เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 139 ผลตอบแทนที่เฟื่องฟู

หลงเฉินกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ให้ความรู้สึกสนิทสนมเฉกเช่นกำลังกล่าวทักทายสหายเก่าอย่างไรอย่างนั้น ทว่าบนใบหน้ากลับปรากฏรอยยิ้มชั่วร้ายขึ้นมาจนทำให้ผู้คนเกิดความหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด

“หลงเฉิน……เจ้า……อย่าได้ล่วงเกินพวกข้าเชียวนะ” ชายหนุ่มผู้มีดวงตาไก่พิฆาตกล่าวด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว

“ข้าไม่คิดว่าการกระทำเมื่อครู่นี้จะเกินเลยไปตรงไหน หากจะโทษควรจะโทษที่สวรรค์ส่งใบหน้าเช่นนั้นมาให้พวกเจ้าจึงจะถูก ถ้าหากข้าไม่ทุบตีพวกเจ้าวันนี้ ข้าเกรงว่าบรรพบุรุษของพวกเจ้าที่อยู่บนสรวงสวรรค์จะมาลงทัณฑ์ข้าแทน” หลงเฉินตอบกลับไปอย่างไม่แยแส

“เจ้า……”

“เอาล่ะ อย่ากล่าววุ่นวายอีกเลย มาเข้าเรื่องของพวกเรากันเถิด การมาของพวกเจ้าทำให้ข้ารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เช่นนั้นข้าจะขอต้อนรับพวกเจ้าอย่างอบอุ่นเอง” เมื่อกล่าวจบ หลงเฉินก็ปรบมืออยู่ครั้งสองครั้งแล้วกล่าวต่อว่า

“ข้อแรก ข้ากำลังต้องการคนมาช่วยจับปลาอยู่พอดี ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงแล้วก็มาช่วยข้าเสียหน่อยก็แล้วกัน

ข้อสอง เจ้าดวงตาไก่พิฆาต ข้าต้องขอบคุณเจ้ามากที่นำของขวัญชิ้นสำคัญมาให้ถึงที่ การกระทำอันหยาบคายของข้าเมื่อครู่นี้โปรดยกโทษให้ด้วย ฉะนั้นข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง เจ้าเข้าใจหรือไม่”

ทันทีที่กล่าวจบ หลงเฉินก็ได้ยื่นมือใหญ่ออกไป เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาทุกคู่แล้วว่าหากพวกเขาไม่ยอมส่งแหวนมิติแห่งชีวิตไป นั่นคือการสร้างความผิดหวังให้กับหลงเฉินอย่างไม่อาจให้อภัยได้แน่นอน

“จะฝันหวานไปถึงไหนกัน แหวนวงนี้เป็นของที่บรรพบุรุษของข้าสืบทอดต่อกันมา……เอาเถิด เพียงมอบให้ก็พอแล้วใช่หรือไม่” ชายหนุ่มผู้มีดวงตาไก่พิฆาตกล่าวขึ้นมาอย่างไม่ยินยอมในตอนแรก ทว่าเมื่อเห็นหลงเฉินเหวี่ยงแขนเหวี่ยงขาไปมาคล้ายกับเป็นการอุ่นเครื่อง พลันก็ได้รีบล้วงไปเอาแหวนมิติแห่งชีวิตยื่นออกไปอย่างรวดเร็ว

“เหอะเหอะ เพื่อให้เจ้าไม่ลำบากใจในภายหลัง ข้าจะยอมรับเอาไว้ก็แล้วกัน ส่วนเจ้าเองก็ไม่ต้องนึกขอบคุณข้าให้มากมายนักนะ ความจริงแล้วข้านั้นเป็นคนที่มีจิตใจโอบอ้อมอารีผู้หนึ่งอยู่แล้ว” เมื่อรับแหวนมิติแห่งชีวิตมาครอบครองแล้ว หลงเฉินก็ได้ถอนลมหายใจออกมา

ชายหนุ่มผู้มีดวงตาไก่พิฆาตจ้องมองไปยังหลงเฉินด้วยดวงตาที่มืดสลัวคล้ายกับว่าท้องฟ้ากลับตาลปัตรไปทั้งหมด คนผู้นี้ช่างไร้ยางอายมากเกินไปแล้ว ทุบตีผู้อื่นแล้วยังกล้าที่จะกล่าวออกมาว่าอย่าได้ขอบอกขอบใจตัวเองอีก

“หลงเฉิน เจ้าเองก็เป็นคนจากตระกูลที่มั่งมีเงินทอง เหตุใดจึงต้องมากระทำเรื่องที่ไร้ยางอายเช่นนี้ด้วย การกระทำของเจ้าไม่ต่างไปจากโจรที่ชอบลักเล็กขโมยน้อยเลยแม้แต่น้อย” ชายหนุ่มผู้หนึ่งเอ่ยวาจาขึ้นมาอย่างเหลืออด

“ผิดแล้ว ข้านั้นไม่ใช่ลูกหลานของตระกูลใหญ่ ข้าเป็นเพียงชนชั้นรากหญ้าผู้หนึ่งเท่านั้น ความไร้ยางอายจึงเป็นสิ่งเดียวที่ข้ามี การทุบตีผู้คนเปรียบเสมือนอาชีพหลักของข้า และการอบรบสั่งสอนผู้อื่นนั้นก็ถือเป็นงานอดิเรกของข้าด้วยเช่นกัน” หลงเฉินกล่าวออกไปอย่างมาใส่ใจ พลันก็ได้ใช้พลังแห่งจิตวิญญาณเปิดแหวนมิติแห่งชีวิต

ชายหนุ่มทั้งสามคนโกรธเกรี้ยวขึ้นมาจนใบหน้าเขียวคล้ำไปทั้งหมด ความไร้ยางอายสามารถเป็นความภาคภูมิได้อย่างหน้าชื่นตาบานเช่นนี้เลยหรือ? นี่ถือเป็นการทำลายล้างการคงอยู่ของเหล่าลูกหลานของตระกูลผู้มั่งคั่งได้เลย

หลังจากที่ใจจดจ่ออยู่กับการไหลเวียนพลังแห่งจิตวิญญาณอยู่ครู่หนึ่ง หลงเฉินก็ได้คลายผนึกจิตวิญญาณดั้งเดิมของแหวนมิติแห่งชีวิตได้สำเร็จ พลันก็ตรวจตราดูภายในแหวนมิติแห่งชีวิตในทันที

แหวนมิติแห่งชีวิตนั้นมีช่องว่างต่างกับแหวนมิติที่เขาเคยเห็นอย่างสิ้นเชิง โดยปกติแล้วแหวนมิติจะมีลักษณะภายในเป็นทรงสี่เหลี่ยม ทว่าแหวนมิติแห่งชีวิตวงนี้กลับเป็นทรงกลมที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณสิบเซียะ

ภายในนั้นประดับตกแต่งเป็นสวนหย่อมเล็กๆ ถัดออกไปเป็นสระน้ำที่มีต้นไม้ใบหญ้าปลูกเรียงรายอยู่โดยรอบ

“น่าสนใจ”

ภายในห้วงแห่งความคิดของหลงเฉินก็ได้ปรากฏภาพของดอกเบญจมาสมนุษย์เซียนขึ้นมาในทันที พลันก็รีบใช้พลังแห่งจิตวิญญาณอันแรงกล้าขุดพื้นดินภายในแหวนมิติแห่งชีวิตให้เป็นหลุมขนาดเล็กขึ้นมา แล้วนำดอกเบญจมาสมนุษย์เซียนที่พบเจอมาก่อนหน้านี้ปลูกลงไป

เดิมทีแล้วดอกเบญจมาสมนุษย์เซียนที่ถูกถอนออกมาทั้งรากติดดินสามารถชะลอการแห้งเ**่ยวอยู่ภายในขวดหยกได้อีกสามวันเท่านั้น และถึงแม้ว่าจะย้ายมาปลูกในแหวนมิติแห่งชีวิตแล้ว ทว่าก็ไม่อาจที่จะเจริญเติบโตขึ้นไปได้มากกว่านี้ หลงเฉินขอเพียงมันยังไม่ตายก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีอย่างถึงที่สุดแล้ว

ดอกเบญจมาสมนุษย์เซียนที่ยังไม่แห้งเ**่ยวโรยรานั้นมีความบริสุทธิ์มากกว่าดอกที่ตายไปแล้วหลายเท่าตัวนัก ทว่าก่อนหน้านี้หลงเฉินก็ได้เตรียมใจไว้แล้วว่าเรื่องเช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้

แต่ในขณะนี้มีแหวนมิติแห่งชีวิตแล้วก็ถือว่าโชคดีเป็นอย่างยิ่ง ดอกเบญจมาสมนุษย์เซียนของเขาสามารถเบ่งบานต่อไปได้อีกเนิ่นนาน ทว่าแหวนมิติแห่งชีวิตวงนี้เป็นแหวนระดับต่ำจึงไม่อาจทำให้ดอกเบญจมาสมนุษย์เซียนเจริญเติบโตต่อไปได้

“เห็นแกเจ้าและแหวนวงนี้ ข้าจะไม่เอาป้ายหยกของพวกเจ้าก็แล้วกัน” หลงเฉินยังคงมองไปยังแหวนมิติแห่งชีวิตที่สวมอยู่บนนิ้วด้วยความพึงพอใจ

ชายหนุ่มสองคนผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งใจ ทว่ามีเพียงชายหนุ่มผู้มีดวงตาไก่พิฆาตผู้เดียวเท่านั้นที่ทอดวงตาแห่งความเจ็บปวดขึ้นมาคล้ายกับตายไปทั้งเป็น

ถึงแม้ว่าแหวนมิติแห่งชีวิตวงนั้นจะไม่ได้มีประโยชน์มากมายมหาศาล ทว่าเป็นสิ่งเดียวที่เขาสามารถใช้โอ้อวดกับผู้อื่นได้อย่างเชิดหน้าชูตา เพราะเขามั่นใจว่าไม่มีผู้ใดเคยพบเห็นของสิ่งนี้มาก่อนอย่างแน่นอน

เมื่อเห็นหลงเฉินได้ครอบครองแหวนมิติแห่งชีวิตของเขา ภายในจิตใจก็คล้ายกับมีน้ำตาโลหิตหลั่งออกมาจนท่วมท้น

“เจ้าดวงตาไก่พิฆาต……”

“ข้ามีแซ่ว่าจ้าว” ชายหนุ่มผู้มีดวงตาไก่พิฆาตเอ่ยขึ้นมาอย่างเดือดดาล

“เจ้าไก่จ้าว……”

“ข้ามีนามว่าจ้าวเทียนเฮ่า”

“เพียะ”

เสียงปะทะดังขึ้นมาจากใบหน้าของจ้าวเทียนเฮ่า ก่อนที่หลงเฉินจะกล่าวขึ้นมาอย่างขุ่นเคืองว่า “มารดาเถิด เมื่อเห็นหน้าเจ้าแล้วสมควรมีนามว่าดวงตาไก่พิฆาตก็ถูกต้องแล้วไม่ใช่หรือ เจ้ากล้าปฏิเสธข้าได้อย่างไรกัน โทษของเจ้าก็คือการถ่วงน้ำ”

จ้าวเทียนเฮ่าจ้องเขม็งไปที่หลงเฉินอย่างเอาเป็นเอาตาย ทว่ากลับไม่หาญกล้าพอที่จะถกเถียงออกไปได้ เพราะบุคคลผู้นี้ช่างน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง

“ซูม”

ทันใดนั้นหลงเฉินก็ได้สาดผงสีขาวออกไปที่ชายหนุ่มทั้งสามคน กลุ่มคนเหล่านั้นแตกตื่นตกใจขึ้นมายกใหญ่ ทว่ากลับไม่พบความผิดปกติอันใดเกิดขึ้นกับร่างกาย

แต่เมื่อผ่านไปอีกเพียงครู่เดียว พวกเขาก็เริ่มรู้สึกว่าบนร่างกายคล้ายกับมีมดกัดต่อยจนคันอย่างประหลาด โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นบาดแผลจากการปะทะ พลันก็ได้ใช้มือเกาไปทั่วร่างกายอย่างบ้าคลั่ง

“เหอะเหอะ ข้ารู้ว่าพวกเจ้าจะไม่ให้ความร่วมมือ จึงโปรยผงคันให้เล็กน้อย เผื่อจะทำให้พวกเราเจรจากันได้ง่ายขึ้นสักหน่อย”

หลังจากกล่าวจบ หลงเฉินก็ได้ล้วงเอาโอสถเม็ดกลมออกมาสามเม็ดแล้วกล่าวต่ออีกว่า “นี่เป็นโอสถแก้อาการคันในหนึ่งชั่วยาว ขอเพียงพวกเจ้าให้ความร่วมมือ ข้าจะให้โอสถแก่พวกเจ้าเอง

แต่หากพวกเจ้าคิดว่ากระดูกของพวกเจ้านั้นแข็งแรงจึงเลือกที่จะไม้ใช้โอสถนี้ แน่นอนว่าพวกเจ้าคิดผิด ผงคันของข้านั้นพิเศษกว่าผงทั่วไปนัก หากไม่ได้ถลกหนังของพวกเจ้าออกมา ฤทธิ์ของมันย่อมดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนไม่อาจหยุดยั้งได้”

ชายหนุ่มทั้งสามคนทอใบหน้าแตกตื่นขึ้นมายกใหญ่ พลันก็รีบรับโอสถมาจากหลงเฉินแล้วกลืนลงไปอย่างว่าง่าย ทันทีที่กลืนโอสถลงไป อาการคันก็ได้หายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

“เยี่ยม เช่นนั้นจงรับภารกิจของพวกเจ้าไป ข้าต้องการไม้ที่สานกันจนเป็นกรงในรูปแบบที่ข้าต้องการ พวกเจ้าจะต้องทำให้เสร็จภายในเวลาหนึ่งชั่วยาม หากไม่สำเร็จก็จะไม่มีโอสถแก้พิษให้”

ชายหนุ่มทั้งสามคนทอดวงตาโง่งมออกมา หลงเฉินจึงส่งรอยยิ้มกลับไปอย่างเยียบเย็นแล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าจะตะลึงเช่นนี้ต่อไปก็ได้ ข้าเองก็จะรอดูว่าหลังจากหนึ่งชั่วยามไปแล้ว ความเจ็บปวดของพวกเจ้าจะแสดงออกมารุนแรงเพียงใด”

ชายหนุ่มเหล่านั้นทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง พลันก็รีบตะเกียกตะกายแยกย้ายกันออกไปอย่างร้อนรน พวกเขาช่วยกันตัดไม้จากบริเวณโดยรอบเพื่อนำมาสานเป็นกับดักตามที่หลงเฉินสั่งเอาไว้

“ทำงานให้ดี เจ้าดวงตาไก่พิฆาต เจ้าบอกเอาไว้ไม่ใช่หรือว่าสามารถแยกแยะวัตถุได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังลึกล้ำกว่าผู้อื่นอีกด้วย? นั่นเจ้าคิดจะทำกับดักจับปลาหรือเรือจับปลากันแน่? เหตุใดจึงแปลกประหลาดได้ถึงเพียงนั้นกัน?”

ในที่สุดหลงเฉินก็อดที่จะไม่สอดมือเข้ามาช่วยไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรพวกลูกหลานผู้มั่งมีเหล่านี้ก็ไม่เข้าใจในคำสั่งของเขาเสียที

หลังจากที่ช่วยแนะนำไปแล้ว หลงเฉินก็ใช้กับดักที่เขาสร้างเอาไว้หย่อนลงไปในสระน้ำอีกครั้ง ผ่านมาครู่หนึ่งก็ได้เกิดการสั่นไหวของกับดัก หลงเฉินจึงล้วงคลำลงไปภายในกับดักที่กำลังส่งเสียงดังเพียะพ๊ะขึ้นมาไม่หยุด

“เจ็ดตัว!”

การดักจับในครั้งนี้ได้เยอะกว่ารอบแรกถึงเท่าตัว อาจจะเป็นเพราะว่าเขาทิ้งช่วงเวลาที่ให้อยู่ในน้ำนานขึ้นจึงทำให้เหยื่อจึงตายใจมากขึ้น

จากนั้นหลงเฉินก็ได้ล้วงเอามีดสั้นเล่มหนึ่งออกมาเพื่อตัดแบ่งโอสถล่อปลาออกเป็นสองส่วน แล้วโยนลงไปในน้ำหวังจะให้กลิ่นเข้มข้นเพิ่มมากขึ้น ก่อนที่จะหย่อนกับดักกลับลงไปในน้ำอีกครั้ง

หลงเฉินหันใบหน้ากลับไปยังอีกทิศทางหนึ่งก็พบว่าชายหนุ่มทั้งสามยังคงตั้งหน้าตั้งตาสร้างกับดักจับปลาจนสำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว

พวกเขาใช้เวลาไปเกือบครึ่งค่อนวันกว่าจะสานกับดักขึ้นมาได้ตามที่สั่งสอนไป แม้ว่าภายนอกจะไม่น่าดูนัก ทว่ากลไกก็ยังสามารถดักจับปลาเอาไว้ได้โดยไม่หลุดรอดออกมาอย่างแน่นอน

ทันทีที่สานกับดักเสร็จแล้ว ชายหนุ่มทั้งสามคนก็ได้ทอสีหน้าปั้นยากขึ้นมา ทั่วทั้งร่างกายของพวกเขาเริ่มเกิดอาการสั่นเทาขึ้นมาไม่หยุด สัมผัสได้ถึงอาการคันที่คุ้นเคยกำลังจะลุกลาม ทว่าหลังจากที่พวกเขาผ่านประสบการณ์ไปได้ครั้งหนึ่งแล้วจึงไม่ใช้มือเกาไปอย่างบ้าคลั่งอีก กระทำได้แต่เพียงจ้องมองไปที่หลงเฉินด้วยแววตาแห่งความหวัง

หลงเฉินแบ่งโอสถแก้พิษให้พวกเขาซึ่งมีฤทธิ์อยู่ต่อได้อีกสามชั่วยาม หลงเฉินเชื่อว่าพวกเขาคงจะไม่คิดหลบหนีไปอีกแล้ว

จากนั้นชายหนุ่มทั้งสามคนก็เริ่มสานกับดักต่อไปไม่หยุด พลันก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่ามนุษย์นั้นถือว่ากำเนิดมาพร้อมกับพรที่อยู่ในตัวอย่างแท้จริง เมื่อพวกเขายิ่งทำก็ยิ่งเพิ่มพูนทักษะขึ้นมาได้มากขึ้นและรวดเร็วขึ้นด้วย ที่สำคัญก็คือนี่เป็นเรื่องแปลกใหม่ครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดมาที่พวกเขากระทำได้จนสำเร็จ

เวลาล่วงเลยไปถึงหนึ่งวันเต็มๆ แล้วที่พวกเขาวุ่นอยู่กับการสร้างกับดักจับปลา จนบัดนี้ได้กับดักมาทั้งสิ้นสามสิบกว่าชิ้น หลงเฉินนำกับดังเหล่านั้นหย่อนลงสระน้ำโดยทิ้งระยะห่างและระยะเวลาเอาไว้เป็นช่วงๆ จนสามารถจับปลาได้ต่อเนื่องมากว่าสองชั่วยามแล้ว

หลังจากที่หลงเฉินตรวจสอบพบว่าโอสถแก้พิษของเขานั้นมีอยู่จำกัด จึงสั่งให้กลุ่มคนเหล่านั้นหยุดสานกับดักแล้วไปเก็บกับดักที่หย่อนอยู่ในสระน้ำแทน

เมื่อรับปลาฉีหลิงจากกับดักทั้งหมดมาครบแล้ว หลงเฉินก็ได้เปิดดูในแหวนมิติแห่งชีวิตก็พบว่าขณะนี้มีปลาฉีหลิงแหวกว่ายอยู่ในสระกว่าร้อยตัวแล้วจึงให้หยุดการจับปลาเอาไว้แต่เพียงเท่านั้น

จากนั้นพวกเขาก็ได้สุมกองไฟขนาดเล็กขึ้นมาบริเวณริมสระน้ำ ปลาฉีหลิงหลายสิบตัวถูกย่างจนสุก กลิ่นหอมอันเย้ายวนโชยมาเตะจมูกของพวกเขาจนเกิดอาการน้ำลายสอกันไปถ้วนหน้า แม้แต่หลงเฉินเองก็ยังอดไม่ได้ที่จะต้องกลืนน้ำลายลงไปอึกใหญ่

“เอาล่ะ พวกเจ้าก็ได้ลำบากกันมามากแล้ว ปลาเหล่านี้ถือเป็นการเฉลิมฉลองให้กับพวกเราก็แล้วกัน หลังจากกินอิ่มแล้วก็แยกย้ายกันไปได้แล้ว”

หลงเฉินหยิบปลาฉีหลิงย่างสุกขึ้นมาตัวหนึ่ง แล้วให้ฟันอันแหลมคมฉีกไปที่เนื้อหนังของมันในทันที หลังจากที่เนื้อปลากระทบกับลิ้น เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังดิ้นไปมาอยู่ภายในปาก อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมคละคลุ้งขึ้นมา

อาหารมื้อนั้นช่างโอชะและอิ่มหนำสำราญเป็นอย่างยิ่ง หลังจากที่หลงเฉินกินปลาตัวนั้นลงไปในท้องแล้ว ก็ได้แจกจ่ายโอสถแก้คันให้แก่ชายหนุ่มเหล่านั้นก่อนที่จะเดินจากไปในทันที

กลุ่มคนเหล่านั้นมองตามแผ่นหลังที่กำลังจะลับหายไปของหลงเฉิน พลันก็ได้หันมาสบตากันแล้วก้มลงกินปลาย่างเหล่านั้นอย่างบ้าคลั่ง ผ่านไปไม่กี่พริบตาปลาฉีหลิงทั้งหมดสิบกว่าตัวก็ถูกจัดการจนไม่หลงเหลือแม้แต่ก้าง

“หลงเฉินผู้นั้นก็ไม่ได้เลวร้ายมากนัก” ชายผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นมาหลังจากที่กัดส่วนท้องของปลาแล้วเคี้ยวอย่างมูมมาม

“เจ้าอย่าได้เอ่ยคำพูดเช่นนี้ให้พี่เหร่ยได้ยินเชียวนะ และจงจำเอาไว้ว่าต้องภักดีต่อขุมกำลังของตน”ชายหนุ่มผู้มีดวงตาไก่พิฆาตกล่าวขึ้นมา

ชายหนุ่มผู้นั้นจึงรีบพยักหน้าตอบกลับไปอย่างร้อนรน

“เอาเถิด ในเมื่อเรื่องราวก็ได้ผ่านไปแล้ว เช่นนั้นก็อย่าได้เอ่ยมันขึ้นมาอีกเลย หากพี่เหร่ยทราบขึ้นมา คงจะต้องเดือดร้อนกันไปหมดแน่ อาจถึงขั้นไล่พวกเราออกไปก็เป็นได้” ชายหนุ่มผู้มีดวงตาไก่พิฆาตจ้องเขม็งไปที่ชายหนุ่มทั้งสองคน

หลังจากกินกันจนราบคาบแล้ว พวกเขาทั้งสามคนก็ได้เดินทางออกไปจากจุดนั้นทันที

หลงเฉินยังคงเดินทางต่อไปอย่างไม่ลดละจนผ่านหุบเขาลูกเล็กๆ ลูกหนึ่งไป ทันใดนั้นเองที่เบื้องหลังของเขาก็ได้มีเสียงเรียกนามว่าหลงเฉินขึ้นมา ….

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset