เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 167 เฒ่ามายาวิถีมาร

คมดาบนี้ของหลงเฉินฟาดไปที่คนผู้นั้นอย่างรุนแรง เสียงดังชิสบถขึ้นมาพร้อมกับมือสีดำทมิฬคว้าจับไปที่ดาบยาวของหลงเฉินเอาไว้อย่างง่ายดาย 

 

 

  

 

 

“เคร้ง” 

 

 

  

 

 

เมื่อคมดาบยาวปะทะเข้ากับมือข้างนั้นก็ได้บังเกิดเสียงกระทบกันของเหล็กกล้าดังขึ้นมาเป็นสาย หลงเฉินออกแรงต้านกับฝ่ามือข้างนั้นเอาไว้สุดตัว เพียงครู่เดียวเขาก็สัมผัสได้ถึงพลังอันมหาศาลหลั่งไหลเข้ามาจนต้องลอยกระเด็นออกไปด้านหลังในทันที 

 

 

  

 

 

“ชิ หากจะเล่นกันเพียงเท่านี้ ข้าแนะนำให้เจ้าไปเล่นไกลๆ จะดีกว่านะ” 

 

 

  

 

 

ทันทีที่พูดจบคนผู้นั้นก็ได้เคลื่อนไหวไปมาประดุจสายลมโชยพัดในความมืด จากนั้นร่างสีดำทมิฬก็ได้ไปปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในบริเวณฝั่งทางเข้าปากถ้ำที่หลงเฉินเดินเข้ามาเพื่อทำการปิดทางออกเอาไว้ 

 

 

  

 

 

“เร็วมาก” 

 

 

  

 

 

หลงเฉินแตกตื่นขึ้นมายกใหญ่เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวอันแปลกประหลาดของคนผู้นั้น อีกทั้งบรรยากาศบนร่างกายของเขาก็ทำให้หลงเฉินรู้สึกถึงความหนาวเหน็บและเยือกเย็นที่แผ่ซ่านออกมาจนเข้าไปถึงกระดูกดำ เป็นความรู้สึกที่คุกคามพลังชีวิตของหลงเฉินเป็นอย่างมาก 

 

 

  

 

 

เดิมทีหลงเฉินคิดจะหยิบยืมพลังอันมหาศาลจากคนผู้นั้นเพื่อส่งเขากลับไปใกล้ยังปากทางเข้าถ้ำ ทว่าน่าเสียดายที่ถูกมองออกไปเสียได้ 

 

 

  

 

 

“ถึงแม้ว่าร่างกายนี้จะอ่อนแออยู่ขั้นหนึ่ง ทว่าเมื่อมีพลังแห่งจิตวิญญาณของเหล่าฝู่คอยควบคุมแล้วก็ไม่ใช่สิ่งที่ผักปลาชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างเจ้าจะสามารถต่อกรได้ 

 

 

  

 

 

เจ้าหนู ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ขอกล่าวว่าข้ามีทางเลือกให้เจ้าสองทาง จะตายหรือจะศิโรราบ?” คนผู้นั้นเอ่ยถามขึ้นมาอย่างเย็นชา 

 

 

  

 

 

หลงเฉินจ้องมองไปยังเงาร่างสายนั้นจนเกิดอาการปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมา ซากศพที่มีชีวิตร่างนี้ได้ถูกบรรจุจิตวิญญาณของเฒ่าชราระดับมารร้ายเอาไว้อย่างนั้นหรือ นี่ไม่ถือว่าโหดร้ายเกินไปแล้วหรืออย่างไรกัน? 

 

 

  

 

 

“คิดจะให้คนอย่างข้ายอมศิโรราบก็ต้องดูก่อนว่าเจ้ามีความสามารถพอหรือไม่” 

 

 

  

 

 

หลงเฉินกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา ในเมื่อไม่อาจหลบหนีได้ก็มีแต่ต้องเผชิญหน้า เมื่อคิดได้เช่นนั้นหลงเฉินก็ได้ไหลเวียนพลังทั้งหมดภายในจุดดารากักวายุขึ้นมา ที่จุดตันเถียนก็ได้ปรากฏวงแหวนแห่งเทพทั้งสิบสามสายจนก่อเกิดเป็นพลังทำลายอันมหาศาลและน่าหวาดกลัว อีกทั้งยังยังสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่อาจหยุดยั้งได้ 

 

 

  

 

 

“น่าสนใจดีนี่” 

 

 

  

 

 

คนผู้นั้นทอสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยคล้ายกับกำลังสนใจต่อพลังของหลงเฉินอยู่ พลังสภาวะเช่นนี้เรียกได้ว่าเหนือความคาดหมายของเขาไปเล็กน้อย ทว่าไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจหลุดรอดไปจากเงื้อมมือของเขาได้อยู่ดี 

 

 

  

 

 

“ลี้ลมทลาย” 

 

 

  

 

 

หลงเฉินแผดเสียงคำรามพร้อมกับฟาดคมดาบสายหนึ่งตัดผ่านบรรยากาศที่สั่นไหวออกไปที่คนผู้นั้นอย่างรุนแรง ทันใดนั้นคนผู้นั้นก็ยื่นฝ่ามือรูปร่างคล้ายกับกรงเล็บออกมาต้านทานคมดาบของหลงเฉินเอาไว้ 

 

 

  

 

 

หลงเฉินเกิดอาการปากอ้าตาค้างขึ้นมาอย่างรุนแรง เพราะกระบวนท่าที่เพิ่งใช้ออกไปนั้นจัดอยู่ในทักษะยุทธ์ระดับพสุธา ทว่าบัดนี้กลับถูกคนผู้นั้นคลี่คลายลงไปได้อย่างง่ายดายราวกับว่าเป็นเพียงการละเล่นหนึ่ง อีกทั้งยังไม่อาจสร้างความเจ็บปวดให้กับคนผู้นั้นได้เลยแม้แต่น้อย 

 

 

  

 

 

“หมัดทลายวายุ” 

 

 

  

 

 

หลงเฉินปะทะพลังขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับใช้คมหมัดพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วประดุจอัสนีบาตจนเกิดประกายแสงอันแรงกล้าเข้ากระทบกับหมัดของคนผู้นั้นในทันที 

 

 

  

 

 

ก่อนหน้านี้หลงเฉินเคยใช้หอกยาวสีดำเป็นอาวุธ ทว่ากลับถูกทำลายลงไปในช่วงเวลาที่กำลังช่วงชิงผลปราณลี้ลับมา และหลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้เสาะหายุทโธปกรณ์ชิ้นใหม่มาไว้ใช้งาน บัดนี้ทักษะยุทธ์ของเขาไม่อาจแสดงพลังทำลายออกมาได้มากเท่าที่ควรเพราะไม่มียุทโธปกรณ์ที่เหมาะมือ เช่นนั้นจึงเปลี่ยนไปต่อสู้ด้วยกำปั้นเฉกเช่นที่เขาถนัดยังจะดีเสียกว่า 

 

 

  

 

 

“ตูม” 

 

 

  

 

 

หมัดของหลงเฉินกระแทกไปที่แขนของคนผู้นั้นจนเกิดเสียงระเบิดดังขึ้นมา ด้วยพลังอันมหาศาลที่ไหลเวียนไปอยู่ปลายหมัดนั้นถึงขั้นที่ว่าสามารถทลายหินผาจนแหลกสลายกลายเป็นผุยผงไปได้อย่างง่ายดายเลยทีเดียว 

 

 

  

 

 

ทว่าเหตุใดเมื่อปะทะเข้าไปที่แขนอันแห้งเ**่ยวนั้นกลับไม่อาจทำลายแขนข้างนั้นได้ อีกทั้งยั้งถูกพลังอันมหาศาลทีมากกว่าดันออกมาจนตัวเองต้องถอยหลังออกไปหลายก้าว ยิ่งไปกว่านั้นที่แขนข้างนั้นของเขาก็เกิดความรู้สึกชาซ่านขึ้นมาเป็นสาย 

 

 

  

 

 

“ช่างเป็นร่างกายที่แข็งแรงยิ่งนัก” 

 

 

  

 

 

หลงเฉินเกิดความหวาดหวั่นขึ้นมาภายในจิตใจ คิดไม่ถึงเลยว่าซากศพเดินได้ร่างนั้นจะมีความแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้ หากคนผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่คงจะต้องเป็นยอดฝีมือที่น่าหวาดกลัวในใต้หล้าย่างแน่นอน 

 

 

  

 

 

“เจ้าหนูน้อย ยังไม่ยอมพ่ายอีกอย่างนั้นหรือ? ชิ ถ้าอย่างนั้นข้าจะทำให้เจ้าเห็นว่าการเผชิญหน้ากับเหล่าฝู่ผู้ยิ่งใหญ่อย่างข้านั้น เจ้าก็เป็นได้แค่แมลงตัวกะจ้อยร่อยตัวหนึ่งเท่านั้น” 

 

 

  

 

 

คนผู้นั้นกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา พลันก็ได้ขยับร่างกายครู่หนึ่ง มือสีดำทมิฬทั้งสองข้างฟาดเข้ามาที่หลงเฉินด้วยความเร็วที่เร็วอย่างไร้ที่เปรียบราวกับว่าเพียงแค่ยื่นแขนออกมาก็ถึงตัวของหลงเฉินแล้ว 

 

 

  

 

 

หลงเฉินเร่งรีบออกหมัดสวนออกไปอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าจะต้านทานเอาไว้ได้ฉับพลัน ทว่าทั่วทั้งร่างกลับเกิดการสั่นไหวขึ้นมาไม่หยุดแล้วก็ได้ถูกซัดจนถอยออกไปอีกครั้ง 

 

 

  

 

 

“ไม่เลวเลย น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง” 

 

 

  

 

 

ในขณะที่คนผู้นั้นได้เอ่ยวาจาชมเชยออกมา ฝ่ามือที่คล้ายกับกรงเล็บทั้งสองข้างก็ได้เคลื่อนไหวไปมาอย่างวุ่นวายประดุจคลื่นพายุโหมกระหน่ำข่วนไปที่หลงเฉินอย่างบ้าคลั่ง 

 

 

  

 

 

“โครมโครมโครม” 

 

 

  

 

 

ความรวดเร็วที่ยิ่งกว่าสายฟ้าฟาดนั้นทำให้หลงเฉินแทบจะมองตามไม่ทัน เพียงแต่รู้ว่าจะต้องป้องเอาไว้อย่างไม่คิดชีวิต ภายใจจิตใจของหลงเฉินจึงเกิดอาการแตกตื่นขึ้นมาไม่น้อย 

 

 

  

 

 

ผีเฒ่าผู้นี้เป็นยอดฝีมือระดับใดกันแน่? เห็นๆ กันอยู่แล้วว่าเขาหลงเหลือแค่จิตวิญญาณที่ถูกฝังอยู่ในซากศพ ทว่าเหตุใดถึงสามารถปะทุพลังกาต่อสู้ที่สูงล้ำได้มากมายถึงเพียงนี้ 

 

 

  

 

 

ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเจอกันหลงเฉินก็สัมผัสได้เพียงพลังแห่งจิตวิญญาณภายในร่างของคนผู้นี้ ฉะนั้นเขาจึงคิดว่าไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่อันใด ทว่าในตอนนี้กลับถูกกดดันจนมือเท้าต้องพัวพันกันเป็นพัลวัน 

 

 

  

 

 

และที่น่ารำคาญใจอย่างถึงที่สุดก็คือการโจมตีทั้งหมดของหลงเฉินนั้นไม่อาจสร้างความเจ็บปวดให้กับคนผู้นั้นได้เลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าจะทราบดีว่าการทดสอบระดับจิตใจเพื่อเป็นศิษย์สายตรงนั้นจะยากกว่าระดับปกติ ทว่าเขากลับไม่คิดว่าจะยากเย็นถึงเพียงนี้ 

 

 

  

 

 

ด้วยพลังการต่อสู้ที่มีเมื่อต้องเทียบกับเฒ่าชราระดับมารร้ายผู้นี้แล้ว เขาก็แทบไม่มีโอกาสที่จะรอดชีวิตออกไปเลย ต่อให้ใช้พลังการต่อสู้ที่มีโจมตีออกไปทั้งหมดก็ไม่มีแม้แต่ความหวังอันริบหรี่ 

 

 

  

 

 

ทว่าในความยุ่งยากนี้ก็ได้มีสิ่งที่น่ายินดีปรากฏขึ้นมาอยู่บ้าง นั่นก็คือผีเฒ่าผู้นี้ไม่ได้คิดที่จะสังหารเขา ฉะนั้นในขณะที่โจมตีเข้ามาคนผู้นั้นกลับยั้งพลังฝีมือเอาไว้ส่วนหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นการโจมตีที่เลี่ยงทุกจุดตายเอาไว้ด้วย 

 

 

  

 

 

“เพล้ง” 

 

 

  

 

 

กลางหน้าอกของหลงเฉินคล้ายกับถูกขอนไม้ขนาดใหญ่เตะเข้ามาจนกระแทกเข้ากับผนังถ้ำอย่างรุนแรงแล้วค่อยๆ หยุดการเคลื่อนไหวลงช้าๆ 

 

 

  

 

 

“เหอะเหอะ ไม่เลวเลย ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะรับเจ้าไว้เป็นศิษย์ เช่นนั้นจงมาโขกศีรษะกราบไหว้อาจารย์ของเจ้าซะ!” 

 

 

  

 

 

ผีเฒ่าผู้นั้นค่อยๆ ย่างฝีเท้าสีดำทมิฬเข้ามาหาหลงเฉิน สายตาที่ว่างเปล่าจ้องมองไปที่หลงเฉิน การเคลื่อนไหวเช่นนั้นยิ่งทวีความน่าหวาดกลัวขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด 

 

 

  

 

 

“คิดว่าคนอย่างเจ้าจะสามารถเป็นอาจารย์ของข้าได้อย่างนั้นหรือ?” หลงเฉินปาดสายโลหิตที่ไหลออกมาจากมุมปาก แล้วตอบไปด้วยสีหน้าเย็นเยียบ 

 

 

  

 

 

หลังจากผ่านการโจมตีที่รุนแรงและรวดเร็วประดุจถูกลมฝนวายุคลั่งซัดสาดไปครู่หนึ่ง ร่างกายของหลงเฉินก็เกิดเป็นรอยฟกช้ำขึ้นมาหลายจุด ผีเฒ่าผู้นี้มีพลังที่แสนจะแปลกประหลาดเกินไปแล้ว 

 

 

  

 

 

“สารเลว กุ่ยซาผู้นี้เป็นบุคคลเช่นไร เจ้าทราบหรือไม่? เมื่อสามพันปีก่อนข้าเป็นผู้มีชื่อเสียงเกรียงไกรที่สุด และบัดนี้ก็ได้ต้องตาเจ้า ฉะนั้นถือเป็นเรื่องโชคดีของเจ้าแล้ว” กุ่ยซากล่าวขึ้นมาด้วยความโกรธเกรี้ยว 

 

 

  

 

 

“เจ้าเก่งกาจมากนักหรืออย่างไรกันถึงกล่าวออกมาเช่นนั้นได้?” หลงเฉินเอ่ยถามออกไป 

 

 

  

 

 

“แน่นอน ข้านั้นเก่งกาจอย่างถึงที่สุด” กุ่ยซาตอบกลับไปด้วยความมั่นใจที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม 

 

 

  

 

 

“แล้วเหตุใดเจ้าถึงได้กลายเป็นเช่นนี้ คนก็ไม่ใช่ ผีก็ไม่เชิง?” หลงเฉินแสยะยิ้มแล้วเอ่ยออกไปอย่างเย็นชา 

 

 

  

 

 

“เจ้าจะไปรู้ความอันใดกัน ในขณะนั้นพวกเขาให้ยอดฝีมือขอบเขตเชื่อมชีพจรทั้งหมดสามคนเข้ามารุมข้าเพียงคนเดียว อีกทั้งยังเป็นช่วงเวลาที่ข้าได้รับบาดเจ็บอยู่ ไม่เช่นนั้นข้าก็คงจะไม่ต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้” 

 

 

  

 

 

กุ่ยซาขบเคี้ยวเขี้ยวฟันด้วยความแค้นเคืองก่อนจะเล่าขึ้นมา ภายในน้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยความโหดเ**้ยมและไม่แยแสต่อผู้ใด รังสีสังหารอันน่าหวาดกลัวขุมหนึ่งแผ่กระจายไปทั่วทั้งห้องโถงใหญ่ที่หลงเฉินอยู่ 

 

 

  

 

 

เป็นจิตสังหารที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง รุนแรงและหนาแน่นเสมือนกับสามารถก่อขึ้นเป็นรูปร่างได้เลย เพียงแค่ได้จ้องมองก็ทำให้หลงเฉินเกิดอาการหวาดหวั่นขึ้นมาไม่น้อย ในช่วงเวลาที่ผีเฒ่าผู้นี้มีชีวิตอยู่นั้นได้สังหารผู้คนไปมากน้อยเพียงใดกันนะ? ถึงได้สามารถปะทุรังสีสังหารขึ้นมาท่วมท้นถึงเพียงนี้ 

 

 

  

 

 

“เจ้าหนู หยุดกล่าววาจาไร้สาระกับข้าได้แล้ว ข้าเห็นว่าเจ้ามีคุณสมบัติที่ดีอยู่ มีกายเนื้อที่สมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ ถ้าหากได้ร่ำเรียนวิชากายมารมรณะของข้าแล้ว ข้ารับรองว่าภายในสามปีให้หลังนี้ เจ้าจะกลายเป็นที่สุดแห่งยอดฝีมือได้เลย” กุ่ยซากล่าว 

 

 

  

 

 

เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลงเฉินก็ไม่ได้ตอบกลับไปแต่อย่างใด เพียงแต่นำพาตัวเองเข้าสู่ห้วงความคิดอันว้าวุ่นไปชั่วครู่หนึ่ง 

 

 

  

 

 

“เจ้าหนู เจ้าอย่าได้คิดแผนการอันใดอยู่อีกเลย ข้านั้นใช้ชีวิตผ่านพ้นมาได้สามพันปี แน่นอนว่าไม่มีแผนสกปรกและโหดเ**้ยมอันใดที่สามารถใช้กับข้าได้ เปล่าประโยชน์ที่จะคิด 

 

 

  

 

 

ตอนนี้ทางเลือกของเจ้ามีเพียงสองทาเท่านั้น อย่างแรกก็คือความตาย ส่วนอย่างที่สองนั้นก็คือมาเป็นศิษย์ของข้าแล้วพาข้าออกไปจากสถานที่แห่งนี้” กุ่ยซากล่าวขึ้นมาอย่างเย็นชา 

 

 

  

 

 

“แล้วข้าจะพาเจ้าออกไปได้อย่างไร?” หลงเฉินเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัยอย่างถึงที่สุด 

 

 

  

 

 

“ข้าสามารถถ่ายเทจิตวิญญาณของข้าเข้าไปอยู่ภายในจุดตันเถียนของเจ้าได้ จากนั้นเจ้าก็นำศีรษะของซากศพนี้ออกไปแลกเป็นแผ่นป้ายประจำตัวของเจ้า 

 

 

  

 

 

จากนั้นเจ้าก็หาโอกาสหลบหนีออกจากหมู่ตึก แล้วนำพาข้าไปยังสำนักของข้า ชิ ข้ารับรองว่าสถานที่ที่เจ้าได้จากมาจะต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่าที่แห่งนี้เป็นร้อยเท่าเลยล่ะ……” 

 

 

  

 

 

หลงเฉินหัวเราะอย่างเย็นชาอยู่ภายในจิตใจ ช่างสมกับที่เป็นผีเฒ่า ใช้วาจาหว่านล้อมผู้คนเพื่อเอาไว้หลอกใช้ในภายหลัง เปลี่ยนถ่ายจิตวิญญาณเข้ามาอยู่ที่จุดตันเถียนของข้าอย่างนั้นหรือ? เจ้าคิดว่าข้าเป็นตัวโง่งมหรืออย่างไรกัน? 

 

 

  

 

 

เจ้าหมายปองที่จะให้ข้ายอมเชื่อแล้วฝังจิตวิญญาณของเจ้าเข้าสู่ร่างกายของข้า จากนั้นก็กลืนกินจิตวิญญาณของข้าไป สิ่งนี้เรียกว่าการพาเจ้าออกไปจากที่แห่งนี้อย่างนั้นหรือ เห็นๆ กันอยู่แล้วว่าเป็นการช่วงชิงร่างกายของผู้อื่นอย่างชัดเจน 

 

 

  

 

 

หากดูจากความแข็งแกร่งของพลังแห่งจิตวิญญาณของผีเฒ่าผู้นี้แล้ว เดิมทีเขาคงจะสามารถช่วงชิงร่างของหลงเฉินไปได้อย่างง่ายดายแล้ว ทว่าร่างศพที่เขาสถิตอยู่นั้นคล้ายกับมีพลังแห่งเทพอันแปลกประหลาดชนิดหนึ่งหุ้มเอาไว้จนทำให้จิตวิญญาณของเขาถูกปิดตายเอาไว้ภายในนั้น แน่นอนว่าย่อมไม่อาจปลดปล่อยตัวเองออกไปสู่ภายนอกได้ 

 

 

  

 

 

“เป็นอย่างไรบ้าง เจ้าใคร่ครวญดูให้ดี เจ้าจะตายหรือว่าเป็นเสื้อคลุมให้ข้าแต่โดยดี หากได้รับวิชาลี้ลับของข้าไปแล้ว เจ้าก็จะมีอำนาจอย่างไร้ขีดจำกัด อีกทั้งยังสามารถดึงดูดสาวงามมาได้อีกมากมายด้วย” กุ่ยซากล่าวขึ้นมาอย่างเย็นชา 

 

 

  

 

 

ถึงแม้ว่าเขาจะพยายามควบคุมให้ตัวเองสงบนิ่งลง ทว่าด้วยความแข็งแกร่งของพลังแห่งจิตวิญญาณของหลงเฉินกลับฟังออกว่าน้ำเสียงของเขานั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น 

 

 

  

 

 

“ยกย่องให้เจ้าเป็นอาจารย์นั้นย่อมไม่ใช่ปัญหา การที่จะพาเจ้าออกไปนั้นไม่ใช่ปัญหาเช่นเดียวกัน ทว่าข้าเป็นผู้มีพรสวรรค์แห่งยุค ฉะนั้นข้าต้องการทราบว่าเจ้าจะมีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นอาจารย์ของข้าได้หรือไม่” หลงเฉินจ้องมองไปที่กุ่ยซาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ 

 

 

  

 

 

“หมายความว่าอย่างไร?” 

 

 

  

 

 

“ง่ายดายยิ่งนัก เจ้าเพียงสอนบางอย่างให้กับข้าที่จะทำให้ข้ายอมรับฝีมือของเจ้าได้ทั้งกายและใจ หากวิชาของเจ้าไม่อาจทำให้ข้าพึงพอใจได้ เหอะเหอะ ข้านั้นยินยอมที่จะตายดีกว่าศิโรราบกราบกรานให้คนเช่นเจ้า” หลงเฉินตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงขึงขัง 

 

 

  

 

 

“ฮี่ฮี่ฮี่ ได้ เช่นนั้นข้าก็จะเปิดเผยวิชาลี้ลับของข้าให้เจ้าดู” 

 

 

  

 

 

กุ่ยซาค่อยๆ หย่อนตัวนั่งลงบนพื้น แล้วเริ่มบทสนทนากับหลงเฉิน “เจ้ามีร่างกายที่ยอดเยี่ยมเป็นอย่างยิ่ง กายเนื้อของเจ้าสามารถเทียบชั้นได้กับสัตว์มายาระดับสาม ทว่ากลับไม่มีทักษะยุทธ์ใดที่พอจะดูได้เลย 

 

 

  

 

 

ฉะนั้นในตอนนี้ข้าจะถ่ายทอดทักษะยุทธ์ให้แก่เจ้าชุดหนึ่ง ทักษะที่มีชื่อว่ามือชโลมโลหิต สามารถทำให้เจ้ามีพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งอย่างไร้ที่เปรียบ” 

 

 

  

 

 

“แล้วจะฝึกฝนอย่างไร?” หลงเฉินรีบถามขึ้นมาด้วยความใคร่รู้เป็นอย่างยิ่ง 

 

 

  

 

 

“มือชโลมโลหิตเป็นเคล็ดวิชาที่ฝึกฝนได้ง่ายที่สุด ในทุกวันให้ใช้จุดโลหิตเดือดจากหัวใจของมนุษย์ ชโลมไว้ที่ฝ่ามือของตัวเองเพื่อให้ไอโลหิตฝังลึกเข้าไปในฝ่ามือ เมื่อใดที่ต้องการจะใช้ทักษะยุทธ์นี้ขึ้นมาก็เพียงออกฝ่ามือที่ไหลเวียนพลังโลหิตขึ้นมาจากจิตปราณ เมื่อนั้นเจ้าก็จะสามารถบดขยี้หัวใจของศัตรูผ่านอากาศได้เลย” 

 

 

  

 

 

เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ภายในจิตใจของหลงเฉินก็ได้บังเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย ในทุกวันจะต้องใช้โลหิตจากหัวใจของผู้อื่นมาใช้ในการฝึกฝนอย่างนั้นหรือ? นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องฆ่าคนทุกวันหรืออย่างไรกัน? 

 

 

  

 

 

อีกทั้งน้ำเสียงที่กล่าวออกมานั้นกลับเฉยชาเป็นอย่างยิ่งคล้ายกับกำลังเล่านิทานเก่าเรื่องหนึ่งให้เด็กน้อยฟังอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

  

 

 

“หนึ่งวันร้อยคน เพียงไม่ถึงร้อยวัน เจ้าก็จะสามารถสำเร็จเคล็ดวิชาขั้นต้นได้แล้ว หากมุ่งหมายที่จะสำเร็จในขั้นสูงก็จะต้องใช้อีกพันวันจึงจะได้ ต่อให้เป็นผู้ที่มีพลังยุทธ์เหนือกว่าเจ้าหลายเท่า 

 

 

  

 

 

หากไม่ได้เตรียมการป้องกันเอาไว้ให้ดีก็จะถูกบดขยี้ให้ตายกลางอากาศไปได้เลย ฉะนั้นนับตั้งแต่ตอนนี้ไปข้าจะเริ่มถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้แก่เจ้า……” 

 

 

  

 

 

“รอก่อน รอก่อน ข้าเป็นคนสายธรรมะ จะมาฝึกวิชาที่โหดเ**้ยมอำมหิตเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?” หลงเฉินรีบโพล่งวาจาขึ้นมาด้วยความโกรธเคือง 

 

 

  

 

 

“ผายลม ในเมื่อเจ้าจะให้ข้าเป็นอาจารย์แล้วก็ต้องร่ำเรียนจากข้า” กุ่ยซาก็ระเบิดเสียงดังขึ้นมาด้วยเช่นกัน 

 

 

  

 

 

“ถ้าเช่นนั้นเจ้าสอนอย่างอื่นให้ข้าเถิด” หลงเฉินส่ายหน้าไปมาอย่างไม่อาจยอมรับได้ 

 

 

  

 

 

กุ่ยซาระเบิดโทสะขึ้นมาในจิตใจเสียยกใหญ่ เดิมทีเขาเป็นผู้อาวุโสของพรรคมารมาก่อน ฉะนั้นแนวทางการฝึกยุทธ์ก็ต้องเป็นพลังสายมารด้วย หากให้เขาสอนสิ่งอื่นก็ไม่ต่างอันใดกับการลบหลู่เขาอย่างถึงที่สุด 

 

 

  

 

 

เขาแทบอยากฟาดชายหนุ่มผู้นี้ให้ตายคามือไปในทันที ทว่าเขายังจำเป็นจะต้องพึ่งพาหลงเฉินให้ช่วยพาเขาออกไป จากนั้นก็ช่วงชิงร่างกายนั้นมาให้จงได้ หากหลงเฉินไม่ให้ความร่วมมือเช่นนี้ เขาย้อมไปอาจสลัดหลุดออกจากร่างศพนี้ได้อย่างแน่นอน 

 

 

  

 

 

เมื่อคิดได้เช่นนั้นกุ่ยซาจึงพยายามอดทนอดกลั้นความโกรธเคืองเอาไว้ แล้วบอกกล่าวถึงวิชาอีกสองอย่างออกไป ทว่าชายหนุ่มผู้นี้ก็เอาแต่ส่ายหน้าไปมาจนเขาคิดว่าจะต้องออกจากวิถีการฝึกยุทธ์สายมารของตัวเองไปเสียแล้ว 

 

 

  

 

 

“เจ้าหนู เจ้าทำเกินไปแล้ว” กุ่ยซากล่าวขึ้นมาด้วยโทสะที่บังเกิดขึ้นมาอย่างเต็มเปี่ยม 

 

 

  

 

 

“เข้าใจอันใดผิดไปหรือไม่ เมื่อครู่นี้เจ้าบอกเองว่าตัวเองเก่งกาจเป็นอย่างยิ่ง เพียงความข้อนี้ก็อับจนปัญญาแล้วอย่างนั้นหรือ?” หลงเฉินกล่าวขึ้นมาอย่างไม่แยแส 

 

 

  

 

 

“เจ้า……” 

 

 

  

 

 

กุ่ยซาแทบจะระเบิดพลังออกมาเพื่อสังหารหลงเฉินให้ตายคาที่ไปเลย หากเป็นช่วงเวลาปกติแล้วนั้นเขาคงจะถลกหนังของหลงเฉินออกมาตากแห้งไปตั้งแต่แรกแล้ว ทว่าในตอนนี้กลับไม่อาจทำเช่นนั้นได้ หากปล่อยให้โอกาสอันดีนี้หลุดลอยไป เกรงว่าเขาคงจะไม่มีโอกาสแล้ว 

 

“ได้ ถ้าเช่นนั้นข้าจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาเพลงเท้าให้แก่เจ้าชุดหนึ่ง อันมีชื่อเรียกกันว่าท่าร่างภูตมืดสงัด เป็นวิชาที่ข้าไม่เคยคิดที่จะถ่ายทอดให้ผู้ใดมาก่อน เนื่องจากเนื้อหาทั้งหมดลึกล้ำเป็นอย่างยิ่ง หากเจ้าไม่อาจเรียนรู้ได้ก็อย่าได้โทษข้าเชียว” กุ่ยซากัดฟันกรอดแล้วกล่าวถึงท่าร่างภูตมืดสงัดออกมายืดยาว 

 

หลงเฉินเพ่งพลังแห่งจิตเพื่อใช้ในการจดจำ บนใบหน้าคมคายปรากฏความสงสัยขึ้นมานับไม่ถ้วน เพียงแค่จดจำเนื้อหาก็กินแรงไปมากแล้ว ทว่าภายในจิตใจกลับอยากจะร่ำร้องออกมาว่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset