เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 150 ผึ้งหยก

หลงเฉินเดินตามเง่าร่างทั้งสองไปกว่าหนึ่งร้อยลี้ จนมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่มีผู้คนรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ ชายผู้หนึ่งสวมชุดเกราะสีทองเอาไว้ทั่วตัว อีกทั้งบนศีรษะยังมีหมวกคล้ายกับนักวิชาการ สวมอยู่ นั่นคือชีซิ่งจริงๆ ด้วย

ที่ด้านข้างของชีซิ่ง ก็ได้มีคนรวมตัวกันอย่างกระจัดกระจาย แต่ละคนต่างก็สวมเอาไว้ด้วยชุดเกราะ สวมเอาไว้ด้วยหน้ากาก ทั้งยังได้ใช้ผ้าปกปิดช่องว่างเอาไว้ด้วย เพียงเผยออกมาแค่เพียงดวงตาสองดวงเท่านั้น

หลงเฉินขมวดคิ้วอยู่ในหมวกเหล็กที่เห็นแต่ดวงตา ผู้คนเหล่านี้สวมชุดเกราะไปเพื่อการอันใดกันแน่นะ? ทันใดนั้นเองก็ได้มีมือหนึ่งตบมาที่หัวไหล่ของหลงเฉินอย่างรุนแรง

“มัวยืนทำอะไรอยู่ รีบไปรวมตัวได้แล้ว” ชายหนุ่มผู้หนึ่งกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงขึงขัง

“ออ”

ทันทีที่ขานรับกลับไปแล้ว หลงเฉินก็ได้จ้วงฝีเท้าติดตามแผ่นหลังของชายหนุ่มผู้นั้นไป จากนั้นผู้คนอีกกว่าสิบคนต่างเดินต่อแถวเข้ากลุ่มใหญ่ด้วยเช่นกันนี้ เห็นได้ชัดว่าหลงเฉินไม่ได้ดูแปลกตาไปจาพวกเขาเลยแม้แต่น้อย

“พี่ใหญ่ชี คนของฝ่ายเราใกล้จะครบแล้ว ฉะนั้นไม่จำเป็นจะต้องรอเวลาอีกแล้ว” คนผู้หนึ่งเดินไปบอกกล่าวต่อชีซิ่งพร้อมทั้งโน้มตัวโค้งคารวะ

ชีซิ่งกวาดสายตามองไปโดยรอบอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าไปมา “คงไม่ต้องรอแล้ว เพียงเท่านี้ก็คงจะเพียงพอแล้วล่ะ”

เมื่อกล่าวจบชีซิ่งก็ได้หันไปถามชายหนุ่มอีกคนหนึ่ง “เป็นอย่างไรบ้าง เจ้าได้ข่าวของหลงเฉินบ้างหรือยัง?”

ชายหนุ่มผู้นั้นส่ายหน้าไปมาแล้วตอบกลับไปว่า “พี่น้องของพวกเราไม่พบร่องรอยของเขาเลย ไม่รู้ว่าเจ้าหนูผู้นั้นกำลังซ่อนตัวเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บอยู่หรือไม่ หลังจากต้องพลังแห่งอัสนีบาตของเหร่ยเชียนซังไปแล้วย่อมไม่อาจทานรับเอาไว้ได้แน่นอน”

“ได้ยินมาว่าเจ้าตัวบัดซบผู้นั้นได้รับความไว้วางใจจากถังหว่านเอ๋อเป็นอย่างยิ่ง ชิ อย่าให้ข้าได้พบเขาก็แล้วกัน

ไม่เช่นนั้นคงจะต้องให้ลิ้มรสแมลงหมื่นพิษจากตระกูลชี ให้ร่างกายได้รู้ว่าอะไรที่เรียกว่ามีชีวิตอยู่ไม่สู้ตายไปเสียยังดีกว่า” ชีซิ่งกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

หลงเฉินส่งเสียงหึหึอย่างแผ่วเบาอยู่ภายในหมวก ข้าก็อยู่เบื้องหน้าของเจ้าแล้วนี่ คิดจะลองใจข้าอย่างนั้นหรือ! ข้ายังไม่ทันจะได้คิดบัญชีกับเจ้าเลยนะ ทว่าเจ้ากลับจะเริ่มจัดการข้าเสียแล้ว

ก่อนจะถึงช่วงเวลาแห่งการเข้ารับการทดสอบ ชีซิ่งได้สั่งให้ลูกน้องค้นหาหลงเฉินเพื่อจับมาก้มหัวสำนึกผิด ทว่าผลสุดท้ายแล้วกลับพ่ายแพ้ให้กับเสี่ยวเสว่ยอย่างราบคาบจนต้องอับอายต่อหน้าผู้คนมากมาย ฉะนั้นเขาจึงเกลียดชังหลงเฉินจนเข้ากระดูกดำ

หลังจากมีแผนที่แล้วชีซิ่งก็ได้พยายามเสาะหาหลงเฉินมาโดยตลอด ทว่าแผนที่ในการทดสอบช่างกว้างใหญ่จนเกินไป ไม่ต่างอะไรไปจากการงมเข็มในมหาสมุทรเลยแม้แต่น้อย

“เอาล่ะ ทุกคนจงฟังเอาไว้ให้ดี ที่เรียกมารวมกันในครั้งนี้ก็เพื่อจะต่อกรกับผึ้ง เป้าหมายของพวกเราก็คือน้ำผึ้งนั่นเอง” ชีซิ่งกล่าวต่อหน้าผู้คนมากมาย

เหล่าพวกพ้องต่างก็มีสีหน้าประหลาดใจขึ้นมาอย่างถึงที่สุด แค่การขโมยน้ำผึ้งจำเป็นจะต้องรวบรวมกำลังพลมามากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ?

“ที่พวกเรากำลังจะเผชิญหน้าในภายหลังจากนี้ไม่ใช่ผึ้งธรรมดา ทว่าเป็นสัตว์มายา——ผึ้งหยก” ชีซิ่งรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของพวกพ้องจึงกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาในทันที

เมื่อได้ยินคำว่าผึ้งหยก ผู้คนไม่น้อยก็ได้ทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ผึ้งหยกเป็นสัตว์มายาที่มีรูปลักษณ์สวยงาม เมื่อเข้าสู่ช่วงโตเต็มวัยแล้วจะมีปีกคล้ายกับผีเสื้อ ตัวของมันจะแวววาวผุดผ่อง ประดุจหินหยกชิ้นหนึ่ง

ทว่าผึ้งหยกกลับมีขนาดเพียงหนึ่งฝ่ามือเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นเพียงสัตว์มายาระดับหนึ่ง ไม่มีทั้งแกนกลางและปราณภายใน ซึ่งไม่ต่างอะไรจากแมลงชนิดหนึ่ง

แต่ที่พวกเขาเป็นกังวลอยู่นั่นก็คือพิษอันรุนแรงของมัน ถึงแม้ว่าจะไม่มีอันตรายถึงชีวิต ทว่าหากถูกโจมตีด้วยเหล็กในเพียงครั้งเดียวแล้ว ย่อมรู้สึกเจ็บปวดจนไม่อยากที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกเลย

และผึ้งหยกก็ยังอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มใหญ่ รังหนึ่งอาจมีจำนวนตั้งแต่พันไปจนถึงหมื่นตัว หากถูกเหล็กในของผึ้งหยกฝังลงไปในผิวหนังเพียงสิบตัว แน่นอนว่าคงจะเจ็บปวดจนแทบคลั่งตายไปแน่นอน

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะสวมชุดเกราะเอาไว้ ทว่ากลับมีช่องว่างอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นที่ไหล่ ข้อศอก รวมไปถึงจุดซ่อนเร้น จึงไม่อาจป้องกันการโจมตีจากผึ้งหยกได้ทั้งหมด

ผู้คนมากมายส่งเสียงดังเซ็งแซ่เพราะเกิดความหวาดหวั่นขึ้นมาภายในจิตใจ ถึงแม้ว่าใบหน้าจะถูกปกปิดเอาไว้ด้วยหมวกเหล็ก ทว่าดวงตาทุกคู่กลับปรากฏความหวาดกลัวจนสั่นเครืออย่างเห็นได้ชัดเจน

“พวกเจ้าอย่าได้หวาดกลัวไป พวกเรามีจำนวนมากกว่าจึงสามารถใช้พลังจัดการไปที่รังผึ้งได้เลย จากนั้นก็เก็บผึ้งเก็บในรังแล้วรีบจากไป

ขอเพียงลงมือด้วยความรวดเร็วย่อมไม่มีปัญหาอันใดอย่างแน่นอน และข้าหวังว่าภารกิจแรกที่กระทำร่วมกันในครั้งนี้จะทำให้พวกเราสนิทกันมากขึ้น” ชีซิ่งกล่าว

เห็นได้ชัดว่าคำพูดของชีซิ่งนั้นชัดเจนยิ่งนัก ถึงแม้ว่าพวกเขาจะได้เข้าเป็นขุมกำลังแล้ว ย่อมต้องทำงานด้วยความจริงใจ ผู้ใดไม่ออกแรกก็อย่าได้โทษหากถูกขับไล่ออกไป แน่นอนว่าผู้คนทั้งหลายเกรงกลัวว่าชีวิตที่อยู่ภายในหมู่ตึกคงจะต้องลำบากหากไม่ทำภารกิจนี้

“ตามข้ามา”

ชีซิ่งเดินนำขุมกำลังทั้งหมดไปยังเบื้องหน้า โดยหนึ่งในนั้นก็มีหลงเฉินตามไปพร้อมกับจิตใจที่เกิดความลิงโลดอย่างไม่เสื่อมคลาย

เขาทราบข้อมูลเกี่ยวกับผึ้งหยกเป็นอย่างดี ที่น่าสนใจที่สุดก็คือน้ำผึ้งจากราชินีผึ้งหยก เพียงแต่ไม่แน่ใจว่ารังของผึ้งหยกที่กำลังจะไปขโมยน้ำผึ้งในตอนนี้จะมีราชินีผึ้งหยกอยู่หรือไม่

ราชินีผึ้งหยกที่โตเต็มวัยจะสามารถพัฒนาเป็นสัตว์มายาได้ ทว่าผึ้งหยกธรรมดาจะไม่สามารถเลื่อนขั้นได้นับตั้งแต่ที่เกิดมาจนถึงช่วงที่ตายไป ถือเป็นแมลงตัวหนึ่งเท่านั้น

ราชินีผึ้งหยกจะแตกต่างออกไป ร่างกายของมันจะใหญ่โต โดยส่วนมากแล้วราชินีผึ้งหยกจะต้องมีอายุมากกว่าร้อยปีขึ้นไปจึงจะกลายเป็นสัตว์มายาระดับหนึ่งได้

ส่วนการคงอยู่สามร้อยปีขึ้นไปจึงจะสามารถเลื่อนขั้นเป็นสัตว์มายาระดับสอง ซึ่งระดับนี้จึงจะสามารถสร้างรังผึ้งหยกขึ้นมาได้

น้ำผึ้งจากผึ้งหยกธรรมดาจะมีฤทธิ์ระงับประสาท ระงับความเจ็บปวด และความสามารถแก้พิษอันเบาบางได้ ซึ่งผลลัพธ์เช่นนี้เปรียบเสมือนเป็นโอสถเม็ดหนึ่งได้เลยทีเดียว

ส่วนน้ำผึ้งจากราชินีผึ้งหยกนั้นมีค่ามากกว่าหลายเท่าตัว หากผู้ฝึกยุทธ์ได้ดื่มกินเข้าไปคำหนึ่งก็จะสามารถจัดการกับห้วงแห่งความคิดอันว้าวุ่นของตัวเองได้อย่างรวดเร็วจนทำให้เพิ่มพูนระดับสมาธิในการฝึกยุทธ์ได้ง่ายดายยิ่งขึ้น

หลงเฉินมีป้ายหยกประหลาดจากบิดาและมารดาที่แม้จริงแล้วจึงไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ของเช่นนั้นอีก ทว่าพวกคนเหล่านี้กลับต้องการเป็นอย่างยิ่ง

หากเป็นมุมของผู้อื่นแล้วก็คงจะยกให้น้ำผึ้งจากราชินีผึ้งหยกเป็นดั่งสมบัติล้ำค่าที่ไม่อาจใช้เงินทองเป็นหมื่นแสนมาแลกเปลี่ยนได้เลย

ถึงแม้ว่าหลงเฉินจะไม่ต้องการนำมาใช้ ทว่าเขาก็ยังสามารถนำมันไปขายหรือแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งของที่ตัวเองต้องการได้ สิ่งของชิ้นนี้จึงมีค่ามากเสียยิ่งกว่าเงินตราอย่างไม่ต้องสงสัย

หลังจากที่เดินทางตามขุมกำลังของชีซิ่งมาไกลกว่าสิบลี้แล้ว ภายในโสตประสาทของหลงเฉินก็เริ่มได้ยินเสียงดังฮึมๆ ขึ้นมาเป็นระลอก เมื่อมองไปรอบบรรยากาศก็พบว่ามีสัตว์บินได้ขนาดเท่าฝ่ามือ กำลังลอยระบำกันอยู่

แม้ว่าผึ้งหยกจะมีรู้ลักษณ์สวยงามคล้ายกับผีเสื้อ ทว่าการเคลื่อนไหวของมันกลับว่องไวและโฉบเฉี่ยวกลมกลืนไปกับสายลม

“จำเอาไว้ อย่าได้สังหารผึ้งหยกเหล่านี้แม้แต่ตัวเดียว ไม่เช่นนั้นมันจะชักนำพวกมามากขึ้น” ชีซิ่งกล่าวขึ้นมาในขณะที่ย่องฝีเท้าไปด้านหน้าอย่างระมัดระวัง

หลงเฉินแสยะยิ้มขึ้นมาในทันที เหอะเหอะ ถึงกับทราบนิสัยของผึ้งหยกในข้อนี้ด้วย ดูเหมือนว่าเจ้าคงจะจริงจังกับการลงมือในครั้งนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว

หลังจากที่มุ่งหน้าไปได้อีกระยะหนึ่ง ผู้คนที่อยู่แถวหน้าสุดก็ค่อยๆ ลดฝีเท้าให้ช้าลง พลันก็พบว่าที่เบื้องหน้าของพวกเขามีรังผึ้งขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมาหนึ่งรัง

สิ่งนั้นแตกต่างจากรังผึ้งตามปกติที่มักแขวนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ ทว่ารังผึ้งในตอนนี้กลับเป็นเสมือนบ้านขนาดมหึมาหลังหนึ่งที่ถูกสร้างอยู่บนศิลาก้อนใหญ่

ลักษณะภายนอกคล้ายกับไข่ห่านใบโตที่มีความสูงกว่าสิบเซียะ ภายนอกมีสารเหลวสีหยกเคลือบเอาไว้โดยรอบ บางส่วนที่ถูกแสงอาทิตย์ตกกระทบก็ได้เกิดประกายแวววาวขึ้นมา ผึ้งหยกจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนผลุบเข้าออกอยู่ภายในนั้น ให้ความรู้สึกยุ่งเหยิงและขนหัวลุกชัน

หลงเฉินกวาดสายตามองไปที่รังผึ้งอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง พบว่าที่ปากทางเข้าออกของรังผึ้งมีผึ้งที่มีลวาดลายต่างกันอยู่สามแบบ พลันก็ได้ฉีกยิ้มกว้างขึ้นมาที่มุมปาก: เหอะเหอะ มีเรื่องสนุกให้ทำแล้ว

“ลองเข้าไปสำรวจสถานการณ์กันก่อนเถิด” ชีซิ่งมองไปที่รังผึ้งแล้วกล่าวขึ้นมา

หลังจากที่กล่าวจบสิ้นเสียงของชีซิ่ง ก็ได้มีเงาร่างพุ่งทะยานไปยังเบื้องหน้าของรังผึ้งในทันที ชีซิ่งพยักหน้าไปมาอย่างพึงพอใจ ส่วนคนอื่นๆ ก็ได้แต่สบตามองกันแล้วถอนหายใจออกมา พร้อมทั้งมองไปยังเงาร่างทั้งสามที่กำลังสร้างความดีความชอบต่อหน้าชีซิ่ง

หลงเฉินแสยะยิ้มเย้ยหยันขึ้นมาแล้วด่าทออยู่ภายในใจ: ช่างสมกับเป็นการรวมตัวของพวกโง่งมเสียจริง พวกเจ้าต้องการได้หน้าถึงเพียงนั้นเชียวหรือ คิดว่าชีซิ่งจะจดจำใบหน้าของพวกเจ้าได้หรือ? ข้าคิดว่าพวกเจ้าควรแนะนำตัวเองออกไปเสียหน่อยนะ เหอะเหอะ

ชายชุดเกราะทั้งสามคลานไปตามพื้นดินอย่างช้าๆ เพื่อไม่ทำให้ผึ้งหยกที่กำลังง่วนอยู่กับการผลุบเข้าออกอยู่นั้นรู้สึกถึงภัยคุกคาม

ในขณะที่ชายชุดเกราะทั้งสามคนเริ่มเข้าไปใกล้รังผึ้งแล้ว ผู้คนที่ยืนมองอยู่ทางด้านหลังต่างก็หรี่ดวงตาลง แม้แต่ชีซิ่งเองก็ยังทอสีหน้าร้อนรนออกมาอย่างเห็นได้ชัด

ถึงแม้ว่าจะไม่ได้คาดหวังว่าทั้งสามคนนั้นจะขโมยน้ำผึ้งกลับมาได้ ทว่าขอเพียงให้พวกเขาเห็นสภาพภายในรังผึ้งก็ยังดี แล้วกลับมาวางแผนเพื่อขโมยรังผึ้งกันอีกที

ในช่วงที่พวกเขาเข้าไปใกล้รังผึ้งในระยะห้าสิบเซียะนั้น ผึ้งหยกที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างวุ่นวายอยู่เมื่อครู่ก็ได้หยุดการเคลื่อนไหวลงไปในทันที

“แย่แล้ว รีบถอยเร็ว” ชีซิ่งทอสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วรีบตะโกนออกไป

ผึ้งหยกกว่าร้อยตัวพุ่งโจมตีเข้าไปยังชายหนุ่มที่คลานอยู่บนพื้นอย่างรวดเร็ว พวกเขาแตกตื่นตกใจขึ้นมายกใหญ่พลันก็รีบวิ่งย้อนกลับมายังกลุ่มคน ทว่าหนึ่งในนั้นวิ่งกลับมาได้ช้ากว่าจึงถูกผึ้งหยกตัวหนึ่งจิ้มเหล็กในเข้าไปที่หัวไหล่

“อา……” คนผู้นั้นส่งเสียงร้องขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด

พิษของผึ้งหยกนั้นแปลกประหลาดอย่างพิษของสัตว์ชนิดอื่น หากผู้ใดถูกเหล็กในทิ่มแทงลงไปบนร่างกายก็จะรู้สึกเจ็บปวดลุกลามไปยังสติสัมปชัญญะได้เลย หากเป็นผู้ที่มีพลังการฝึกยุทธ์ที่สูงล้ำมากก็ยิ่งมีประสาทการรับรู้ที่ฉับไวยิ่งขึ้น คนผู้นั้นย่อมได้รับความเจ็บปวดที่มากขึ้นไปด้วย

หลังจากที่ถูกต่อยไปครั้งหนึ่งแล้ว คนผู้นั้นก็ได้ตอบโต้กลับไปในทันที พลันก็ได้สะบัดมือปัดไปทั่วทั้งร่างกายพัลวัน

“อย่า!” ชีซิ่งตะโกนออกไปอย่างเกรี้ยวกราด

ทว่าในขณะที่เสียงตะโกนกำลังดังกึกก้องไปทั่วทั้งบริเวณนั้น คนผู้นั้นกลับตะปบไปที่ผึ้งหยกจนแหลกเป็นผุยผง

“ตึง”

หลังจากที่ผึ้งหยกตัวนั้นถูกสังหารลงไป ทั่วทั้งรังผึ้งทางด้านหลังก็ได้เกิดสั่นไหวไปมาอย่างรุนแรง ชีซิ่งปากอ้าตาค้างขึ้นมาในทันที บริเวณปากทางเข้าออกของรังผึ้งได้มีผึ้งหยกนับไม่ถ้วนหลั่งไหลออกมาประดุจเขื่อนน้ำแตกอย่างไรอย่างนั้น

“หนีเร็ว”

ในตอนนี้รังผึ้งได้แตกฮือแล้ว ผู้คนมากมายจึงพากันหลบหนีอย่างวุ่นวายและบ้าคลั่ง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะพยายามออกตัวเร็วอย่างไม่คิดชีวิต ทว่าก็ไม่อาจสู้ความว่องไวของผึ้งหยกได้ ผ่านไปเพียงพริบตาเดียวก็มีผู้คนกว่าสี่ห้าคนถูกผึ้งหยกต่อยเข้าไปจนส่งเสียงกรีดร้องขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด

หลงเฉินมองดูเด็กน้อยกลุ่มหนึ่งที่ถูกเหล็กในของผึ้งหยกฝังอยู่บนร่างกายจนร้องไห้กันระงมก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมาในใจ ไม่มีการเตรียมการใดใดยังกล้าไปต่อกรกับผึ้งหยก นี่ไม่ต่างอันใดไปจากการรนหาที่ตายแล้ว

ผึ้งหยกมากมายบินวนไปมาทั่วทั้งบรรยากาศด้วยความเกรี้ยวกราดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้กลับเข้ารังไป วินาทีนั้นผู้คนนับสิบคนก็ได้ล้มลงกับพื้นพร้อมทั้งร้องโอดครวญอย่างบ้าคลั่งประดุจสุกรถูกเชือดอย่างไรอย่างนั้น

“โครมโครมโครม……”

ชีซิ่งสะบัดมือไปมา ก้อนวารีนับสิบลูกถูกสาดไปที่ศีรษะของผู้คนเหล่านั้นอย่างรุนแรง ทันใดนั้นก็ทำให้พวกเขาสลบเหมือดราวกับตายไป เสียงร้องครวญครางหยุดลงในทันที

ชีซิ่งทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ยังไม่ทันจะได้ตรวจสอบสภาพภายในของรังผึ้งก็ถูกจู่โจมจนวงแตกไปเสียแล้ว ภายในจิตใจของเขาจึงบังเกิดเพลิงโทสะขึ้นมาท่วมท้น

ขุมกำลังทั้งหมดตกอยู่ในความเงียบงัน อีกทั้งยังปากอ้าตาค้างแทบจะทั้งสิ้น เสียงร้องของสหายเมื่อครู่นี้ยังคงดังกึกก้องอยู่ภายในโสตประสาทของพวกเขาอย่างไม่เสื่อมคลาย ผึ้งหยกเหล่านั้นช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว

ในขณะที่บริเวณไร้ซึ่งซุ่มเสียงประดุจป่าช้าแห่งหนึ่ง หลงเฉินก็ได้เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าว่า “ข้ามีวิธีหนึ่งที่พอจะนำน้ำผึ้งออกมาได้”….

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset