เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 133 เริ่มต้นการทดสอบ

ก้อนแสงที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางเพียงหนึ่งจั่งถูกปล่อยออกมาจากปากของเสี่ยวเสว่ย ภายในก้อนกลมนั้นได้แตกออกเป็นเส้นสายจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน

ทว่าเส้นเหล่านั้นต่างก็เป็นคมวายุขนาดเล็กที่เปล่งประกายความคมกริบคล้ายกับอาวุธมีคม และตรงใจกลางของก้อนกลมก็ได้มีของเหลวสีแดงไหลเวียนไปมาไม่หยุด

เมื่อก้อนแสงลอยผ่านไป ตามพื้นดินก็ได้เกิดร่องเสมือนถูกปลายพู่กันวาดเป็นเส้นขึ้นมา ต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่รอบด้านต่างก็แหลกสลายกลายเป็นผุยผงไปในทันที

หลงเฉินเองก็ไม่อาจที่จะหักห้ามจิตใจที่สั่นระรัวขึ้นมาได้ เสี่ยวเสว่ยส่งสัญญาณจิตบอกต่อเขาว่ามันมีกระบวนท่าพิเศษที่อยากจะใช้ออกมา

“เจ้าหนูแซ่ชี เจ้าต้องอดทนหน่อยนะ อย่าได้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นเลย ไม่เช่นนั้นข้าคงจะกลายเป็นฆาตกรที่ฆ่าเจ้าแน่นอน” หลงเฉินสวดภาวนาขึ้นมาไม่หยุด

ชีซิ่งเบิกดวงตาโพลงโตขึ้นมา ใบหน้าของเขาซีดเผือดลงไปอย่างเห็นได้ชัด เขารู้สึกว่าเริ่มหายใจไม่ออก นี่ถือเป็นแรงกดดันที่สามารถคร่าชีวิตของผู้คนได้เลย

“วารีสวรรค์คุ้มกาย”

ชีซิ่งตะโกนออกมาเสียงดัง พลันก็ได้ไหลเวียนพลังลมปราณไปทั่วร่างจนเกิดลูกวารีโอบล้อมรอบเงาร่างของเขา ทันใดนั้นเองร่องรอยอันแปลกประหลาดก็ได้ผุดขึ้นมารอบผิวน้ำ จากนั้นก็ได้เปลี่ยนรูปร่างจนคล้ายกับไข่มุกเม็ดงามหลากหลายเม็ด

“ตูม”

ทันทีที่ชีซิ่งเบิกกระบวนท่าขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว การโจมตีจากเสี่ยวเสว่ยก็ได้มาประจวบเข้าพอดี แรงกระแทกของขุมพลังอันมหาศาลทั้งสองแตกระเบิดจนกลายเป็นจุล

หลังจากฝุ่นควันได้เลือนรางหายไปแล้ว ระหว่างฟ้าดินก็ให้ความรู้สึกราวกับได้สูญเสียสีสันทั้งหมดไป ช่วงเวลาเหล่านั้นคล้ายกับดำเนินไปอย่างเชื่องช้า ผู้คนทั้งหมดเสมือนตกอยู่ในห้วงแห่งความฝันที่ไม่มีวันที่จะได้ตื่นขึ้นมาอีกแล้ว

ทว่าผู้คนที่เฝ้ามองการต่อสู้อยู่นั้นก็ได้มีปฏิกิริยาคืนกลับมา เมื่อเห็นผืนป่าขนาดใหญ่ได้กลายเป็นลำธารสายหนึ่งไปเสียแล้ว อีกทั้งยังแผ่ขยายความกว้างขวางจนพวกเขาต้องวิ่งวุ่นเพื่อหาที่หยัดยืนแห่งใหม่

คนบางกลุ่มที่อยากดูการต่อสู้อย่างใกล้ชิดก็ได้ถูกซัดไปกระแทกเข้ากับต้นไม้ใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่รอบป่าอย่างรุนแรงจนมีโลหิตไหลรินออกมาจากร่างกาย

เหล่าผู้คนที่เริ่มได้สติต่างก็ตะโกนร้องเสียงดังระงมไปทั่วผืนป่า อีกทั้งยังหนีตายกันโกลาหล ใจกลางของสนามต่อสู้ได้กลายเป็นวงกลมขนาดใหญ่ที่ปราศจากสิ่งมีชีวิต ความว่างเปล่านี้ได้กระจายออกไปไกลหลายลี้และยังคงสั่นสะเทือนเลือนลั่นโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงเลย

หลงเฉินยังคงนั่งอยู่บนหลังของเสี่ยวเสว่ย และกำลังจ้องมองไปยังเงาร่างที่มีผมเผ้ายุ่งเหยิง อาภรณ์บนร่างกายฉีกขาด บรรยากาศบริเวณนั้นคละคลุ้งไปด้วยฝุ่นควัน

ภายในจิตใจของหลงเฉินยอมรับขึ้นมาส่วนหนึ่งว่ายอดฝีมือผู้นี้แข็งแกร่งยิ่งนัก ทั้งที่เสี่ยวเสว่ยได้ใช้กระบวนท่าที่มีพลังทำลายอันสูงส่งออกไป แต่ชีซิ่งก็ยังสามารถรับเอาไว้ได้

เพราะกระบวนท่าของเสี่ยวเสว่ยนั้นเป็นการผสานกันระหว่างวายุและเพลิง เมื่อทั้งสองธาตุได้ผสานกันแล้ว ก็จะปะทุพลังทำลายที่สามารถทลายขุนเขาไปได้ทั้งลูกเลยทีเดียว

แม้สภาพของชีซิ่งนั้นจะดูไม่ค่อยดีนัก ทว่ากลับไม่ได้บาดเจ็บแต่อย่างใด หลงเฉินจึงตกใจขึ้นมาไม่น้อย อีกทั้งยังหวาดหวั่นในพลังการต่อสู้ของยอดฝีมือผู้นี้

“เป็นอย่างไรบ้าง? ยังต้องการแสดงต่ออีกหรือไม่?” หลงเฉินถามออกไป

“เจ้า……ชิ หากไม่มีสัตว์มายาคอยคุ้มกันอยู่ แน่นอนว่าข้าย่อมสามารถจัดการเจ้าลงได้ด้วยฝ่ามือเดียวแน่นอน” ชีซิ่งตะเบ็งเสียงออกมาอย่างแค้นเคือง

แม้ว่าจะกล่าวออกไปเช่นนั้น แต่ภายในจิตใจของชีซิ่งกลับหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด เขาไม่เคยพบเห็นกระบวนท่าที่น่าหวาดกลัวถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังเป็นกระบวนท่าจากสัตว์มายาด้วย

“แล้วอย่างไร? ข้าบอกไปแล้วไม่ใช่หรือว่าสัตว์มายาก็ถือเป็นพลังฝีมืออย่างหนึ่ง ทว่าที่เจ้ากล่าวออกมาเมื่อครู่คล้ายกับจะบอกว่าแม้แต่สัตว์มายาเพียงตัวเดียว เจ้าก็ยังไม่อาจทัดเทียมได้?” หลงเฉินกล่าวออกไปอย่างไม่แยแส

“เหอะ ที่เจ้าได้ครอบครองสัตว์มายาที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ไม่ใช่เป็นเพราะพลังของต้นตระกูลหรอกหรือ? มีเพียงศิษย์ปลายแถวเท่านั้นที่จะใช้วิธีการเช่นนี้ออกมาได้” ชีซิ่งกล่าวพร้อมกับหัวเราะหึหึกลบเกลื่อนขึ้นมา

“เจ้าเองก็มีสัตว์มายา เช่นนั้นเจ้าก็สามารถใช้มันออกมาต่อสู้ได้เหมือนกันไม่ใช่หรือ” หลงเฉินกล่าวพร้อมกับยักไหล่ไปมา

เมื่อได้ยินวาจาคล้ายด่าทอของหลงเฉิน ชีซิ่งก็ได้เปลี่ยนสีหน้าเป็นดำคล้ำขึ้นมาในทันที เพราะสัตว์พาหนะของเขานั้นยังเป็นแค่สัตว์มายาระดับสอง

ถึงแม้ว่าตระกูลใหญ่ของเขาก็มีสัตว์มายาระดับสาม ทว่ากลับเป็นดั่งสมบัติที่มีไว้สำหรับต่อสู้เท่านั้น จึงไม่สามารถนำออกมาใช้ได้พร่ำเพรื่อ และสัตว์มายาระดับสามตัวนั้นก็ไม่ใช่สัตว์มายาจำพวกที่บินได้ จึงเกรงว่าจะไม่สะดวกในการเดินทางมากนัก

และต่อให้เขาเรียกสัตว์มายาของตัวเองมาก็คงจะต้องถูกหมาป่าหิมะแดงเพลิงของหลงเฉินสังหารจนตายลงไปภายในไม่กี่พริบตาอย่างแน่นอน

ชีซิ่งปะทุเพลิงโทสะขึ้นมาภายในจิตใจอย่างบ้างคลั่ง ถึงแม้ว่าเขาจะมีพลังการต่อสู้อยู่ในระดับแนวหน้า ทว่าก็ยังเป็นพลังที่มีขีดจำกัดเพราะเขายังอยู่แค่ขอบเขตก่อโลหิตระดับสูงสุด แต่หากเมื่อใดที่ทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นได้แล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่หวั่นไหวต่อหมาป่าหิมะแดงเพลิงที่หลงเฉินนั่งอยู่อย่างแน่นอน

สถานการณ์ในตอนนี้นั้นช่างกระอักกระอ่วนเป็นอย่างยิ่ง ชีซิ่งคิดจะลงมือต่อแต่ก็ยังไม่กล้าพอ เนื่องจากเสี่ยวเสว่ยเป็นสัตว์มายาจำพวกพิเศษ อีกทั้งยังมีแนวโน้มว่าจะใช้กระบวนท่าเมื่อครู่นี้ออกมาอีกครั้ง ย่อมเป็นการหาที่ตายอย่างแท้จริงแล้ว

ทว่าหากเขายอมแพ้แล้วหันหลังกลับไป เช่นนั้นจะมีหน้าไปพบเจอผู้คนต่อไปได้อย่างไรกัน? แล้วผู้คนที่คิดจะพึ่งพาเขานั้นจะมองเขาเช่นไรเล่า?

หากเปลี่ยนหลงเฉินเป็นเหร่ยเชียนซังหรือถังหว่านเอ๋อที่มีพลังฝีมือในระดับเดียวกันก็คงจะแล้วกันไป เพราะพวกเขาต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มีพลังฝีมือระดับสูง แม้ว่าได้พ่ายแพ้ให้คนเหล่านี้ก็ไม่ถือว่าเป็นการขายหน้ามากนัก

ทว่าในตอนนี้เขากลับอยู่ในกำมือของเจ้าหนูผู้ที่ไม่มีชื่อเสียงอันใดเลย ฉะนั้นเมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ย่อมเรียกได้ว่าขายหน้าเป็นอย่างยิ่งยวด จะให้ลงมือก็กระทำไม่ได้ ครั้นจะถอยก็กระทำไม่ลง เป็นช่วงเวลาที่เขาอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายก็ไม่ออกอย่างแท้จริง

กลางผืนป่าลึกอันลี้ลับก็ได้มีดวงตาคู่งามจากถังหว่านเอ๋อจับจ้องไปที่หลงเฉินอย่างเป็นมิตรผู้หนึ่ง พลันที่มุมปากก็ปรากฏรอยยิ้มกว้างขึ้นมา

เจ้าตัวบัดซบผู้นั้น ถึงกับกดดันชีซิ่งให้ตกอยู่ในสภาพร่อแร่เช่นนั้นได้ถือว่ามีความสามารถไม่น้อยเลย ชิ ทว่าสิ่งที่เจ้าได้ล่วงเกินต่อหญิงงามเช่นข้านั้นไม่มีวันยกโทษให้อย่างแน่นอน บัญชีระหว่างเราค่อยสะสางต่อจากนี้ก็แล้วกัน

แม้ถังหว่านเอ๋อจะพึมพำออกไปเช่นนั้น ทว่าลึกลงไปในก้นบึ้งของจิตใจกลับตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก หลังจากนี้ชีวิตความเป็นอยู่ภายในสำนักพลิกสวรรค์ของตนคงจะไม่น่าเบื่ออีกต่อไปแล้ว

“เคร้ง”

เสียงระฆังจากสถานที่แห่งหนึ่งสะท้อนมายังบริเวณแห่งนี้เป็นระลอก เสียงดังลอดผ่านโสตประสาทของผู้คนอย่างชัดเจนหมดจด

“การรายงานตัวได้เริ่มขึ้นแล้ว รีบไปกันเถิด”

ทันใดนั้นกลุ่มผู้คนมากหน้าหลายตาก็ได้ละสายตาไปจากการต่อสู้ของหลงเฉินและชีซิ่ง พลันก็ได้ตะบึงหน้าตั้งไปยังหุบเขาที่อยู่เบื้องหน้าประดุจเขื่อนกั้นน้ำแตกทะลักอย่างไรอย่างนั้น

เมื่อเสียงระฆังดังขึ้น ชีซิ่งก็รู้สึกโล่งใจเหมือนกับได้ถูกยกภูเขาออกไปจากอก แล้วจ้องมองไปที่หลงเฉินด้วยแววตาอาฆาตมาดร้าย “ข้าจะจดจำเจ้าเอาไว้อย่างไม่รู้ลืม หลังจากที่เข้าสู่สำนักแล้ว จงสวดมนต์อ้อนวอนต่อเทพแห่งความตายรอได้เลย”

เมื่อกล่าวจบ ยอดฝีมือผู้นั้นก็รีบขยับกายแทรกผ่านฝูงชนไปอย่างรวดเร็ว ไม่รีรอให้หลงเฉินได้ตอบกลับแม้แต่คำเดียว

มาจนถึงป่านนี้แล้วก็ยังจะเสแสร้งต่อไปอีกหรือ? หลงเฉินได้แต่ส่ายหน้าไปมา แล้วกระโดดลงมาจากหลังของเสี่ยวเสว่ย พลางก็ลูบไปที่ศีรษะของเจ้าหนูน้อย

“วันนี้ลำบากเจ้าน่าดู ทว่ายอดมาก หากไม่มีเจ้า คนที่จะขายหน้าผู้คนก็คือข้าผู้นี้”

“โบร๋วโบร๋ว……” เสี่ยวเสว่ยยื่นหัวเข้ามาคลอเคลียหลงเฉินเหมือนอย่างเคย

“เหอะเหอะ ข้ารู้แล้วว่าเจ้ามีกระบวนท่าใหม่ ทว่าเราไม่อาจฆ่าคนในสถานที่แห่งนี้ได้ อดทนเอาไว้นะ” หลงเฉินปลอบโยนเสี่ยวเสว่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

กัวเหรินเดินย่องเข้ามาจากเบื้องหลังของหลงเฉิน ทันใดนั้นหลงเฉินก็เปลี่ยนเป็นอารมณ์เสียแล้วกล่าวขึ้นมาว่า “เจ้าทำตัวให้เป็นที่น่าสงสัยอีกแล้ว”

กัวเหรินส่งรอยยิ้มเจื่อนให้หลงเฉิน แล้วยกนิ้วหัวแม่โป้งขึ้นมาข้างหนึ่ง “พี่หลง วันนี้ท่านยอดเยี่ยมมาก แม้แต่สัตว์ประหลาดอย่างชีซิ่งก็ยังไม่อาจทำอันใดต่อท่านได้เลย”

“เอาเถิด ยกความดีความชอบนี้ให้เสี่ยวเสว่ยก็แล้วกัน ตอนนี้การรายงานตัวได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว รีบไปกันเถิด” เมื่อกล่าวจบ หลงเฉินและกัวหรานก็ได้เดินตามกลุ่มผู้คนออกจากหุบเขาไป

เมื่อออกมาจากหุบเขาแล้ว เบื้องหน้าสายตาก็กลายเป็นพื้นที่ว่างอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่ง ในขณะที่หลงเฉินเพิ่งจะมาถึง ก็ได้มีผู้มารายงานตัวกว่าหมื่นคนยืนอยู่ในสถานที่แห่งนั้นอยู่ก่อนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ด้านหลังของพวกเขาต่างก็มีสัตว์มายาของตัวเองหมอบอยู่บนพื้น พื้นที่อันกว้างขวางแห่งนี้แผ่กว้างออกไปสุดลูกหูลูกตาจนสามารถรองรับผู้คนและสัตว์มายาเอาไว้ได้นับหมื่น ในดวงตาของหลงเฉินสะท้อนภาพศีรษะของมนุษย์และสัตว์มายาเคลื่อนไหวไปมาจนละลานตาไปหมด

เมื่อมองทะลวงพื้นที่อันกว้างใหญ่ไปถึงด้านหน้าสุดก็พบประตูบานใหญ่ที่มีความสูงกว่าร้อยเซียะตั้งตระหง่านอยู่ บรรยากาศบนประตูบานนั้นให้ความรู้สึกที่เก่าแก่โบราณอย่างลึกล้ำยิ่งนัก

บนบานประตูสลักด้วยตัวอักษรโบราณสี่ตัว——สำนักพลิกสวรรค์ ตัวอักษรเหล่านั้นเป็นสีทองอร่าม อีกทั้งยังทอประกายเจิดจ้าออกมาจนแสบนัยน์ตาเป็นอย่างยิ่ง

“เอี๊ยดเอี๊ยด……”

ทันใดนั้นบานประตูขนาดใหญ่ที่ปิดสนิทก็ค่อยๆ เปิดออกมา ดูไปแล้วเสมือนกับเป็นปากของสัตว์ประหลาดกำลังจะกินเหยื่ออย่างไรอย่างนั้น

เมื่อประตูใหญ่ถูกแง้มขึ้นมาก็ได้มีพลังปราณอันเข้มข้นขุมหนึ่งแผ่ซ่านออกมาด้วย ผู้คนที่อยู่ภายนอกจึงได้เกิดความแตกตื่นอยู่ไม่น้อยเลย

ไม่แปลกใจเลยที่มีผู้คนมากมายแทบจะถวายชีวิตเพื่อเข้ามายังสำนักพลิกสวรรค์แห่งนี้ หากมีพลังปราณที่เข้มข้นถึงระดับนี้อยู่ย่อมสามารถฝึกยุทธ์ได้เร็วขึ้นอีกหลายเท่าตัว

ภายในบานประตูมีคนกลุ่มหนึ่งเดินออกมา พวกเขาน่าจะมีอายุเพียงยี่สิบกว่าปีเท่านั้น สายตาทุกคู่มองดูผู้มารายงานตัวอย่างเย็นชาอย่างถึงที่สุด

ทว่ามีเพียงชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าสุดสวมด้วยชุดรัดรูปตัวยาวสีดำขลับ ที่ทอดสายตาที่เปี่ยมไปด้วยประกายอันสดใสเจิดจ้าออกมาจนทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจ

หลังจากที่ชายหนุ่มชุดดำขลับกวาสายตามองไปที่ผู้คนทั้งหมดแล้ว ก็ได้เอ่ยวาจาขึงขังขึ้นมาว่า “ก่อนอื่นพวกเราขอแนะนำตัวกันสักครู่หนึ่ง พวกเรามาเพื่อต้อนรับและดูแลพวกเจ้า

อีกทั้งยังมีหน้าที่เป็นครูฝึกสอนเมื่อพวกเจ้าเข้าไปยังสำนักพลิกสวรรค์ กล่าวอย่างเข้าใจง่ายก็คือศิษย์พี่ของพวกเจ้านั่นเอง พวกเราคือผู้ที่เข้ารายงานตัวเมื่อครั้งที่แล้ว

สามปีก่อนนั้นพวกเราก็เป็นเหมือนพวกเจ้าในตอนนี้ ได้ยืนอยู่ในสถานที่แห่งนี้ และมีศิษย์พี่รุ่นก่อนออกมาต้อนรับด้วยเช่นกัน”

เมื่อสิ้นเสียงของชายหนุ่มชุดดำขลับ ผู้มารายงานตัวแทบจะทั้งหมดก็ได้ส่งเสียงดังเซ็งแซ่ขึ้นมา ไม่คิดว่าผู้ที่มาต้อนรับจะเป็นศิษย์รุ่นก่อน ทว่ากัวเหรินกลับมีสีหน้าเรียบเฉย ราวกับทราบดีอยู่แล้วว่าจะต้องเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น

หลังจากที่ความโกลาหลเริ่มสงบลง คนผู้นั้นก็ได้กล่าวต่ออีกว่า “เมื่อสามปีก่อน พวกเราก็เป็นเฉกเช่นพวกเจ้าในตอนนี้ หอบหิ้วความฝันอย่างมุ่งมั่นเพื่อเข้ามาอยู่ในสำนักแห่งนี้ ทว่าข้าจะขอเตือนเอาไว้อย่างหนึ่งว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเจ้าวาดฝันเอาไว้ เรียกได้ว่าแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ที่แห่งนี้โหดร้าย หนักหนา และลำบาก หากเทียบกับชีวิตที่ผ่านมาของพวกเจ้าแล้วก็ไม่ต่างอันใดไปจากนรกขุมที่เก้า ฉะนั้นผู้ใดที่ไม่ปรารถนาจะพบเจอความลำเค็ญก็จงถอยออกไปเสียแต่ตอนนี้ก็ยังไม่สาย”

ทันใดนั้นบริเวณลานกว้างก็ได้โกลาหลขึ้นมาอีกครั้ง ความคิดของผู้มารายงานตัวแตกตื่นไปทั้งหมด บ้างก็เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีจนแทบจะถอนตัว แล้วจู่จู่ก็ได้มีคนผู้หนึ่งยกมือขึ้นมา

“ขอถามศิษย์พี่ เหล่าศิษย์พี่รุ่นก่อนนั้นหลงเหลือแต่พวกท่านอย่างนั้นหรือ?” ชายหนุ่มรวบรวมความกล้าแล้วถามขึ้นมา

“อือ ยอดฝีมือเกือบทั้งหมดต่างก็ได้จากไปแล้ว หลงเหลือแต่พวกเราที่เป็นอันดับรั้งท้ายของรุ่นก่อน” ชายหนุ่มชุดดำขลับตอบกลับมาตามตรง

“เหอะ ที่แท้ก็แค่พวกปลายแถว มาเสแสร้งทำตัวเป็นใหญ่โตเพื่อนอันใดกัน” มีซุ่มเสียงหนึ่งดังขึ้นมา จนทำให้ผู้คนไม่น้อยคลายความกังวลไปได้

ชายหนุ่มชุดดำขลับยิ้มน้อยๆ ราวกับเข้าใจถึงอารมณ์ของคนเหล่านั้นได้ดี พลันก็ได้กวาดสายตาไปยังผู้มารายงานตังแล้วพยักหน้าไปมา “ได้เวลาแล้ว นำเอาบัตรเทียบเชิญของพวกเจ้าออกมา พวกเราจะทำการตรวจสอบไปทีละใบ”

เมื่อฟังจบ ผู้มารายงานตัวต่างก็รีบนำบัตรเทียบเชิญของตัวเองออกมา ชายหนุ่มผู้หนึ่งที่มีอายุราวยี่สิบกว่าส่งบัตรให้ศิษย์พี่ทำการตรวจสอบเป็นคนแรก “บัตรเทียบเชิญของเจ้าได้มาอย่างไร?”

ผู้มารายงานตัวผู้นั้นเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็รีบสงบสติลงในทันที แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ก็สำนักพลิกสวรรค์ของพวกท่านจัดส่งมาให้ พวกท่านจำไม่ได้หรืออย่างไรกัน?”

“บัตรเทียบเชิญใบนี้ไม่ได้เป็นของเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะได้มาอย่างไรก็ไม่อาจหลอกลวงข้าได้ เจ้าสังหารผู้มารายงานตัวผู้หนึ่งใช่หรือไม่”

ชายหนุ่มผู้หลอกลวงมีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง พลันก็ได้ออกหมัดตรงเข้าไปที่ศิษย์พี่ผู้หนึ่ง ทว่ากำปั้นนั้นยังไม่ทันที่จะได้ใช้กระบวนท่าออกมาก็ถูกซัดจนลอยออกไปในทันที

ชายหนุ่มผู้หลอกลวงที่เคยบ้าคลั่งก็ได้แตกตื่นตกใจขึ้นมาอย่างถึงที่สุด เมื่อพบว่าบัดนี้ร่างกายของเขาไม่อาจขยับเขยื้อนได้อีกแล้ว

จากนั้นร่างกายของเขาก็ค่อยๆ ลอยขึ้นไปในอากาศช้าๆ ใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความตกใจ และเสียงร่ำไห้ดังขึ้นมาไม่หยุด ไม่ว่าจะพยายามดิ้นรนอย่างไรก็ไม่สามารถสลัดออกจากพลังสภาวะเหนี่ยวนำอันมหาศาลนั้นได้

“พรวด”

ฝนโลหิตพุ่งออกมาทาทับท้องฟ้าสีคราม ชายหนุ่มผู้หลอกลวงเป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตก่อโลหิตตอนปลาย ทว่ากลับถูกแยกร่างออกเป็นชิ้นๆ ไปอย่างง่ายดาย ….

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset