เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 17 จิตสังหารอันวู่วาม

“มา ข้าจะช่วยพันผ้าพันแผลให้เจ้าเอง”

ฉู่เหยาแกะผ้าแล้วพันมันเข้าไปใหม่นางบรรจงพันรอบบาดแผลบนท่อนแขนของหลงเฉินเอาไว้อย่างมิดชิด ก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอู้อี้“ขอโทษนะ”

บัดนี้ความในจิตใจของฉู่เหยากลับคิดกับหลงเฉิงแตกต่างจากผู้คนทั้งหมดจากที่เคยคิดว่าเขาเป็นเพียง“ข้าทาสบริวาร” ที่ริอาจมาต่อกรกับนาง

แต่เพียงแค่ได้จองมองเข้าไปยังดวงตาคู่นั้นของหลงเฉิงก็เพียงพอที่จะบอกได้ว่าเขาก็แค่เพียงผู้ที่ไม่เกรงกลัวต่อฟ้าดินคนหนึ่งเท่านั้นแม้เขาจะถูกทำร้ายจนบาดเจ็บแต่ก็ยังไม่ลงไม้ลงมือกับฉู่เหยาเลยสิ่งที่เขาได้ปฏิบัติตนออกมาทำให้นางรู้สึกประทับใจขึ้นมาไม่น้อย

และเมื่อคิดไตร่ตรองหาเหตุและผลแล้ว หลงเฉินเองก็ไม่ได้ทำผิดแต่อันใด อีกทั้งตนเองก็ได้ฟังจากปากผู้อื่นมาเท่านั้น ยังไม่ได้เข้าใจถึงเรื่องราวที่แท้จริงจากเริ่มจวบจนจบเสียด้วยซ้ำไปตั้งแต่ฉู่เหยาเติบโตมาจนถึงป่านนี้นี่เป็นครั้งแรกที่เกิดความรู้สึกผิดขึ้นมาเต็มประดา

“ข้า…” หลงเฉินกำลังจะเอ่ยบางอย่างออกมา

“เจ้าไม่ต้องขอโทษข้าหรอก พวกเรา…ไม่ติดค้างอะไรกันอีก ข้ากัดแขนของเจ้าไปเจ้าเองก็……”ฉู่เหยามีสีหน้าแดงก่ำ ร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้ สัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้วภายในอกราวกับว่าความรู้สึกเช่นนี้ยังไม่ได้เลือนหายไป

“ไม่ใช่ ที่ข้าจะบอกก็…” หลงเฉินส่ายหน้าแล้วกล่าว

“ก็บอกไปแล้วนี่ เรื่องเช่นนี้ควรปล่อยให้ผ่านไป เจ้าจะเก็บมาคิดให้ได้อะไรกัน?”ฉู่เหยาเริ่มมีโทสะเล็กน้อย

“แม่สาวงาม ที่ข้าคิดจะบอกก็คือข้าถูกกัดที่แขนซ้าย เจ้าพันผ้าที่แขนขวาให้ข้าไปทำไมกัน?” หลงเฉินกลั้นหัวเราะเอาไว้แล้วเอ่ยออกมา

ฉู่เหยาตกใจว่าความนึกคิดของตนเองนั้นได้ดำดิ่งลึกเกินไปจนถึงขั้นพันแผลผิดข้าง นางมองไปที่หลงเฉินด้วยความรู้สึกเขินอายที่ไม่หยุดยั้งไว้ได้จึงเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงสบถออกมาเบาๆ “เจ้าโง่ แล้วทำไมไม่บอกข้าตั้งแต่ตอนแรกกันเล่า!!”

กล่าวจบก็ได้ช่วยพันแผลให้หลงเฉินอีกครั้ง ดูจากบาดแผลภายนอกแล้วน่าจะสาหัสอยู่ไม่น้อย แต่สีหน้าและแววตาของหลงเฉินกลับไม่แสดงถึงความเจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว

หลงเฉินเอาหัวเราะเงียบๆอยู่ภายในใจ สาวน้อยผู้งดงามที่อยู่เบื้องหน้าของเขาตอนนี้ยังพอมีจิตใจที่เอื้ออารีอยู่บ้าง เพียงแค่บาดแผลเล็กๆ น้อยๆก็ยังอุตส่าห์มีน้ำใจยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ

ความจริงแล้วภายในแหวนมิติของหลงเฉินมีโอสถรักษาบาดแผลอยู่ ทั้งโอสถที่ใช้ภายนอกและภายใน เพียงแต่ว่าต้องการจะแสดงแผนการทรมานร่างกายจึงไม่ได้นำออกมาใช้ก็เท่านั้น

ความจริงแล้วหลงเฉินก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก เตรียมแผนการเอาไว้แล้วว่าหากไม้อ่อนใช้ไม่ได้ผลก็จะใช้ไม้แข็งดูแต่ผลลัพธ์ก็คือคุณหนูผู้นี้กลับตกหลุมไปอย่างง่ายดายดังที่ได้คิดเอาไว้ไม่มีผิด

ขณะเดียวกันนี่ก็ถือว่าเป็นครั้งแรกที่เขามีความรู้สึกอันต่อคนในราชวงศ์เขาจึงกล่าวออกมาด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ความจริงแล้วน้องชายของเจ้าถูกหลอกใช้ โจวเย่าหยางคิดที่จะใช้น้องชายของเจ้าเพื่อมาข่มข้าเอาไว้ก็เท่านั้น”

กล่าวจบหลงเฉินก็ได้อธิบายสิ่งที่เคยเกิดขึ้นระหว่างตนเองและโจวเย่าหยางออกมาเป็นฉากๆ ครั้งนี้หลงเฉินไม่จำเป็นต้องสาวความให้ยืดยาว เขาเพียงแต่เล่าออกมาถึงเรื่องที่ตนเองได้ประสบพบพานมาอย่างเรียบเฉย

“หลงเฉิน ข้าต้องขอโทษด้วยข้าเข้าใจเจ้าผิดไป” ฉู่เหยากล่าวออกมาด้วยความไม่สบายใจ อีกด้านหนึ่งก็เก็บซ่อนความเกลียดชังต่อตนเองที่วู่วามจนเกินเหตุ

“ไม่เป็นไร อย่างไรเสียข้าก็เคยชินกับมันแล้ว” หลงเฉิงกล่าวเสียงเรียบ

วาจานั้นเรียบเฉยและเย็นชาเป็นยิ่งนักขัดกับแววตาที่แฝงด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ผู้ใดได้จ้องมองเข้าไปอาจรู้สึกได้ถึงความน่าเกรงขามของเจ้าของสายตาคู่นั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

การแสดงออกด้วยอารมณ์เช่นนี้ของหลงเฉินยิ่งทำให้ฉู่เหยาทวีความเจ็บปวดขึ้นในใจคล้ายกับว่าได้ทำร้ายร่างกายของคนผู้หนึ่งแล้วราดเกลือลงบนแผลแล้วขยี้ซ้ำอย่างไรอย่างนั้นนางจึงอดไม่ได้ที่จะด่าทอตัวเองอยู่ภายในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“เหอะเหอะ เจ้าก็อย่าได้คิดมากจนเกินไป ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เจ้ารู้สึกแย่ตามไปด้วย” หลงเฉินหัวเราะฮาฮาแล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเริงร่า

ฉู่เหยาที่กำลงจ้องมองไปยังใบหน้าที่ปรากฏรอยยิ้มของหลงเฉิงก็ยิ่งทวีความเจ็บปวดแปลบมากขึ้นกว่าเดิม พลันนัยน์ตาทั้งคู่ก็แดงก่ำหยาดน้ำตาไหลรินลงมาอาบทั่วทั้งสองแก้ม

“เอะ!อย่าร้องสิ ข้าไม่พูดแล้ว ไม่พูดแล้ว ไม่ต้องร้อง”

หลงเฉินผู้ที่ไม่เคยไม่กลัวฟ้าดิน แต่กลับกลัวสตรีที่กำลังร่ำไห้ เขาทำอะไรไม่ถูก มือไม้ก็พันกันพัลวันวุ่นวายไม่ทราบว่าจะปลอบโยนอย่างไรดี

“เจ้ายินยอมที่จะยกโทษให้ข้าไหม?”ฉู่เหยากล่าวถามออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ รู้สึกเจ็บปวดใจอย่างหาที่สุดไม่ได้ คล้ายกับว่าตนเองเป็นหญิงสาวที่เลวร้ายที่สุดในโลกใบนี้อย่างไรอย่างนั้น

“ก็บอกไปแล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเจ้า จะมีคนเลวร้ายในเรื่องเช่นนี้หรือไม่นั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องแบกรับมันเอาไว้หรอก” หลงเฉินตอบ

“แต่ว่า……”

“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้นเรื่องที่มันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเถิดหากมันเป็นความสุขก็จดจำมันเอาไว้ ส่วนที่ทำให้เจ็บปวดใจก็ลืมมันไปเสียเถิด หลายปีมานี้ข้าเองก็ผ่านพ้นมาด้วยเช่นนี้แหละ”หลงเฉินสาธยายออกไปยืดยาว

“ขอบใจนะหลงเฉิน” ฉู่เหยาปาดน้ำตาบนใบหน้า แล้วยิ้มร่าขึ้นมาด้วยความโล่งใจ

เมื่อมองดูฉู่เหยาอย่างเต็มตาก็ทำให้เขาเกิดความหวั่นไหวขึ้นอย่างแปลกประหลาด ฉู่เหยาที่แม้จะงดงามน้อยกว่าม่งฉีอยู่ขั้นหนึ่งแต่ก็นับได้ว่ามีความงดงามมากพอที่จะล้มทั้งเมืองได้ โดยเฉพาะในเวลาที่ยิ้มกว้างเช่นนี้ยากนักที่ชายหนุ่มที่ได้พบเจอจะไม่เกิดความหวั่นไหว

ฉู่เหยาที่เห็นว่าหลงเฉินเอาแต่จ้องมองตนเองจนตาไม่กระพริบ จึงกล่าวออกมาด้วยความสงสัยว่า“หลงเฉินทำไมเจ้าถึงมองข้าอย่างแน่นิ่งเช่นนี้กัน?”

“แค่กแค่ก ก็เพราะว่าเจ้าน่าหลงใหลยิ่งนักไงเล่า จนข้าไม่อาจละสายตาไปได้” หลงเฉินหน้าแดงก่ำไอแห้งๆออกมาสองคราแล้วกล่าว

“ข้าน่าหลงใหลขนาดนั้นจริงหรือ?” ฉู่เหยายกมือข้างหนึ่งขึ้นเสยเส้นผมทัดข้างใบหู แล้วกล่าวถามออกไปอย่างจริงจัง

หลงเฉินประหม่าขึ้นมาเล็กน้อยแล้วกล่าวไปว่า “น่าหลงใหลอย่างยิ่งเลยล่ะ หรือว่าเจ้าไม่ทราบกัน?ไม่เคยมีผู้ใดบอกมาก่อนอย่างนั้นหรือ?”

ฉู่เหยาส่ายหน้า “ก็มีคนบอกเป็นประจำอยู่หรอก แต่ว่าข้าไม่อาจเชื่อในวาจาเหล่านั้นของพวกเขาได้หมดข้าไม่ชื่นชอบผู้คนที่เอาแต่สวมใส่หน้ากากเข้าหากันเช่นนั้น”

เมื่อฉู่เหยาเอ่ยวาจาเหล่านั้นจบ บนใบหน้าก็ปรากฏอาการเขินอายหนักขึ้น จนใครที่ได้พบเห็นอาจเกิดความหวั่นไหวอย่างแน่นอน หากเทียบกับฉู่เหยาก่อนหน้านี้ก็ได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว หลงเฉินคิดไม่ถึงว่านางก็มีมุมน่ารักเช่นนี้กับเขาด้วย

“พวกเราไปหาที่นั่งกันเถิด ยืนอยู่อย่างนี้ไม่ค่อยดีนัก”

หลงเฉินเสาะหาก้อนศิลาก้อนใหญ่ที่สะอาดสะอ้านแล้วนั่งลงฉู่เหยาเองก็ได้พยักหน้าตอบ ขณะที่กำลังจะนั่งลง จู่ๆก็ได้ร้องเสียงหลงขึ้นมาคำหนึ่ง แล้วผุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า

หลงเฉิน “เป็นอะไรไปหรือ?”

ฉู่เหยาตอบกลับอย่างไม่พอใจ “ไม่ใช่เพราะเจ้า”

หลงเฉินเข้าใจได้ทันทีและเกิดรู้สึกไม่ดีขึ้นมาวูบหนึ่งเขามองไปเห็นมือขวาของตัวเองที่วางอยู่บนพื้นกำลังบีบไปมาราวกับกำลังสัมผัสได้ถึงการไหลเวียนบางอย่างที่คงค้างอยู่บนฝ่ามือ

ฉู่เหยานำแหวนมิติออกมาแล้วดึงผ้าขนสัตว์ผืนยาวผืนหนึ่งมาปูเอาไว้บนก้อนศิลาจากนั้นจึงค่อยๆ หย่อนตัวลงไปนั่ง แต่ทว่าในขณะที่บั้นท้ายสัมผัสถูกก้อนศิลาเกิดความเจ็บปวดแปลบขึ้นมาเป็นสาย ขนคิ้วเรียวประดุจใบต้นหลิวก็ขมวดเข้าหากันแน่น เจ็บปวดเหลือเกินแต่ก็ถือว่าเบากว่าช่วงก่อนหน้านี้ไปมาก

“ต้องขออภัยด้วย”หลงเฉินกล่าวออกมาอย่างรู้สึกผิดเขาคิดว่าการกระทำเช่นนี้ไม่เป็นสุภาพบุรุษเอาเสียเลย ทว่าอย่างไรก็ตามเขาก็ไม่เคยคิดที่จะเป็นสุภาพบุรุษมาก่อนอยู่แล้ว

ยิ่งไปกว่านั้นปฏิกิริยาหลังการถูกรอยฝังจากเขี้ยวแหลมคมเป็นเพียงการตอบสนองตามสัญชาตญาณเพื่อป้องกันตัวเองจากความเจ็บปวดไม่ได้มีความคิดที่จะฉวยโอกาสแต่อย่างใด

“ยังไม่เคยพบเคยเจอกับคนที่ดุร้ายเช่นเจ้ามาก่อนตั้งแต่เกิดมานี่เป็นครั้งแรกที่มีคนทำกับข้าเช่นนี้” หลงเฉินพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ฉู่เหยาที่ได้ยินกลับตาแดงก่ำขึ้นมาใบหน้าเต็มไปด้วยความแง่งอน

“อ๋า เจ้าอย่าได้ร้องอีกเลยหากเป็นเช่นนี้ข้าจะให้เจ้าทุบตีบั้นท้ายข้ากลับนะ”หลงเฉินกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงขำขันเมื่อสังเกตว่าฉู่เหยาเริ่มจะมีน้ำตาคลอ

“คิกคิก”

“เพ่ย!”

“ใครจะต้องการทำเช่นนั้นกับเจ้ากัน เจ้าช่างร้ายกาจอย่างยิ่งยวด” ฉู่เหยาถูกหลงเฉินหยอกล้อจนเขินอายจนตัวม้วนบิดเป็นเกลียว ใบหน้าร้อนผ่าวจนรีบหันหน้าหนีไปอีกทาง

เมื่อเห็นว่าฉู่เหยามีอารมณ์ที่ดีขึ้นก็ทำให้หลงเฉิงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก การได้ตีบั้นท้ายขององค์หญิงถือได้ว่าเป็นบุญวาสนาที่สูงส่งเสียดฟ้าเสียจริง

“หลงเฉิน แม้ว่าเจ้าจะเป็นคนร้ายกาจอย่างที่ใครเล่าลือกัน แต่ว่าเจ้ากลับไม่หลอกลวงข้า และคงไม่ได้ฝืนใจทำดีต่อหน้าข้าอีกด้วย ข้าสามารถเป็นเพื่อนกับเจ้าได้หรือไม่?” ทันใดนั้นฉู่เหยาก็เปลี่ยนเป็นน้ำเสียงจริงจัง

“ย่อมได้แน่นอน ขอเพียงครั้งหน้าเจ้าไม่เอาแหคลุมร่าของข้าอีกก็พอ ตามความสัตย์จริงแล้วนั้นเมื่อครู่ข้าก็กลัวว่าเจ้าจะปล่อยมือออกแล้วโยนข้าลงไปจริงๆ เสียอีก” หลงเฉินหัวเราะร่า

ฉู่เหยาก็หัวเราะตามอย่างโล่งใจเช่นกัน ในใจก็คิดว่าหลงเฉินถูกตนก่อความลำบากให้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ นางจึงก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงหัวเราะเจื้อยแจ้วขึ้นมาดังเสียยิ่งกว่าเดิม

หลังจากที่ทั้งสองได้ปรับความเข้าใจต่อกันจนคล้ายกับว่าระยะห่างระหว่างทั้งสองได้ใกล้กันมากยิ่งขึ้น จนกระทั่งฉู่เหยาเปิดใจเล่าเรื่องราวที่นางกับน้องชายได้ประสบพบมาทั้งชีวิตให้กับหลงเฉิน

ตั้งแต่เยาว์วัยจนเติบใหญ่มาจนถึงบัดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ไว้ใจให้ผู้อื่นได้ฟังเรื่องราวที่อยากจะระบายออกไปจนหมดสิ้น การสนทนาของทั้งสองลื่นไหลและได้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ

“ฉู่เหยา นานเพียงใดกันที่เจ้าไม่ได้พบกับฝ่าบาท” หลงเฉินถามแทรกขึ้นมากะทันหัน

ฉู่เหยาส่ายหน้าไปมาแล้วกล่าวอย่างตัดพ้อ “นับตั้งแต่ข้าอายุสามขวบก็ไม่ได้พบเขาอีกเลย น้องชายของข้ายิ่งแล้วใหญ่ ไม่มีภาพบิดาอยู่ในห้วงความทรงจำเสียด้วยซ้ำไป”

หลงเฉินพยักหน้าอย่างลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยถามอันใดออกมา บัดนี้ทั้งเขาและฉู่เหยาต่างก็มีความสัมผัสอันดีให้แก่กัน จึงไม่อาจที่เอื้อยเอ่ยถามในสิ่งที่อาจทำร้ายความรู้สึกของอีกฝ่ายออกไปได้

ความจริงแล้วหลงเฉินเองก็ทราบเรื่องเกี่ยวกับสถานการณ์ภายในพระราชวัง ว่าแท้จริงแล้วมีผู้ที่จ้องจะทำลายตระกูลหลงอยู่ หลงเฉินทราบอย่างแจ่มแจ้งมาโดยตลอด

หลังจากที่ฮ่องเต้เริ่มเปิดเผยตัวขึ้นหลังจากเก็บตัวอยู่นานฟ้าปีก็ได้เรียกให้หลงเทียนเซียวกลับเข้าพระราชวัง แต่หลงเทียนเซียวได้ปฏิเสธเสียงแข็งที่จะกลับไปยังพระราชวัง

หลังจากนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เพราะบิดาไม่ได้ส่งข่าวคราวกลับมาสิบกว่าปี เขากำลังคิดทำการอะไรอยู่? หรือเพียงแค่ทิ้งพวกเขาสองแม่ลูกอย่างไม่แยแสเพียงเท่านั้น?

ถึงแม้ว่าภาพจำในความทรงจำจะเบาบาง จะคิดอย่างไรก็ไม่อาจหาทางออกเจอ แต่ว่าใบหน้าอันหาญกล้าของหลงเทียนเซียวกลับตราตรึงอยู่อย่างชัดเจนในส่วนลึกของก้นบึ้งหัวใจของหลงเฉิน เขาเชื่อว่าบิดาของเขาไม่ใช่คนเช่นนั้นแน่นอน

แล้วเช่นนั้นที่ผ่านมาเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง? หลงเฉินรู้สึกได้ว่าตนเองกำลังเข้าไปพัวพันกับห้วงแห่งมรสุมขนาดใหญ่ แต่เขาก็ยังไม่กล้าที่จะกระทำการใดอย่างผลีผลาม

นั่นคงเป็นเพราะคิดไว้เสมอว่าอาจมีอันตรายที่จะตามมาอย่างแสนสาหัสหากยังไม่มีพลังยุทธ์ที่มากพอ บัดนี้จึงทำได้เพียงเคลื่อนไหวอย่างหลบซ่อนเพื่อไม่ให้คลื่นน้ำกระเพื่อม

หลงเฉินจัดเก็บความคิดที่เต็มไปด้วยคำถามอันแสนวุ่นวายเหล่านี้เอาไว้ นึกถึงสถานการณ์ขององค์ชายคนอื่นภายในวัง เห็นได้ชัดว่าฉู่เหยายังไม่ทันรู้ตัวถึงเป้าหมายของหลงเฉิน ยังคิดว่าที่หลงเฉินได้ถามไถ่คำถามเหล่านั้นขึ้นมาเพียงเพราะว่าเขาเป็นห่วงนางอยู่ไม่น้อย

หลงเฉินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดกับการหลอกลวงหญิงสาวแสนสวยเช่นนี้ จึงไม่อาจถามต่อออกไปได้มากกว่านี้ และหากนางรู้เข้าเขากลัวว่าความรู้สึกผิดจะยิ่งทวีคูณมากยิ่งขึ้น

ก่อนหน้านี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเพิ่มพูนพลังยุทธ์ให้มากขึ้นจนสำเร็จขอบเขตขั้นดารากักวายุ เสริมสร้างพลังปราณจนสามารถเพิ่มระดับการหลอมโอสถให้สูงขึ้นเพื่อที่จะเพาะเลี้ยงพลังแห่งดารากักวายุต่อไป

หลังจากที่ทำให้พลังดารากักวายุหมุนครบรอบแล้ว เขาก็จะทะลวงเข้าสู่ระดับขั้นก่อโลหิตและพลังขอบเขตก่อโลหิต จึงจะถือว่าเป็นผู้ฝึกวิทยายุทธ์ที่แท้จริง แต่ตอนนี้เขายังอ่อนแอจนเกินไปที่จะขึ้นไปถึงขั้นนั้น

สิ่งที่เขาตระหนกมากในตอนนี้คือความแข็งแกร่งของดารากักวายุที่เปรียบเสมือนเรือน้อยที่ลอยล่องอยู่ในทะเลลมปราณอันกว้างใหญ่ ก็ได้เติบใหญ่แข็งแกร่งขึ้นมาอย่างมากมาย

ดารากักวายุเปรียบดั่งน้ำพุร้อนบ่อหนึ่งที่ได้ถูกพลังแห่งจิตวิญญาณของเขาหล่อเลี้ยงเอาไว้อย่างไม่หยุดนิ่ง ถ้าหากเขามีพลังที่มหาศาลยิ่งขึ้นก็จะสามารถทำให้น้ำพุนั้นปะทุขึ้นมาทั้งขนาดและปริมาณ

เคล็ดกายานวดาราเป็นความหวังอันยิ่งใหญ่เดียวของเขา มันมีสิ่งซ่อนเร้นเอาไว้อยู่มากมาย ภาพจำในความทรงจำของเขามีแค่เพียงแนวทางการฝึกยุทธ์ของเคล็ดวิชานี้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นแล้วก็ไม่รู้สิ่งใดเลย

ชั่วพริบตาเดียวทั้งสองคนได้สนทนากันไปกว่าสองชั่วยามแล้ว หญิงสาวเจ้าของใบหน้าอันงดงามที่ยังคงแดงก่ำอยู่จนถึงบัดนี้เริ่มรู้สึกได้ว่าการเล่าของตนเองนานจนเสียมารยาทเกินไป จึงได้ซักถามที่มาที่ไปของหลงเฉินบ้าง

หลงเฉิงจึงเปลี่ยนเป็นผู้ตอบเกี่ยวกับเรื่องราวที่นางสนใจ และสิ่งที่ไม่น่าสบายใจเหล่านั้นก็ได้กลืนลงคอไป หลงเฉินถือว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ในการสนทนาเจรจาเสียจนน่าประหลาดใจ เขาสามารถพูดจาหยอกเย้าฉู่เหยาให้มีเสียงหัวเราะออกมาไม่หยุดราวกับเสียงดังของกระดิ่งอันน้อย

นับตั้งแต่เริ่มมาจากองค์หญิงผู้หยิ่งทระนง เพียงชั่วครู่เดียวก็ได้กลายเป็นหญิงสาวที่อยู่ในช่วงใบไม้ผลิอย่างไรอย่างนั้น

ในช่วงที่แสงสายันต์ใกล้จะลับขอบฟ้าไป ทั้งสองจึงเริ่มรู้สึกตัวได้ว่าเวลาผ่านล่วงเลยมานานพอควรแล้ว ฉู่เหยามองไปที่หลงเฉินด้วยแววตาเป็นประกาย “หลงเฉิน หลังจากนี้ข้าสามารถมาเล่นกับเจ้าได้หรือไม่?”

หลงเฉินเกิดอาการลังเลขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ต้องการที่จะมีความใกล้ชิดกับราชวงศ์มากจนเกินไป นั่นก็เพราะเขาหวาดหวั่นไปทุกสิ่งที่เกี่ยวกับพระราชวัง แต่เมื่อมองไปยังแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความคาดหวังของฉู่เหยาแล้วก็ไม่อาจที่จะปฏิเสธได้ลงคอ เขาจึงยิ้มแล้วกล่าว “แน่นอน แต่ว่าคงจะต้องเก็บเป็นความลับระหว่างพวกเราสองคน”

เมื่อฉู่เหยาได้ยินคำพูดประโยคหลังของหลงเฉินก็มีใบหน้าสีแดงระเรื่อขึ้นมาฉับพลัน ดวงตากลมโตพยายามหลบเลี่ยงความว้าวุ่นที่กำลังเล่นงาน นางกลบเกลื่อนด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ถ้าเช่นนั้นพวกเรากลับกันเถิด”

“เจ้ากลับไปก่อนเถิด ข้าจะเดินกลับเอง” หลงเฉินยิ้มเล็กน้อย ถ้าหากติดตามองค์หญิงไปคงจะต้องเกิดความวุ่นวายตามมาอย่างมหาศาลเป็นแน่

เห็นได้ชัดว่าฉู่เหยาเองก็ยอมรับในความคิดข้อนี้ หยักหน้าตอบกลับให้แก่หลงเฉินก่อนจะกระโดดตัวขึ้นไปบนหลังของเหยี่ยวนักล่าแล้วโบยบินออกไปจนลับสายตา

หลงเฉิงมองตามเงาหลังที่ค่อยๆ หายลับไปกลางอากาศ ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่สบายใจอย่างเต็มประดา จากนั้นก็ได้ถอนหายใจยาวออกมาเฮือกหนึ่งแล้วมุ่งหน้ากลับไปยังจวนของตน

ในช่วงเวลาที่ใกล้จะถึงจวนก็ได้พบทหารอยู่เป็นจำนวนมากกำลังล้อมเอาไว้โดยรอบ ทันทีที่ความสงสัยครู่หนึ่งได้จางหายไป ภายในดวงตาทั้งสองของเขาก็ได้ปรากฏรังสีสังหารขึ้นมาทันที

ข้ากำลังอยู่ในสภาวะที่จิตใจย่ำแย่อยู่ ยังจะมาระรานตามราดน้ำมันใส่เชื้อเพลิงให้แก่ข้าอีก ในเมื่อพวกเจ้ามาหาที่ตาย ข้าคนนี้ก็จะสนองให้เอง

ความโกรธแค้นปะทุขึ้นมาอย่างไม่อาจหยุดยั้งได้ เขาวิ่งตรงเข้าไปภายในจวนใหญ่ที่รายล้อมไปด้วยเหล่าทหารนับไม่ถ้วน  . . . .

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset