 

 

 

“ความเป็นจริงแล้วด้วยสถานะของเจ้าในตอนนี้ แทบไม่จำเป็นที่จะต้องมาสนใจความรู้สึกของข้าเลยด้วยซ้ำ ทำเหมือนว่าข้าไม่มีตัวตนอยู่ก็ยังได้ เพราะอย่างไรเสียเราทั้งสองก็เหมือนอยู่กันคนละโลกอยู่แล้ว

 

 

 

 

 

แต่ว่าเจ้ากลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น ข้าทราบดีว่าเจ้าอาจไม่ได้ตั้งใจที่จะให้ข้าเพ้อฝันอย่างลมๆ แล้งๆ ไม่คาดหวังที่จะให้ข้ารอคอยอย่างไร้จุดหมาย จึงได้ทำเช่นนี้เพื่อที่จะให้มันจบลงอย่างเจ็บปวดใจน้อยที่สุด

 

 

 

 

 

เจ้าที่ทำเช่นนี้ไม่ได้ผิดอะไรเลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกันมันกลับทำให้ข้ามีความรู้สึกที่ดีต่อเจ้ามากขึ้น” หลงเฉินมองไปทางม่งฉี

 

 

 

 

 

“หลงเฉิน ที่เจ้ากล่าวเช่นนี้เพื่อที่จะคลายความละอายใจของข้าในตอนนี้อย่างนั้นหรือ?” ม่งฉีมองไปยังหนังสือหมั้นหมายที่อยู่ในมือ แล้วก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

 

 

 

 

 

“ไม่ใช่ ข้าแค่กล่าวตามความจริง ตามที่ข้ารู้สึกเท่านั้นเอง และนับจากวันนี้เป็นต้นไป ข้าเองก็มีเป้าหมายบางอย่างที่อยากจะทำให้สำเร็จเพิ่มขึ้นมาอย่างหนึ่ง” หลงเฉินฉีกยิ้ม

 

 

 

 

 

“คือสิ่งใด?” ม่งฉีถาม

 

 

 

 

 

“นับจากวันนี้เป็นต้นไป ข้าจะตั้งใจฝึกยุทธ์ เมื่อข้ามีพลังฝีมือที่เพียงพอแล้ว ข้าจะไปตามหาเจ้าเพื่อที่จะไม่ให้หนังสือหมั้นหมายนี้ต้องสูญเปล่า เจ้าคงไม่รังเกียจที่ข้าจะตามจีบเจ้าใหม่หรอกนะ” หลงเฉินยิ้มกว้างมากขึ้น

 

 

 

 

 

แม้ว่าจะเป็นวาจาเหลวไหลคล้ายพูดเล่น แต่ว่าภายในดวงตาทั้งคู่กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยเชื่อมั่นเข้ากับใบหน้าที่มั่นคงของเขาเป็นอย่างยิ่ง จนไม่อาจมีผู้ใดเกิดความสงสัยในการตัดสินใจของชายผู้นี้ได้

 

 

 

 

 

ในเวลานี้ม่งฉียังคงตกอยู่ในอาการตกตะลึง นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีคนกล้าสารภาพรักต่อนางอย่างหาญกล้าเช่นนี้ อีกทั้งยังเป็นชายหนุ่มที่เพิ่งถูกนางทำร้ายจิตใจอย่างไม่สามารถจะให้อภัยได้

 

 

 

 

 

นางรู้สึกทั้งตกใจทั้งสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จนไม่ทราบว่าจะตอบกลับกลับไปเช่นไร ว่าควรจะปฏิเสธหรือตอบรับดี

 

 

 

 

 

“เจ้าไม่ต้องกดดันไป นี่กลับเป็นเพียงความปรารถนาของข้าเพียงฝ่ายเดียว หญิงสาวที่มากด้วยน้ำใจอย่างเจ้าย่อมคุ้มค่าแล้วที่ข้าจะทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อปกป้อง

 

 

 

 

 

ทว่าก่อนที่จะจีบเจ้า ข้าต้องตั้งใจฝึกยุทธ์เพื่อที่จะกลายเป็นยอดฝีมือที่แท้จริง มีคุณสมบัติมากพอที่จะปกป้องเจ้าได้

 

 

 

 

 

เพื่อที่จะมีคุณสมบัติเช่นนั้น ข้าก็จะทุ่มเทชีวิตเพื่อฝึกฝน ไม่ว่าเจ้าจะยอมรับหรือไม่ ข้าก็จะทำ” หลงเฉินกล่าวออกมาอย่างแน่วแน่ สายตาจ้องมองเข้าไปในแววตาของม่งฉี

 

 

 

 

 

บนใบหน้าม่งฉีก็ได้แดงระเรื่อขึ้นอีกครั้ง ถึงแม้นางจะมีชาติกำเนิดที่ต่ำต้อย แต่ว่าหลังจากที่ได้ปฏิญาณตนเพื่อเข้าสำนักแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็ได้เปลี่ยนแปลงไปจนหมดสิ้น

 

 

 

 

 

บัดนี้จิตใจของนางเริ่มที่จะว้าวุ่นขึ้นมาทุกที ม่งฉีไม่เคยเจอวาจาสารภาพรักจากชายใดมาก่อนจึงไม่อาจจะเอ่ยคำพูดใดใดออกมาแม้สักครึ่งคำ

 

 

 

 

 

ได้การณ์ล่ะ หลงเฉินมองไปยังปฏิกิริยาที่แสดงออกมาของม่งฉี ความปิติยินดีพลุ่งพล่านอย่างรุนแรง ม่งฉีไม่ได้มีอาการรังเกียจต่อเขาหรือปฏิเสธแต่อย่างใด นี่ถือเป็นก้าวแรกของความสำเร็จเลยก็ว่าได้ ต่อจากนี้อาจจำเป็นที่จะต้องสานสัมพันธ์ต่อไปเพื่อกระตุ้นความรู้สึกของนางให้ทวีคูณ

 

 

 

 

 

หลงเฉินเพิ่งจะตีเหล็กที่กำลังร้อนอยู่ไปไม่นาน รอบด้านกลับเกิดบรรยากาศอันน่าหวาดกลัวโอบล้อมเอาไว้ บรรยากาศเลวร้ายเป็นอย่างยิ่ง อาการสั่นเทานี้เกิดไปทั่วทั้งร่าง

 

 

 

 

 

สีหน้าของม่งฉีเปลี่ยนไปเดิมเล็กน้อย นางก้าวเดินไปทางด้านหน้าหนึ่งก้าว ขวางตัวต่อหน้าของหลงเฉิน มือเรียวยาวสีขาวดุจหยกขยับไปมาเล็กน้อย เมื่อมองไปยังสิ่งที่กำลังมาเยือนได้อย่างชัดเจนแล้วจึงค่อยๆ ชักมือของตนกลับ

 

 

 

 

 

เบื้องหน้าปรากฏเป็นผึ้งสีเหลืองขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง ขนาดสูงยาวเกือบห้าจั้ง แผ่พลังเข้าปกคลุมผิวกายของมัน รอยอักขระสีสันสวยงามแต้มอยู่ทั่วร่าง มันช่างน่ากลัวเหลือเกิน

 

 

 

 

 

หลงเฉินตกใจจนกระโดดถอยหลังไปไกล นั่นไม่ใช่แค่สัตว์มายาระดับสอง มันเป็นถึงสัตว์มายาระดับสามขั้นกลาง เป็นผึ้งโลหิตที่บ้าคลั่งเป็นอย่างยิ่ง

 

 

 

 

 

น้อยคนนักที่คิดจะไปยุ่งวุ่นวายกับมัน เพราะว่าสัตว์มายาระดับสามตัวนี้จะปล่อยเข็มอันแหลมคมที่ปลายหางของมันออกมา หากไม่ตายก็คงต้องผิวหนังไหม้ถลอกออกมาเป็นแน่

 

 

 

 

 

ชั่วครู่ต่อมาที่อาการตกใจได้ถูกจัดการ หลงเฉินจ้องมองไปยังแผ่นหลังที่งดงามของม่งฉี : ครั้งนี้เจ้าอาจจะสามารถยืนอยู่เบื้องหน้าของข้าได้ แต่ข้าจะยืนอยู่เบื้องหน้าเจ้าไปชั่วชีวิต

 

 

 

 

 

ซูม!

 

 

 

 

 

เมื่อผึ้งโลหิตคลั่งขนาดมหึมาตัวนั้นร่อนตัวลงสู่พื้นด้วยเสียงปีกดังกระหึ่ม ก็มีชายหนุ่มผู้หนึ่งกระโดดลงมาจากหลังของผึ้งโลหิตคลั่ง

 

 

 

 

 

ดูไปแล้วชายผู้นั้นน่าจะมีอายุราวยี่สิบกว่าปี มีรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้ารูปไข่ ให้ความรู้สึกสูงส่งเป็นอย่างยิ่งเสมือนผู้อาวุโสผู้หนึ่ง ทว่าหว่างคิ้วนั้นกลับขมวดเข้าหากันด้วยความขุ่นเคืองอย่างเห็นได้ชัดจนทำลายภาพลักษณ์ทั้งหมดในตัวของเขาไปจนหมด

 

 

 

 

 

ชายหนุ่มผู้นั้นที่เพิ่งปรากฏตัวมองไปที่ม่งฉี แววตาทั้งคู่เผยความหมายลึกซึ้ง มองด้วยความรักใคร่ที่ยากจะซ่อนเร้นได้

 

 

 

 

 

“ศิษย์น้อง เจ้าออกจากสำนักมานานเหลือเกิน ไม่ยินยอมที่จะกลับไป อาจารย์อดที่จะเป็นห่วงเจ้าอยู่ไม่ได้จึงให้ข้าออกมาตามหาเจ้า” ชายหนุ่มผู้นั้นกล่าวออกมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ทว่าเมื่อมองมาทางหลงเฉินกลับขมวดคิ้วขึ้นอีกครั้งแล้วกล่าว “คนผู้นี้เป็นใครกัน? คงจะไม่ใช่…?”

 

 

 

 

 

หลังจากที่กล่าวจบแววตาของชายหนุ่มผู้นั้นก็ได้เปลี่ยนเป็นความเย็นชาทันที แต่ไม่นานนักก็ได้ซ่อนมันกลับคืนไป

 

 

 

 

 

“อย่าได้กล่าวเหลวไหล ที่ข้าอยู่ในที่แห่งนี้ก็เพราะมีเรื่องคิดที่จะถามไถ่คุณชายท่านนี้เล็กน้อยเพียงเท่านั้น” ม่งฉีกล่าววาจาโป้ปดออกไปได้ไม่ดีนัก อีกทั้งแววตาคู่งามก็สั่นไหวด้วยความว้าวุ่น

 

 

 

 

 

นางหันหลังกลับมา แล้วกล่าวต่อหลงเฉินว่า “คุณชาย ข้าขอขอบคุณท่านมาก”

 

 

 

 

 

ขณะที่กล่าวออกไปเช่นนั้นนางก็จ้องมองเข้าไปที่ดวงตาของหลงเฉิน นัยน์ตาคู่นั้นอัดแน่นเอาไว้ด้วยความรู้สึกที่มากมาย และไม่ทันที่หลงเฉินจะได้ขานรับอะไรออกไปสักอย่าง ม่งฉีก็ได้ผิวปากเรียกสัตว์พาหนะของตนเองมา แล้วลอยจากไป

 

 

 

 

 

ชายหนุ่มผู้นั้นยังคงมองมาที่หลงเฉิน ส่งเสียงดังเชอะออกมาอย่างไม่แยแส จากนั้นเขาก็ชี้นิ้วตรงมายังใบหน้าของหลงเฉินแล้วใช้พลังที่คล้ายลูกศรที่โปร่งใสออกมา ปลายศรนั้นพุ่งทะยานฝ่าอากาศอย่างรวดเร็วตรงมาที่ใบหน้าของเขาทันที

 

 

 

 

 

หลงเฉินกำลังหวนคิดถึงแววตาของม่งฉีอยู่ในขณะนั้น คาดไม่ถึงว่าชายหนุ่มผู้นั้นจะถึงกับลงไม้ลงมืออย่างร้ายกาจกับเขาอย่างกะทันหัน รู้ตัวอีกทีก็ไม่จะหลบเลี่ยงได้ทันการณ์เสียแล้ว

 

 

 

 

 

พลังแห่งจิตวิญญาณนั้นได้ถูกผนึกไว้อย่างแรงกล้าไปที่ส่วนของลูกศร หากเป็นบุคคลทั่วไปที่ต้องศรดอกนี้เข้าคงจะถูกทำลายจิตวิญญาณจนแหลกสลายไปอย่างไม่ทันรู้สึกเจ็บปวดอย่างแน่นอน

 

 

 

 

 

หลงเฉินตกใจขึ้นมายกใหญ่ หลบหลีกก็ไม่ทันแล้ว เขาจึงได้รีบไหลเวียนพลังแห่งจิตวิญญาณขึ้นมาให้พอแค่ต้านทานเอาไว้ แม้ว่าพลังแห่งจิตวิญญาณของเขาจะแข็งแกร่งมากเท่าใด แต่ยังไม่ได้รับการฝึกวิชายุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังแห่งจิตวิญญาณมาก่อน โอกาสที่จะต้านทานเอาไว้ได้นั้น เรียกได้ว่าริบหรี่ยิ่งนัก

 

 

 

 

 

เคร้ง!

 

 

 

 

 

ทันใดนั้นอีกทางหนึ่งก็ปรากฏศรไร้สภาพแบบเดียวกันพุ่งเข้ารับการโจมตีจากชายหนุ่มผู้นั้นเอาไว้จนเกิดเสียงปะทะดังสนั่น หลงเฉินเองก็ได้ถูกพลังขุมนั้นพัดถอยออกไปสี่ห้าก้าว

 

 

 

 

 

“ศิษย์พี่ฉี ท่านลงมือทำร้ายคนธรรมดาผู้หนึ่งเช่นนี้ได้อย่างไร หากอาจารย์ทราบเรื่องนี้เกรงว่าคงจะไม่ดีนัก”

 

 

 

 

 

ไม่ทราบว่านับตั้งแต่เวลาใดที่สาวน้อยนางหนึ่งมาปรากฏตัวต่อหน้าชายหนุ่มทั้งสองคน ทั้งยังได้ขานเรียกชายหนุ่มผู้นั้นว่าศิษย์พี่ฉีด้วยน้ำเสียงเย็นชา

 

 

 

 

 

ชายหนุ่มผู้มีนามว่าฉีชักสีหน้าเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนั้น แต่ก็กลับมายิ้มแล้วกล่าวออกมาว่า “ศิษย์น้อง เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าเพียงแค่ต้องการทดสอบเขาดูเท่านั้น เหตุใดต้องทำร้ายเขาขึ้นมาจริงๆ กัน?”

 

 

 

 

 

หลงเฉินไม่อาจเชื่อในคำพูดของเขาได้ ด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณที่อยู่ในศรนั้นก็ยิ่งไม่อาจเชื่อว่าเขาไม่มีความคิดที่จะทำร้ายหลงเฉิน ราวกับเขามองเห็นหลงเฉินเป็นคนไร้สติปัญญา

 

 

 

 

 

แววตาของเจ้าตัวบัดซบผู้นี้ทำให้หลงเฉินเกิดบันดาลโทสะจนไม่อาจระงับไว้ได้ จนมีความคิดที่จะสังหารเขาให้พ้นสายตาเขาตอนนี้อย่างที่สุด หลงเฉินกัดฟันกรอดด้วยความเดือดดาล

 

 

 

 

 

“คุณชายท่านนี้เป็นถึงศิษย์สายในของตึกจิตวายุของพวกเรา ครอบครองพลังฝีมืออันแข็งแกร่งและสูงส่ง เจ้าต้องพยายามมากหน่อยนะ”

 

 

 

 

 

เด็กสาวผู้นั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงขึงขังและปรายตามายังหลงเฉินเมื่อรู้ว่าเขาเริ่มจะเคลื่อนไหวบางอย่าง หลงเฉินงุนงงในคำกล่าวนั้น นี่จงใจที่จะชี้แนะข้าอย่างนั้นหรือ?

 

 

 

 

 

“ศิษย์พี่ฉี พวกเราไปกันเถิด”

 

 

 

 

 

เด็กสาวผู้นั้นหันไปมองชายผู้นั้นแล้วกล่าว ออกท่าทางที่เห็นได้ชัดว่าศิษย์พี่ฉีผู้นั้นจะต้องไปพร้อมกับนางโดยเร็วที่สุดเสียจะดีกว่า

 

 

 

 

 

ศิษย์พี่ฉีมองไปที่หลงเฉินด้วยใบหน้าเย้ยหยัน พลันก็กระโดดขึ้นไปบนหลังของผึ้งโลหิตคลั่งตัวใหญ่ แล้วผู้มาเยือนทั้งสองก็ลับหายไปไกล หลงเฉินรู้สึกอยากจะระเบิดอะไรสักอย่างหนึ่ง

 

 

 

 

 

“เจ้าอาจมฉี มารดาเจ้าเถิด แค้นนี้ข้าจะขอจดจำเอาไว้ลึกสุดใจ”

 

 

 

 

 

หลังจากที่ความเดือดดาลค่อยๆ ทุเลาลง หลงเฉินที่สงบสติลงไปได้ก็ไม่กล่าวสิ่งใดออกมาอีก วันนี้ยังถือว่าได้กำไรอยู่ แม้จะถอนหมั้นไปแล้วแต่ว่าอย่างน้อยก็ยังหลงเหลือความทรงจำอันดีต่อกันอยู่บ้าง

 

 

 

 

 

ที่สำคัญที่สุดก็คือเขาทราบดีว่าม่งฉีที่จากไปจะนำเอาหนังสือหมั้นหมายม้วนนั้นไปเก็บเอาไว้เป็นอย่างดี เป็นเหมือนสิ่งสำคัญแทนใจเป็นแน่ คงจะไม่ได้ทิ้งขว้างไปในทันที นี่เป็นความหวังอันริบหรี่ของเขาที่ยังพอมีเหลืออยู่

 

 

 

 

 

แต่ว่าในเวลาเดียวกันนี้ก็สัมผัสได้ถึงอันตรายที่จะกล้ำกลายเข้ามาในชีวิต ม่งฉีเป็นถึงสตรีที่เพียบพร้อมไปเสียหมดทุกสิ่ง จะมีสักกี่คนกันที่สามารถสั่นคลอนจิตใจของนางได้? ยิ่งไปกว่านั้นข้างกายนางยังมีคนอย่างเจ้าอาจมฉีที่เป็นดั่งสุนัขหวงก้างถึงผู้หนึ่ง ช่างไม่สบอารมณ์เอาเสียเลย

 

 

 

 

 

หากว่ามีนอกเหนือจากเจ้าอาจมฉี เช่น มีศิษย์พี่อาจมหนิว (วัว) ศิษย์พี่อาจมโกว (สุนัข) อีกจะทำเช่นใด? ไม่ได้แล้ว ต้องเร่งรีบพัฒนาพลังฝึกยุทธ์อย่างจริงจังแล้ว

 

 

 

 

 

ถึงแม้ว่าขณะนี้จะได้รับการสนับสนุนจากสภาผู้หลอมโอสถ แต่ว่าสภาผู้หลอมโอสถกลับเป็นขุมกำลังที่เป็นกลาง ไม่เข้าร่วมการแก่งแย่งชิงดีกับใคร ทุกอย่างก็คงต้องพึ่งพาตนเองเป็นหลัก

 

 

 

 

 

คำพูดก่อนที่จะตายเมื่อวันก่อนของหลี่เฮ่าเหมือนกับได้ย้ำเตือนสติของหลงเฉินให้ตื่นตัวว่า มีผู้ประสงค์ร้ายคิดที่จะใช้ตนเองสองแม่ลูกเป็นหมากเดินในแผนการเพื่อที่จะเข้าถึงบิดา

 

 

 

 

 

ตั้งแต่บัดนั้นจนถึงบัดนี้บิดาบังเกิดเกล้ายังคงเอาแต่ปฏิเสธการเรียกกลับของทางราชสำนักอยู่หลายครา เกรงว่าทางบิดาเองก็คงจะทราบเรื่องมานับตั้งแต่แรกจึงได้ประวิงเวลาจนผ่านมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ เช่นนั้นการใช้หลงเฉินสองแม่ลูกเป็นหมากคงจะมีค่าลดทอนลงไปหรืออาจจะยิ่งอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ นั่นเอง

 

 

 

 

 

ในระหว่างทางกลับบ้านนั้นหลงเฉินก็ได้เก็บตัวอยู่ภายในห้อง กำชับไม่ให้ผู้ใดเข้ามารบกวนเด็ดขาด เขานำสมุนไพรที่อยู่ในแหวนมิติออกมาทีละชิ้น

 

 

 

 

 

เมื่อครั้นที่อยู่ในสภาผู้หลอมโอสถ ปรมาจารย์หวินฉีได้มอบเตาหลอมที่ผลิตจากเหล็กกล้าเตาหนึ่งให้แก่หลงเฉิน ซึ่งถือได้ว่าเป็นตัวช่วยชั้นดีในการหลอมโอสถ เตาหลอมเป็นอุปกรณ์ที่ผู้หลอมโอสถจำเป็นต้องมี

 

 

 

 

 

เตาหลอมเดิมของหลงเฉินนั้นแทบจะไม่แตกต่างอะไรจากอุปกรณ์ในหมู่ขยะ ไม่อาจที่จะเปล่งประกายพลังของผู้หลอมโอสถขึ้นมาได้อย่างถึงที่สุดจนทำให้หลงเฉินต้องสูญเสียเพลิงโอสถไปมากกว่าปกติอยู่หลายเท่าตัว

 

 

 

 

 

อีกทั้งยังได้โอสถคุณภาพที่ย่ำแย่กว่าและในช่วงเวลาที่หลอมโอสถยังไม่อาจที่จะผนึกพลังปราณฟ้าดินเอาไว้ได้จนทำให้มีสิ่งเจือปนเข้าไปภายในเตาจำนวนไม่น้อย ฉะนั้นเตาหลอมเช่นนี้ไม่อาจที่จะหลอมโอสถที่ดีออกมาได้

 

 

 

 

 

อีกทั้งในช่วงเวลาที่โอสถกำลังหลอมรวมอยู่จำเป็นที่จะต้องให้เตาช่วยควบคุมเพลิงให้อยู่ในสภาวะคงที่ สรุปได้อย่างเดียวคือเตาหลอมโอสถชิ้นเดิมของหลงเฉินจัดอยู่ในระดับที่ธรรมดาเสียยิ่งกว่าธรรมดาอีก

 

 

 

 

 

แต่ว่าจะสบถไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ เตาหลอมโอสถที่มีคุณสมบัติที่ดีเช่นเตาเหล็กกล้านี้ก็ต้องมีราคาอย่างน้อยสิบหมื่นตำลึงทอง อาจแตะไปถึงร้อยหมื่นตำลึงทองก็เป็นได้ ซึ่งหลงเฉินแทบจะไม่มีความสามารถจะซื้อหามาได้เลย

 

 

 

 

 

ปรมาจารย์หวินฉีได้มอบเตาหลอมโอสถอันทรงคุณค่าเตานี้ให้แก่หลงเฉิน ซึ่งโดยส่วนมากแล้วจะมีเพียงผู้หลอมโอสถระดับโอสถสามัญเท่านั้นที่จะมีคุณสมบัติเหมาะสมในการครอบครอง

 

 

 

 

 

เมื่อได้ครอบครองเตาหลอมโอสถนี้ หลงเฉินก็เป็นดั่งพยัคฆ์ติดปีก เขามองเข้าไปยังเตาหลอมโอสถใหม่เอี่ยมที่อยู่ตรงหน้าแล้วพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

 

 

 

 

 

“ต้องรีบหน่อยแล้ว ไม่เช่นนั้นลูกสะใภ้ของมารดาอาจจะต้องตกอยู่ในมือผู้อื่นเป็นแน่”

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset