เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 129 ความอับอาย

เสียงตะโกนแผดขึ้นมาด้วยความเกรี้ยวกราด กลุ่มคนนับสิบกรูกันเข้ามารายล้อมรอบหลงเฉินและกัวเหรินอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มที่ยืนอยู่แถวหน้าสุดชี้นิ้วมาที่หลงเฉินพร้อมกับด่าทอขึ้นมายกใหญ่

กัวเหรินตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะหันทัน พลันก็รีบผุดลุกขึ้นมา และหนูสีดำทมิฬที่อยู่เบื้องหลังของเขาก็อยู่ในท่าเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้ในทันที

หลงเฉินจ้องมองไปยังชายหนุ่มที่กำลังเดือดดาลอย่างถึงที่สุด แล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย “เจ้ายังไม่ตายหรือ ถือว่าโชคเข้าข้างเป็นอย่างมากเลยทีเดียวนะ”

ชายหนุ่มผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นไกล เขาก็คือคนที่ถูกหลงเฉินถีบตกลงไปในแม่น้ำ อีกทั้งยังถวายน้ำทิพย์สีเหลืองอร่ามตามลงไปด้วยนั่นเอง

และดูเหมือนว่าเจ้าเด็กน้อยผู้นี้จะมีพวกพ้องอยู่มากเลยทีเดียว ไม่เพียงติดตามเพื่อช่วยเหลือเท่านั้น ทว่าคงจะมาเพื่อสืบเสาะข้อมูลของหลงเฉินด้วยเช่นกัน

กลุ่มคนที่ตีวงล้อมเพื่อเข้าชมดูการต่อสู้ของหลงเฉินต่างก็จับจ้องไปที่หมาป่าหิมะแดงเพลิงที่มีเส้นขนสีขาวโพลนอันเป็นที่สะดุดตายิ่งนัก แน่นอนว่าพวกเขาคงจะเสาะหาหลงเฉินจนพบก็เพราะเสี่ยวเสว่ยนั่นเอง

“ฉางลี่ เจ้าคงไม่ได้มีเรื่องเข้าใจผิดกับพี่หลงอยู่หรอกนะ” ทันทีที่กัวเหรินจดจำชายหนุ่มผู้นี้ขึ้นมาได้จึงรีบถามออกมา

ฉางลี่มองมาที่กัวเหรินด้วยสีหน้าสับสนฉงนงงงวยเป็นอย่างยิ่ง เขาแน่ใจว่าไม่เคยรู้จักกับบุคคลผู้นี้ มาก่อน จึงถามขึ้นมาว่า “เจ้าเป็นผู้ใดกัน?”

“ฮาฮา ข้าน้อยมีนามว่ากัวเหริน ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของท่านฉางลี่มานานแล้ว……” กัวเหริน หัวเราะฮาฮาเพื่อกลบเกลื่อนก่อนที่จะกล่าวขึ้นมาอย่างตะกุกตะกัก

“เจ้าไม่ได้รู้จักข้า เช่นนั้นก็ไสหัวไปซะ ข้าต้องการจะคิดบัญชีกับเจ้าเด็กน้อยผู้นี้” ฉางลี่กล่าวตัดบทของกัวเหรินอย่างเย็นชา

หลงเฉินตบไปที่ไหล่ของกัวเหรินครั้งหนึ่ง เขาทราบดีว่าเด็กน้อยผู้นี้ต้องการจะไกล่เกลี่ยให้ ทว่าด้วยสถานการณ์เช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องที่ยากจะกระทำเป็นอย่างยิ่งเลยทีเดียว

“เจ้าถอยไปก่อน อย่าต้องให้ร่างกายมาแปดเปื้อนโลหิตเลย”

กัวเหรินรีบพยักหน้าไปมาอย่างว่าง่าย พร้อมทั้งกล่าวเตือนขึ้นมาว่า “ท่านระวังตัวด้วย คนผู้นี้แข็งแกร่งยิ่งนัก และที่สำคัญที่สุดก็คือเขาเป็นพวกพ้องของชีซิ่งด้วย”

หลังจากที่กัวเหรินกล่าววาจาตักเตือนแล้วก็ได้พาสัตว์มายาของตนออกไปรออยู่ที่บริเวณที่ห่างไกลออกไป เขาเองก็ประหลาดใจอยู่ไม่น้อยเลย หลงเฉินผู้นี้ไม่ใช่คนที่จะตามหาเรื่องผู้คน ทว่าเหตุใดจึงได้มีมีเรื่องบาดหมางกับคนผู้นั้นได้

อีกทั้งบรรยากาศบนร่างกายของหลงเฉินกลับเปี่ยมไปด้วยความประหลาดชนิดหนึ่ง หลงเฉินผู้นี้สงบนิ่งจนเกินไป สงบนิ่งจนคนรอบข้างต้องเกิดอาการหวาดผวา

แล้วหลงเฉินผู้นี้มีการคงแบบใดกันถึงได้ทำให้ผู้อาวุโสฝ่ายพฤติกรรมอย่างถู่ฟางมอบบัตรเทียบเชิญที่เป็นเสมือนสมบัติอันล้ำค่าให้แก่เขา เช่นนั้นเขาจึงอยากดูให้ประจักษ์แก่สายตาว่าหลงเฉินจะแข็งแกร่งมากเพียงใดกัน

“เจ้าหนู ตอนที่ทำให้ข้าอับอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี เจ้าได้คิดถึงผลลัพธ์ที่ตามมาบ้างหรือไม่” ฉางลี่กัดฟันกรอดแล้วเค้นเสียงทุ้มต่ำผ่านไรฟันออกมา

ส่วนพวกพ้องนับสิบของฉางลี่ก็ได้ส่งสายตามาที่หลงเฉินอย่างหยามเหยียด ทว่าใบหน้าเหล่านั้นกลับแผงเอาไว้ด้วยความตื่นเต้นราวกับว่ากำลังจะได้เห็นเรื่องที่น่าสนุกแล้ว

“อับอาย? ไม่ไม่ไม่ นั่นไม่ใช่ความอับอายอย่างแน่นอน ฝนทิพย์จากข้าย่อมทำให้ผู้คนที่ได้รับเกิดสิริมงคลในชีวิตกันทั้งนั้น เจ้าสมควรจะยินดีจึงจะถูกต้องนะ” หลงเฉินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

เมื่อได้ยินวาจาเอื้อนเอ่ยหลงเฉิน ผู้คนที่อยู่โดยรอบต่างก็ทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง พวกเขาได้ยินมาว่าฉางลี่แค่พลาดท่าเสียที ทว่าในส่วนรายละเอียดนั้นไม่อาจทราบได้ เมื่อหันไปมองใบหน้าของฉางลี่แล้วจึงคาดเดาได้ทันทีว่าสิ่งที่พลาดท่าเสียทีไปคงจะไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยแล้ว

แม้แต่กัวเหรินที่ยืนอยู่ในบริเวณที่ห่างไกลออกไปก็ยังต้องเบิกตากลมโตอย่างไม่อยากจะเชื่อขึ้นมาได้ เขาคิดไม่ถึงว่าหลงเฉินผู้เคร่งขรึมผู้นี้จะกระทำเรื่องฉาวโฉ่เช่นนั้นได้

“ตายซะ”

ฉางลี่ระเบิดเสียงคำรามออกมาจนดังสนั่นหวั่นไหว เส้นเอ็นปูดขึ้นมาเต็มใบหน้า ดวงตาทั้งสองข้างประดุจมีเปลวเพลิงลุกโชนขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง พลันก็ได้ยกกำปั้นมุ่งสู่ใบหน้าของหลงเฉินด้วยพลังสภาวะอันคลุ้มคลั่งที่หอบสายลมโบกพัดไปมาอย่างรุนแรง

“ปัง”

เสียงปะทะดังขึ้นมาสายหนึ่ง กลุ่มคนโดยรอบจับจ้องไปยังเท้าข้างหนึ่งที่เหยียบเข้าไปที่ท้องน้อยของฉางลี่อย่างเต็มแรง

ฉางลี่ล้มกลิ้งไปตามพื้นดินในทันที ร่างของเขาถูกหยุดลงเมื่อกลิ้งเกลือกไปกับพื้นไกลออกกว่าสิบจั่งได้

ผู้ที่ติดสอยห้อยตามฉางลี่มาต่างทอสีหน้าตะลึงลานขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน ผลลัพธ์เช่นนี้ย่อมไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาได้คาดคิดเอาไว้ อีกทั้งยังไม่คิดเลยว่าฉางลี่จะต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้

การร่ายรำของฝ่าเท้าของหลงเฉินนั้นไร้ซึ่งซุ่มเสียงและกระบวนท่า จึงไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นได้เลยแม้แต่น้อย

“เจ้าหนู วันนี้ข้าจะต้องทำให้เจ้าร้องขอชีวิตออกมาให้ได้ ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่ขอใช้แซ่ฉางอีกต่อไป”

ฉางลี่แผดเสียงคำรามออกมาอย่างดุดัน พลันก็ได้ปะทุพลังสภาวะรอบกายขึ้นมา พลังโลหิตภายในร่างกายพุ่งทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้าจนเกิดการสั่นสะเทือนของบรรยากาศโดยรอบ แล้วสายลมหอบนั้นก็ได้พุ่งเข้าไปหาหลงเฉินอย่างรวดเร็ว

“ฮูม”

ทันใดนั้นเสี่ยวเสว่ยก็ได้ยืนตัวลุกขึ้นยืน พร้อมทั้งส่งเสียงคำรามออกมา

“ไม่เป็นไร ข้าอยากจะดูว่าบุคคลในที่แห่งนี้แข็งแกร่งถึงเพียงใดกัน”

หลงเฉินกล่าวปลอบใจอย่างแผ่วเบาต่อเสี่ยวเสว่ย เขาไม่กล้าเสี่ยงให้เสี่ยวเสว่ยลงมือในตอนนี้ เพราะยังไม่แน่ใจว่าเด็กน้อยผู้นี้มีความแข็งแกร่งหรืออ่อนหัด หากให้เสี่ยวเสว่ยออกไปต่อสู้จนทำให้ถึงแก่ชีวิตคงจะกลายเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขา

อีกทั้งเสี่ยวเสว่ยมีพลังการต่อสู้ถือที่อยู่เหนือยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นโดยทั่วไปหลายขั้นแล้ว เพียงใช้กรงเล็บอันแหลมคมตะปบไปก็อาจทำให้ตายได้ ฉะนั้นหากเสี่ยวเสว่ยฆ่าคนผู้หนึ่งไป ไม่แน่ว่าบัตรเทียบเชิญของเขาอาจจะต้องถูกยกเลิกไปด้วย

เมื่อเห็นฉางลี่ออกหมัดมาอีกครั้ง หลงเฉินก็ได้ยื่นมือใหญ่ข้างหนึ่งออกไปบรรจบกับหมัดของชายหนุ่มผู้นั้นได้อย่างพอดิบพอดี

“ปัง”

พลังสภาวะจากทั้งสองขุมพลังได้สร้างลมพายุกรรโชกแรงจนพื้นที่โดยรอบคละคลุ้งไปด้วยเศษใบไม้และละอองดินที่ลอยละล่องไปไกลกว่าสิบจั่ง

พวกพ้องของฉางลี่ทอดวงตาโง่งมขึ้นมาในทันที หลังจากที่หลงเฉินรับกระบวนท่าของฉางลี่ไปแล้ว ตลอดทั่วทั้งร่างของเขากลับมีสภาวะบางอย่างเคลื่อนไหวไปมาอยู่ด้านหลังประดุจต้นสนโบราณยักษ์ใหญ่ต้นหนึ่ง

“แข็งแกร่งมาก”

กัวเหรินทอใบหน้าแตกตื่น ทว่าภายในจิตใจกลับเต้นระรัวอย่างถึงที่สุด ถึงแม้ว่าจะเป็นพลังการต่อสู้ระดับเดียวกัน ทว่าในสายตาของเขาแล้วหลงเฉินกลับแกร่งกล้ากว่ายิ่งนัก

เขามองออกว่าหลงเฉินใช้เพียงพลังสภาวะจากกล้ามเนื้อภายในร่างกายรับกระบวนท่าของฉางลี่เอาไว้ อีกทั้งยังไม่ได้ใช้พลังยุทธ์ออกมาเลยแม้แต่น้อย เมื่อเป็นเช่นนี้ก็บ่งบอกได้ว่าหลงเฉินไม่เห็นฉางลี่อยู่ในสายตาเลยแม้เพียงเสี้ยวเดียว

หลังจากที่หลงเฉินรับกระบวนท่าของฉางลี่ได้แล้ว ภายในจิตใจก็บังเกิดการยอมรับขึ้นมาเล็กน้อยว่ากระบวนท่าของเด็กน้อยผู้นี้สูงล้ำกว่าเซี่ยโหยวอวี่ที่เขาเคยประมือด้วยเมื่อก่อนหน้านี้เสียอีก

นี่คงจะเป็นพลังที่ซ่อนเร้นของศิษย์ที่มาจากตระกูลใหญ่สินะ หึหึ ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นเพียงกบในกะลาจากจักรวรรดิเฟิงหมิงอย่างแท้จริงเสียแล้ว

ทว่าด้วยพลังอันมหาศาลเช่นนี้ย่อมไม่สะเทือนต่อหลงเฉินจนเกิดความหวาดหวั่นแต่อย่างใด พลันก็ได้กางมือใหญ่กุมไปที่หมัดของฉางลี่จนแน่น แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า

“พลังฝีมือที่มีเพียงเท่านี้ ยังคิดจะล้างแค้นผู้อื่นอย่างนั้นหรือ?”

ฉางลี่ทอสีหน้าปั้นยากอย่างรุนแรง วาจาโอหังของหลงเฉินเรียกได้ว่าไม่ต่างอันใดไปจากการตบเข้าไปที่ใบหน้าของเขาจนเกิดความเจ็บปวดขึ้นมาเป็นสาย

“สามหาว”

กึง!

ฉางลี่ระเบิดเสียงคำรามออกมาอย่างบ้าคลั่ง ทันใดนั้นภายในร่างกายก็ได้เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นมาระลองหนึ่ง พร้อมทั้งพลังสภาวะอันน่าหวาดหวั่นก็ได้เพิ่มขึ้นมาอีกหลายเท่าตัว หลงเฉินเองก็ไม่อาจตั้งตัวได้ทันจนถูกฉางลี่สลัดมือจนหลุดออกไป

“หมัดทลายหยก”

บนหมัดของฉางลี่ปรากฏประกายแสงเจิดจ้าราวกับห่อหุ้มด้วยหยก อีกทั้งยังมีขุมพลังทำลายอันน่าหวาดกลัวเหลือคณานับแฝงอยู่บนคมหมัด สวนเข้าไปที่เงาร่างของหลงเฉินในทันที

หลงเฉินยกกำปั้นสวนกลับไปออกไปด้วยเช่นกัน ทั้งสองคมหมัดกระแทกเข้าหากันอย่างรุนแรงจนเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ผู้คนโดยรอบต่างก็รีบร่นถอยออกไปจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว

แรงปะทะทำให้หลงเฉินถอยออกไปสามก้าว ทว่าฉางลี่กลับถอยออกไปไกลถึงสามจั่ง แล้วหลังจากนั้นทั่วทั้งบริเวณก็เงียบสงัดลงประดุจสุสานป่าช้าแห่งหนึ่ง

ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่คาดคิดว่าชายหนุ่มที่มีรูปร่างผอมบางจะมีพลังฝีมือที่น่าหวาดกลัวได้ถึงเพียงนี้ และนับตั้งแต่ต้นจนจบชายหนุ่มผู้นี้ก็ยังไม่ได้เปิดเผยพลังการฝึกยุทธ์ออกมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว

หลังจากที่หลงเฉินคลายหมัดที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอันมหาศาลของฉางลี่ลงไปได้ ผู้คนโดยรอบก็บังเกิดความเลื่อมใสต่อหลงเฉินขึ้นมาในทันที เป็นเพียงศิษย์ธรรมดาทว่ากลับสามารถออกสภาวะหมัดได้หนักแน่นเป็นอย่างยิ่ง

หลงเฉินนั้นมีพลังเพียงขอบเขตขั้นก่อโลหิตระดับที่หก ทว่าด้วยการฝึกกายเนื้อผ่านเคล็ดกายานวดาราจึงทำให้มีความแข็งแกร่งจนพอที่จะรับมือสัตว์มายาระดับสามได้เลย ทว่าก็ยังไม่สามารถซัดฉางลี่ให้กระเด็นไปไกลจนบาดเจ็บสาหัสได้ เห็นได้ชัดว่าฉางลี่ผู้นี้ได้ฝึกฝนมาเป็นอย่างดีแน่นอน

“เป็นไปได้อย่างไรกัน?”

ฉางลี่มองไปที่หลงเฉินด้วยใบหน้าหวาดผวา เขาไม่อาจที่จะเชื่อสายตาของตัวเองได้อีกต่อไป ถึงแม้ว่าเขาจะใช้กระบวนท่าด้วยพลังทั้งหมดที่มีออกไป ทว่ากลับไม่อาจสร้างความเสียหายให้กับอีกฝ่ายได้เลยแม้แต่น้อย

“เข้าไปพร้อมกัน”

ในที่สุดฉางลี่ก็ตระหนักได้ว่าการต่อสู้ในครั้งนี้ยากที่จะเอาชนะได้แล้ว จึงเรียกขานพวกพ้องที่ติดตามมาหมายจะจู่โจมหลงเฉินด้วยกำลังพลทั้งหมด

“ซูมซูมซูมซูม”

เมื่อได้ยินเสียงเรียกจากฉางลี่ ผู้คนเหล่านั้นต่างก็ไม่รอช้า พวกเขารีบสลายตัวไปโดยรอบ พลันก็ได้ปะทุพลังสภาวะสูงสุดออกมาแล้วพุ่งทะยามเข้ามาหาหลงเฉินในทันที

“เจ้าพวกโง่งม” หลงเฉินสบถออกมาอย่างไร้อารมณ์

ชายหนุ่มผู้หนึ่งจู่โจมเข้ามารับคมหมัดเป็นคนแรก ทว่าหลงเฉินกลับจับคว้าไปที่แขนของเขาแล้วกางออกจนสุดแขน

“ปัง”

ชายหนุ่มผู้นั้นถูกหลงเฉินใช้แขนของตัวเองเป็นเสมือนอาวุธชิ้นหนึ่งกระแทกเข้าที่กลุ่มคนสามคน ที่อยู่ใกล้ที่สุด เมื่อกลุ่มคนทั้งสามเห็นมือของพวกพ้องโจมตีเข้ามากลับเกิดอาการอลม่านมือไม้พันกันยุ่งเหยิง เพราะไม่ทราบว่าควรจะหลบหรือรับการโจมตีเอาไว้ดี ในขณะที่กำลังลังเลกันอยู่นั้นเงาร่างทั้งสามก็ได้ถูกกระแทกจนกระเด็นออกไปอีกฝั่ง

ชายหนุ่มที่เป็นอาวุธให้กับหลงเฉินรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายราวกับว่ากระดูกทุกชิ้นได้แตกหักไปจนหมดสิ้นแล้ว หลงเฉินไม่รีรอให้ชายหนุ่มมีสติกลับคืนมาจึงรีบโยนร่างของชายหนุ่มผู้นั้นออกไป

กลุ่มชายหนุ่มสามคนที่ลอยกระเด็นออกไปเมื่อสักครู่ก็ได้ถูกเงาร่างอีกสายกระแทกจนเกิดขึ้นดังสนั่น พลันก็ได้กระอักโลหิตออกมากันหลายคำ ส่วนเงาร่างที่ถูกหลงเฉินโยนออกไปก็ได้กระอักโลหิตจนสลบเหมือดลงไปในทันที

จากนั้นหลงเฉินก็คว้ามือของชายหนุ่มอีกคนที่อยู่ใกล้ที่สุดแล้วจับโยนออกไปยังกลุ่มคนที่กำลังตกตะลึงกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วอยู่อีกด้านหนึ่ง

“ผัวะผัวะผัวะ……”

เสียงดังปะทุขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดก็หลงเหลือเพียงเงาร่างของฉางลี่ที่ยังสามารถยืนหยัดอยู่ได้ ทว่าฉางลี่ในตอนนี้กลับมีจมูกที่บวมเป่ง อีกทั้งที่มุมปากยังมีสายโลหิตไหลรินออกมาอีกด้วย

“โหดเ**้ยม”

กัวเหรินเกิดอาการขนลุกชันขึ้นมาในทันทีที่เห็นการต่อสู้ที่ใช้วิธีการเยี่ยงทารกน้อยสู้กัน ทว่ากลับทำให้บาดเจ็บไปได้ทั้งหมด อีกทั้งผู้คนที่ล้มหมอนนอนเสื่อลงไปนั้นต่างก็เป็นผู้มีพรสวรรค์อันดับหนึ่งจากตระกูลใหญ่เลยทีเดียว

ทว่าเมื่อมาอยู่เบื้องหน้าของหลงเฉินแล้วกลับไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะสวนกลับจนต้องพ่ายแพ้กันไปเป็นแถว กัวเหรินจ้องมองไปยังแผ่นหลังของหลงเฉินด้วยอาการตื่นตกใจจนเนื้อตัวสั่นเทิ้มไปทั้งหมด ชายหนุ่มผู้นี้แข็งแกร่งมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ?

หลงเฉินปรายสายตาไปที่ฉางลี่ที่อยู่เบื้องหน้าด้วยจิตใจก็ยิ้มกริ่มขึ้นมาอย่างเย้ยหยัน คนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ฝึกยุทธ์มาอย่างดี อีกทั้งยังมีพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งมาก ทว่ากลับมีประสบการณ์การต่อสู้น้อยนิดจนน่าสงสาร

และแน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่เคยผ่านประสบการณ์แห่งความเป็นตายมา ชายหนุ่มจากตระกูลใหญ่คงจะถูกเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงมดั่งไข่ในหิน หากไม่เคยเผชิญหน้ากับความเป็นตาย พวกเขาย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของยอดฝีมือที่มีพลังอยู่ในขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นเสียด้วยซ้ำไป อีกทั้งท้ายที่สุดแล้วผู้ที่จะต้องตายก็คงจะเป็นพวกเขานั่นเอง

และเนื่องจากตระกูลใหญ่เหล่านี้มีผู้มีพรสวรรค์ถือกำเนิดขึ้นมา ฉะนั้นจึงไม่อาจทำใจได้หากจะต้องสูญเสียบุคคลเหล่านี้ไปในการต่อสู้จริง หากเป็นเช่นนั้นคงจะน่าเสียดายอย่างถึงที่สุด

ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงแตกต่างจากหลงเฉิน ผู้ที่พบเจอกับความเป็นความตายมานับครั้งไม่ถ้วน “ไสหัวไปซะ ข้าเพิ่งไปทำธุระส่วนตัวมา ฉะนั้นเจ้าจึงไม่มีโอกาสได้ลิ้มรสชาตินั้นอีกแล้ว จึงต้องขอโทษด้วย” หลงเฉินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ข้ายอมรับว่าเจ้ายอดมาก ทว่าเรื่องจะต้องไม่จบแต่เพียงเท่านี้แน่ จำเอาไว้ให้ดี” ฉางลี่ตะเบ็งเสียงออกมาพร้อมกับจ้องมองไปที่หลงเฉินอย่างอาฆาตแค้น

“เจ้าควรจะดีใจที่ได้เข้ามาในอาณาเขตของสำนัก ไม่เช่นนั้นเจ้าคงจะกลายเป็นศพไปตั้งแต่แรกแล้ว” หลงเฉินยังคงอยู่ในอาการสงบเสงี่ยม

เมื่อฉางลี่เห็นสายตาของหลงเฉินที่มองมาก็รู้สึกราวกับว่าเป็นสิ่งของมีคมพาดที่มาจ่อลำคอของเขา บรรยากาศแห่งความตายปะทุขึ้นมาอย่างเข้มข้นและหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ หลงเฉินผู้นี้คล้ายกับเทพแห่งความตายผู้หนึ่งที่ทำให้จิตใจของเขาเย็นยะเยือกขึ้นมาจนขนตัวตั้งชันไปทั้งหมด

จากนั้นฉางลี่และพวกพ้องก็ได้พากันพยุงร่างกายอันไร้เรี่ยวแรงจากไป อีกทั้งก่อนไปยังชักยุทโธปกรณ์ออกมาช่วยพยุงร่างและชี้มาที่หลงเฉินอย่างเอาเป็นเอาตาย

กัวหรานมองไปตามเงาร่างของคนกลุ่มนั้นที่ค่อยๆ ลับหายไป แล้วสลับไปมาจ้องมองที่แผ่นหลังของหลงเฉินด้วยจิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัวจนไม่รู้ว่าจะพูดอันใดออกมาดี

หลงเฉินโบกมือไปมา ทว่าทันใดนั้นเองพื้นดินที่เหยียบอยู่กลับสั่นไหวขึ้นมาเป็นระลอก หลงเฉินทอสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที แล้วจดจ้องไปยังต้นสายปลายเหตุที่อยู่ห่างไกลออกไปจนพบเห็นรังสีของกระบี่สายหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นสู่ขอบฟ้าแล้วค่อยๆ เลือนรางหายไป

“มียอดฝีมือต่อสู้กันอีกแล้ว ไปดูกันเถิด”….

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset