เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 162 ความน่ากลัวของการทดสอบ

“มารร้าย?”

 

 

 

 

 

 

 

เป็นการเรียกขานที่ไม่คุ้นหูของผู้ใดเอาเสียเลย แม้แต่หลงเฉินก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อน ทว่าภายในจิตใจของเขากลับสัมผัสได้อย่างฉับไวขึ้นมาตั้งแต่ครั้งแรกแล้วว่าถ้ำเหล่านั้นต่างก็มีพลังสภาวะอันชั่วร้ายและเก่าแก่ประดับเอาไว้อยู่

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินกวาดสายตามองไปโดยรอบก็พบว่าทุกผู้คนต่างก็ทอสีหน้าโง่งมขึ้นมาอย่างรุนแรง เห็นได้ชัดว่าการทดสอบในรอบสุดท้ายนี้คงจะเป็นความลับอย่างถึงที่สุด

 

 

 

 

 

 

 

จากนั้นเขาก็ได้หันมาทางถังหว่านเอ๋อ ทว่าใบหน้าของนางกลับไม่มีความแตกตื่นใดใด ดูเหมือนว่านางคงพอจะทราบมาบางแล้วว่า ‘มารร้าย’ ที่ว่านั้นคือสิ่งใด

 

 

 

 

 

 

 

“มารร้ายที่ข้าเอ่ยขึ้นมานั้นไม่ใช่เหล่าภูตผีปีศาจที่มาจากเทพนิยายโบราณอย่างที่พวกเจ้าคิด ทว่าเป็นการคงอยู่ของผู้ฝึกยุทธ์ระดับมารร้าย

 

 

 

 

 

 

 

ฉะนั้นบททดสอบในครั้งนี้ก็คือให้พวกเจ้าจัดการผู้ฝึกยุทธ์เหล่านั้นให้พ่ายแพ้ลงไปด้วยการตัดศีรษะของพวกเขามา เช่นนั้นจึงจะถือว่าผ่านการทดสอบ” เมื่อกล่าวมาถึงประโยคสุดท้าย ผู้อาวุโสถู่ฟางก็ได้เน้นย้ำขึ้นมาทีละคำอย่างจงใจ

 

 

 

 

 

 

 

ผู้คนทั้งหมดทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง พร้อมทั้งจ้องมองไปยังผาศิลาที่อยู่เบื้องหน้าอย่างลนลาน

 

 

 

 

 

 

 

“ถ้ำที่อยู่เบื้องหน้าสายตาของพวกเจ้าต่างก็มีผู้ฝึกยุทธ์ระดับมารร้ายอยู่ วิชาที่พวกเขาฝึกฝนมาทั้งหมดนั้นแตกต่างจากที่พวกเจ้าฝึกมาโดยสิ้นเชิง ทั้งโหดเ**้ยมและดุดันกว่า พวกเขาเหล่านั้นสามารถปะทุพลังออกาได้มากกว่าสัตว์มายาตัวหนึ่ง เช่นนี้ข้าจะให้พวกเจ้าเลือกอีกครั้ง จะยอมแพ้ไปตอนนี้ก็ยังไม่สาย จงคิดให้ดีล่ะ” ถู่ฟางกล่าว

 

 

 

 

 

 

 

ทั่วทั้งบริเวณแห่งนั้นตกอยู่ในความเงียบงันประดุจป่าช้า ในขณะนี้หลงเหลือผู้เข้ารับการทดสอบอยู่เพียงน้อยนิด ทว่าผู้อาวุโสถู่ฟางก็ยังกล่าวเช่นนั้นออกมาจนทำให้ผู้คนไม่น้อยเกิดความหวาดหวั่นอย่างถึงที่สุด

 

 

 

 

 

 

 

“อย่าได้เกรงกลัวต่อการข่มขวัญเช่นนั้น ในเมื่อเข้ามาถึงรอบนี้ได้แล้วมีหรือที่ผู้มีพรสวรรค์อย่างพวกเราจะต้องมาหวาดกลัวต่อคำพูดเช่นนั้นอีก? ชิ หากพวกเจ้าไม่กล้า ข้า….หลี่ฉางเฟิงก็จะเป็นคนแรกที่เข้าไปก็แล้วกัน”

 

 

 

 

 

 

 

ชายหนุ่มผู้หนึ่งก็เดินฝ่าผู้คนมากมายออกไป ใบหน้าดุร้ายจ้องมองไปยังถ้ำที่อยู่ด้านหน้า ในมือมีกระบี่ยาวเล่มหนึ่งอยู่ บรรยากาศบนร่างกายเปี่ยมไปด้วยพลังโลหิตไหลเวียนจนท่วมท้นออกมา เห็นได้ชัดว่าเขาก็เป็นยอดฝีมือที่เก่งกาจผู้หนึ่งเลยทีเดียว

 

 

 

 

 

 

 

“คิดให้ดี นี่ไม่ใช่การต่อสู้ที่เจ้าเคยพบเจอมา ทว่าเป็นการต่อสู้เพื่อตัดสินความเป็นตาย หากสูญเสียความตั้งใจก็มีแต่ต้องทิ้งชีวิตของตัวเองไปก็เท่านั้น” ถู่ฟางกล่าวเตือนสติ

 

 

 

 

 

 

 

“ท่านผู้อาวุโสโปรดวางใจเถิด ข้าได้ตัดสินใจอย่างรอบคอบแล้ว” ชายหนุ่มที่มีนามว่าหลี่ฉางเฟิงตอบกลับไป

 

 

 

 

 

 

 

ถู่ฟางถอนหายใจออกมาอย่างอับจนปัญญา เหตุใดจะต้องมีการทดสอบเช่นนี้ด้วยกัน? นี่เป็นลิขิตจากสวรรค์หรือเพียงต้องการกลั่นแกล้งผู้คนกัน?

 

 

 

 

 

 

 

“หากเจ้าคิดจะเป็นคนแรกก็มาเถิด จงเลือกถ้ำที่คิดว่าเหมาะสมกับพลังฝีมือของตัวเอง ถ้าหากรู้สึกว่าไม่อาจเอาชนะได้ก็ให้รีบถอยออกมาจากถ้ำในทันที เพื่อเป็นการรักษาชีวิตของเจ้าเอาไว้” ถู่ฟางย้ำเตือนอีกครั้ง ในขณะเดียวกันก็คล้ายกับบอกต่อผู้คนที่กำลังฟังอยู่ด้วย

 

 

 

 

 

 

 

ทันใดนั้นเองแท่นศิลาที่อยู่เบื้องหน้าก็ได้เปล่งประกายแสงสว่างวาบไปทั่วทั้งหน้าผาสูงชันแห่งนั้น ให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาด มีสิ่งใดซ่อนอยู่ในที่แห่งนั้นกันนะ?

 

 

 

 

 

 

 

“ขอบคุณท่านผู้อาวุโส ศิษย์เลือกได้แล้ว”

 

 

 

 

 

 

 

ชายหนุ่มที่มีนามว่าหลี่ฉางเฟิงกล่าวขึ้นมาด้วยความเชื่อมั่นในตัวเองอย่างเต็มเปี่ยม พลันก็ได้หันหลังกลับแล้วกล่าวว่า “ข้าน้อยเป็นขุมกำลังของพี่ใหญ่เหร่ยผู้กล้าหาญชาญชัยเหนือฟ้าดิน ข้าจึงอยากจะแสดงความภักดีต่อขุมกำลังให้ถึงที่สุด

 

 

 

 

 

 

 

ข้าจะไม่ขอกล่าววาจาไร้สาระให้มากความ ทว่าจะขออาสาเป็นตัวแทนของขุมกำลังเพื่อแสดงถึงความรุ่งโรจน์ของพี่ใหญ่เหร่ยที่ข้านับถือยิ่งชีพ”

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินขมวดคิ้วเข้มขึ้นมา เช่นนี้ก็ได้ด้วยหรือ? ถึงกับต้องประกาศตัวอย่างชัดเจนเช่นนี้ด้วยหรือ? ส่วนเหร่ยเชียนซังที่ฟังอยู่ภายในท่ามกลางกลุ่มคนก็ได้พยักหน้าไปมาอย่างพึงพอใจ การมีลูกน้องที่รู้งานเช่นนี้ย่อมมีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

“อยากจะทราบนักว่าเขาจะเข้าไปท้าทายในระดับใดกัน”

 

 

 

 

 

 

 

“ดูจากท่าทีที่โอ้อวดถึงเพียงนั้นแล้วย่อมต้องเป็นระดับชั้นในอย่างแน่นอน”

 

 

 

 

 

 

 

“น่าจะใช่ ไม่เช่นนั้นคงจะไม่ผายลมออกมาใหญ่โตถึงเพียงนี้ หากทำไม่ได้ก็คงจะไม่ต่างไปจากการตบหน้าตัวเองอย่างรุนแรงแล้ว”

 

 

 

 

 

 

 

ผู้คนมากมายคาดเดาไปต่างๆ นานาว่าชายหนุ่มวางมาดผู้นั้นจะเลือกเข้าถ้ำใด จากนั้นเขาก็เดินไปจนถึงหน้าผาอันสูงชันแล้วเลือกแท่นหินที่มีความสูงประมาณหนึ่งเซียะ

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากที่ชายหนุ่มผู้นั้นยืนอยู่บนแท่นหินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่านผู้เฒ่าคนหนึ่งก็ได้เอ่ยถามขึ้นมา ว่า “เจ้าจะเข้าถ้ำแห่งนั้นจริงหรือ?”

 

 

 

 

 

 

 

“แถวล่างสุด ถ้ำทางขวาสุด” ชายหนุ่มผู้นั้นตอบออกมาอย่างรวดเร็วราวกับว่าไม่ได้คิดอะไร

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากกล่าวจบ ผู้คนมากมายก็ได้ส่งเสียงดังขึ้นมา เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการฝึกยุทธ์ย่อมแบ่งตามความสูงต่ำและซ้ายขวา การที่แถวล่างทางขวาสุดนั้นหมายถึงจุดที่ง่ายที่สุด

 

 

 

 

 

 

 

ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มผู้นั้นกล่าววาจาเสียใหญ่โต ทว่าผลสุดท้ายกลับเลือกการทดสอบที่ง่ายที่สุดไป จึงทำให้ผู้คนไม่น้อยกร่นด่าขึ้นมาในทันที

 

 

 

 

 

 

 

“เจ้าตัวบัดซบผู้นี้ช่างไร้ยางอายเสียเหลือเกิน พูดจาโอ้อวดเสียใหญ่โต ทว่ากลับทำสิ่งที่น่าละอายอย่างถึงที่สุด”

 

 

 

 

 

 

 

ทว่าชายหนุ่มผู้นี้กลับไม่ได้โง่งมเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังเป็นผู้ที่ฉลาดปราดเปรื่องเป็นอย่างยิ่ง ในเมื่อเป็นผู้ลงมือก่อนย่อมต้องคว้าสิ่งที่ได้เปรียบก่อน

 

 

 

 

 

 

 

“เด็กน้อยที่ไร้ยางอายผู้นี้ไม่ต่างจากเจ้าเลยนะ เป็นพี่น้องที่พลัดพรากกันไปหรืออย่างไรกัน?” ถังหว่านเอ๋อยิ้มกรุ้มกริ่มขึ้นมาแล้วกล่าวออกไปอย่างแผ่วเบา

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินส่ายหน้าแล้วตอบกลับไปว่า “ข้าไม่มีพี่น้องที่ชีวิตสั้นเช่นนั้น ข้าดูดวงชะตาจากใบหน้าของเขาแล้ว เกรงว่าเขาคงจะต้องกลับมาเกิดอีกชาติหนึ่งแน่นอน……”

 

 

 

 

 

 

 

“อา”

 

 

 

 

 

 

 

ในขณะที่หลงเฉินกำลังพูดกับถังหว่านเอ๋ออยู่นั้น เสียงกรีดร้องก็ได้ดังขึ้นมาจากถ้ำแห่งนั้น เพียงเหยียบย่ำเข้าไปได้หนึ่งลมหายใจ ชายหนุ่มที่มีนามว่าหลี่ฉางเฟิงก็ได้กรีดร้องขึ้นมาพร้อมกับมีฝนโลหิตที่สาดกระเซ็นออกมาจากปากถ้ำ

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินมองไปที่ถ้ำแห่งนั้นด้วยสีหน้าฉงนสงสัย เท้าข้างหนึ่งก้าวออกไปทางด้านหน้า ใช้ร่างกายของตัวเองบดบังสายตาของถังหว่านเอ๋อเอาไว้

 

 

 

 

 

 

 

ผู้คนทั่วทั้งบริเวณเกิดอาการตื่นตกใจขึ้นมายกใหญ่ บางคนถึงกับอาเจียนออกมาในทันที เมื่อเห็นร่างของชายหนุ่มผู้นั้นแยกออกเป็นสองส่วน กายเนื้อถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ กลิ่นคาวโชยพัดมาตามสายลมอย่างรุนแรง

 

 

 

 

 

 

 

“หลงเฉิน หลบไป ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องเผชิญหน้ากับสิ่งนั้นอยู่ดี เช่นนั้นก็ควรจะเผชิญหน้าตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่ดีกว่าหรือ” ถังหว่านเอ๋อมองไปยังแผ่นหลังของหลงเฉินที่เบี่ยงเข้ามาเพื่อบดบังวิสัยทัศน์ นางทราบดีว่าหลงเฉินกำลังปกป้องความรู้สึกของนางอยู่

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินพยักหน้าไปมา ที่ถังหว่านเอ๋อกล่าวมานั้นถือว่าถูกต้องที่สุด หากคิดจะเข้าสู่เส้นทางแห่งผู้ฝึกยุทธ์แล้ว มีหรือที่จะไม่พบกับความตาย? แม้แต่เหตุการณ์เช่นนี้ยังผ่านไปด้วยตัวเองไม่ได้ ก็อย่าหวังจะเดินทางต่อในเส้นทางแห่งผู้ฝึกยุทธ์เลย

 

 

 

 

 

 

 

ที่หลงเฉินกระทำเช่นนั้นก็เพราะว่าการที่จะให้หญิงสาวผู้บอบบางและงดงามต้องมาพบเจอกับความน่าหวาดกลัวเช่นนั้นย่อมไม่เหมาะสมนัก ทว่าท้ายที่สุดแล้วเขาก็ค่อยๆ หลบออกไปยืนที่จุดเดิม

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อเห็นชายผู้นั้นกลายเป็นเพียงร่างที่ไร้วิญญาณไปแล้ว ถังหว่านเอ๋อก็เกิดอาการสั่นเทาขึ้นมาเล็กน้อย ใบหน้าอันขาวผ่องซีดเผือดลงไป อีกทั้งยังแสดงท่าทีราวกับว่าจะคลื่นไส้ออกมา

 

 

 

 

 

 

 

ทันใดนั้นก็มีมือใหญ่ข้างหนึ่งแตะมาที่บ่าของนางเบาๆ พลังปราณอันอบอุ่นไหลเวียนเข้ามาภายในร่างกายอย่างท่วมท้นจนทำให้อาการคลื่นไส้สลายหายไปในทันที

 

 

 

 

 

 

 

“ขอบใจเจ้ามาก ข้าดีขึ้นแล้ว”

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อมองไปที่ใบหน้าเฉยเมยของหลงเฉินแล้วเอ่ยออกไปด้วยความตื้นตันใจ หากไม่ได้หลงเฉินช่วยเอาไว้ นางก็คงจะอาเจียนออกไปให้อับอายผู้อื่นเสียแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

ผู้คนทั้งหมดมีสีหน้าซีดเผือดลงไปอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะขุมกำลังของเหร่ยเชียนซัง ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยเห็นคนตายมาก่อน ทว่าการตายอย่างโหดเ**้ยมเช่นนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ได้พบเจอ

 

 

 

 

 

 

 

“ซูม”

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อเห็นว่าผู้เข้าร่วมการทดสอบตื่นตาตื่นใจมากพอสมควรแล้ว หลงเฉินก็ได้ปล่อยลูกเพลิงลอยออกไปตกกระทบบนร่างไร้วิญญาณของชายหนุ่มผู้นั้น ความร้อนระอุที่สูงล้ำจนน่าหวาดกลัวทำให้กายเนื้อสองส่วนนั้นถูกเผาจนเป็นเถ้าถ่านภายในพริบตาเดียว

 

 

 

 

 

 

 

ถู่ฟางทอดสายตาไปที่หลงเฉินด้วยความชื่นชมอย่างเต็มเปี่ยม หลงเฉินผู้นี้ก็ช่างเข้าใจ รู้ว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควรปล่อยปะละเลย ทราบว่าควรตะทำลายศพก่อนที่ผู้คนจะแตกตื่นเสียยิ่งกว่านี้

 

 

 

 

 

 

 

“คนที่เบาปัญญาย่อมไม่ทราบว่าตัวเองนั้นเบาปัญญา” ถู่ฟางกวาดสายตาไปโดยรอบแล้วกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาต่ออีกว่า “ก่อนหน้านี้ข้าได้กำชับพวกเจ้าแล้ว คิดว่าคำพูดของข้าเป็นเพียงการผายลมเพื่อข่มขวัญพวกเจ้าหรือ”

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อกล่าวมาถึงตอนท้าย สีหน้าของถู่ฟางก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็นประดุจธารน้ำแข็ง ดวงตาทั้งสองสาดบันดาลโทสะขึ้นมาอย่างรุนแรง พลังกดดันอันมหาศาลแผ่ออกมาอย่างเดือดดาล เขากำลังโกรธขึ้นมาแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

“ประจักษ์แก่สายตาของพวกเจ้าแล้วหรือยัง? ข้าก็ได้เตือนพวกเจ้าเอาไว้แล้วไม่ใช่หรือว่านี่เป็นการต่อสู้เพื่อตัดสินความเป็นตาย หากสูญเสียความตั้งใจก็มีแต่ต้องทิ้งชีวิตของตัวเองไปก็เท่านั้น

 

 

 

 

 

 

 

พวกเจ้าทราบอยู่แล้วว่ากำลังเผชิญหน้ากับความเป็นตาย แล้วเหตุใดจึงไม่ใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีออกมา? เหตุใดถึงไม่นำยุทโธปกรณ์ของตัวเองขึ้นมา?

 

 

 

 

 

 

 

ในเมื่อยังไม่ทราบว่าศัตรูของตัวเองคือสิ่งใด แล้วเหตุใดจึงกระโดดเข้าไปโดยไม่ระวังตัวกันเล่า? ต้องการโอ้อวดศักดิ์ศรีหรือ? หรือต้องการแสดงความกล้าหาญจนตัวตาย?

 

 

 

 

 

 

 

ฮาฮา ไม่เลวเลย ไม่เลว พวกเจ้าได้เปลี่ยนคำว่า ‘ผู้มีพรสวรรค์’ เป็น ‘ผู้โง่งม’ ในสายตาของข้าไปทั้งหมดแล้ว!”

 

 

 

 

 

 

 

ถู่ฟางทอแววตาแสนเย็นชาไปยังใบหน้าที่ปั้นยากยิ่งกว่าเดิมของเหล่าผู้คน เดิมทีเขาคิดว่าการที่ผู้มีพรสวรรค์เข้ามาเข้ารับการทดสอบมากมายเช่นนี้จะสามารถช่วยกอบกู้วิกฤตของหมู่ตึกเอาไว้ได้ ทว่าผลลัพธ์กลับกลายเป็นลูกหลานของตระกูลผู้มั่งคั่งที่มีหัวสมองเต็มไปด้วยขี้เลื้อย หากรับผู้คนเหล่านี้เข้าไป เขาก็คงจะฟาดให้ตายคาที่เสียตรงนี้เลย

 

 

 

 

 

 

 

เพราะเขาก็ได้ย้ำเตือนออกไปทุกประโยคแล้วว่าให้ระวังตัว อีกทั้งยังบอกไปแล้วว่าภายในถ้ำมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับมารร้ายอยู่ ทว่าเด็กน้อยเหล่านี้กลับคิดว่าคำพูดของเขาเป็นเพียงการผายลม

 

 

 

 

 

 

 

หากไม่เตือนอีกแล้วปล่อยให้พวกเขาเห็นว่าการทดสอบในรอบนี้เป็นเพียงแค่การละเล่นของเด็ก แน่นอนว่าต้องมีการตายของผู้มีพรสวรรค์ระดับสัตว์ประหลาดอย่างไม่ต้องสงสัย และเขาเองก็คงจะต้องคลั่งใจตายอย่างแน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

“จงอย่าอวดฉลาดอีกเลย การทดสอบในปีนี้แตกต่างไปจากปีก่อนๆ มาก อย่าคิดว่าข้อมูลที่ได้รับมาจะทำให้พวกเจ้าผ่านการทดสอบไปได้ด้วยดี

 

 

 

 

 

 

 

ไม่กี่ปีมานี้ได้เกิดศึกปะทะกันครั้งใหญ่ของผู้ฝึกยุทธ์กับมารร้ายจนเกิดการสูญเสียผู้มีพรสวรรค์ไปไม่น้อย เดิมทีภายในถ้ำเหล่านี้มีเพียงหุ่นเชิด ทว่าบัดนี้ได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นมนุษย์อย่างพวกเจ้าแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

พวกเขาทั้งหมดต่างก็เป็นพวกเดนตาย ผ่านการคัดเลือกมานับพันหมื่นครั้งจนสามารถใช้ทดสอบพลังการต่อสู้กับพวกเจ้าได้ และที่สำคัญจิตวิญญาณของพวกเขาก็มีแต่จิตสำนึกแห่งการต่อสู้เท่านั้น

 

 

 

 

 

 

 

ฉะนั้นขอให้พวกเจ้าจงคิดเพียงแค่ว่าจะทำอย่างไรถึงจะสังหารพวกเขาได้ หากพวกเจ้าไม่คิดก็จงไปเสาะหาที่ตายแห่งอื่น อย่าได้มาทำให้ผู้คนใบที่แห่งนี้ต้องสะอิดสะเอียนกับความโง่งมของพวกเจ้าเลย” ถู่ฟางด่าทอออกมาอย่างไม่แยแสต่อผู้ใดอีกแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากการมีคนตายอย่างอเนจอนาถให้ประจักษ์แก่สายตาแล้ว ผู้คนทั้งหมดก็เรียกคืนสติของตัวเองกลับคืนมาในทันที

 

 

 

 

 

 

 

“เอาล่ะ ที่ข้าสมควรจะกล่าวก็ได้กล่าวออกไปหมดแล้ว ที่เหลือก็ให้พวกเจ้าตัดสินใจเองก็แล้วกัน และข้ายังคงยืนยันคำพูดเดิมที่ว่าหากถอนตัวไปในตอนนี้ก็ยังไม่สาย” ถู่ฟางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

 

 

 

 

 

 

 

ทั่วทั้งบริเวณถูกปกคลุมไปด้วยสภาวะกดดันจนไร้ซึ่งซุ่มเสียงอันใด แม้คนผู้นั้นจะเป็นถึงยอดฝีมือระดับสูงสุดของขอบเขตก่อโลหิต ทว่ากลับตายลงไปเพราะความหลงระเริงในพลังฝีมือของตน ผู้คนที่อยู่ในลานกว้างต่างก็สบสายตามองกันไปมา ไม่กล้าอาสาออกไปเผชิญหน้ากับความเป็นตายไปอีกแล้ว ไม่ว่าผู้ใดก็อยากจะดูว่าเหตุการณ์หลังจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อ

 

 

 

 

 

 

 

“พี่ใหญ่ ข้าจะไป” ทันใดนั้นกัวเหรินก็ได้กระซิบต่อหลงเฉินอย่างแผ่วเบา

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินกับถังหว่านเอ๋อตกใจขึ้นมายกใหญ่ พวกเขาสัมผัสได้ตั้งแต่ครั้งแรกว่าพลังการต่อสู้ของกัวเหรินนั้นไม่ได้พิเศษหรือแตกต่างจากผู้คนทั่วไปเลย อย่างมากก็พอที่จะสู้กับชายหนุ่มเมื่อครู่นี้ได้เสมอกันเท่านั้น

 

 

 

 

 

 

 

“เจ้าคิดดีแล้วหรือ” หลงเฉินถามออกไปอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

 

 

 

 

 

 

 

“อือ ข้าคิดดีแล้ว นี่ถือเป็นวันสำคัญวันหนึ่งของข้า ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจช่วยข้าได้อีกแล้ว จะเป็นมังกรหรือจะเป็นงูดินก็ขอดูหน่อยก็กันแล้ว” กัวเหรินกล่าวขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจัง

 

 

 

 

 

 

 

โดยปกติแล้วกัวเหรินมักจะมีใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มที่ซุกซน ทว่าตอนนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่แน่วแน่ฮึกเหิม นี่ไม่ใช่การเสี่ยงโชคอีกแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องพึ่งพาความสามารถของตัวเอง

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อเห็นว่าหลงเฉินส่งสายตาเป็นห่วงเป็นใยมา กัวเหรินจึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “วางใจเถิดพี่ใหญ่ ข้าไม่ตายง่ายๆ หรอก ข้าอยากจะติดตามท่านไปยังหมู่ตึก”

 

 

 

 

 

 

 

“ถ้าเช่นนั้นก็สู้เขาล่ะ” หลงเฉินตบไปที่ไหล่ทั้งสองข้างของกัวเหริน

 

 

 

 

 

 

 

ในเมื่อกัวเหรินมีความห้าวหาญถึงเพียงนี้แล้ว เรื่องที่เขาได้ตัดสินใจไปย่อมไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงความคิดไปได้แน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

ในขณะที่ผู้คนกำลังจ้องมองกันไปมา ทันใดนั้นเองกัวเหรินก็ออกเดินไปหยุดอยู่ที่แท่นศิลา “แถวล่างสุด ถ้ำที่สองตามแนวขวาง”….

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset